Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Fight The Greys  

-Fight The Greys-

02/05/2008

ตอนนี้ผมกำลังเดิน
เดินกับใครอีกคนเพื่อไปอีกฝั่งของถนน
พวกเราทั้งสอง กำลังถือบางสิ่งบางอย่างไปด้วย
บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายใต้ผ้าสีขาว
ถนนที่เต็มไปด้วยรถ การจราจรที่หนาแน่น....
ควันสีเทามากมายที่ถูกปล่อยออกมาจากท่อไอเสีย
มันฟุ้งกระจายอบอวลอยู่เบื้องหน้า
ผมกำลังเดินข้ามไปอีกฝากของถนน
เพื่อไปจุดหมายที่อยู่ตรงหน้า
มันอยู่เพียงครึ่งทางของถนน
ผมก็จะถึงที่หมาย
สถานที่ สิ่งปลูกสร้าง ที่ผมต้อง
กระทำการบางสิ่งบางอย่าง
*
*
ผมเป็นนิสิตคณะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
ผมสอบเข้ามาด้วยคะแนนอันดับที่หนึ่งของคณะ
ความจริงคะแนนสอบของผมนั้น
สามารถเข้าคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเมืองไทยก็ยังได้
ซึ่งมันคือ คณะที่ครอบครัว พ่อแม่ ตลอดจนครูบาอาจารย์ของผม
ได้ปรารถนาอยากให้ผมได้เข้าไปเล่าเรียนมันเหลือเกิน
แต่มันไม่เคยอยู่ในสาระบบความคิดของผมที่จะเข้าไปเรียนแพทย์เลย
เพราะผมมีสิ่งที่ผมอยาก และใฝ่ฝันมาเป็นเวลานาน

ผมอยากเรียนประวัติศาสตร์
ผมยังคงจำครั้งแรกที่ผมหลงรักมันได้
ในสมัยมัธยมตอนต้น ในช่วงเวลาของการพักกลางวัน
ผมไปยืมหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งมาจากห้องสมุด
หนังสือประวัติศาสตร์ที่บรรณาธิการโดย
กาญจนี ละอองศรี และธเนศ อากรณ์สุวรรณ
ชื่อหนังสือนั้นชื่อว่า
กระจกหลายด้านฉายประวัติศาสตร์
ทำไมผมถึงหลงรักมันตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านหนังสือเล่มนี้ อย่างนั้นหรือ
เพราะมันเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า มันมีคุณค่ามากสำหรับผม และสำหรับมนุษย์
มันเป็นศาสตร์หนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผม ฉลาด ขึ้น
เหตุผลของความฉลาดที่ผมว่านั้น มันสืบเนื่องมาจาก
ประวัติศาสตร์มันสอนให้ผมรู้จัก "คิดเป็น"
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตย่อม
เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนมาถึงปัจจุบัน และอนาคต
บางทีเราอาจคิดว่า บางเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มันไม่น่าจะมีผลต่อเนื่อง
ผลกระทบมาถึงปัจจุบันได้
แต่สำหรับผม
ผมคิดว่า

ทุกเหตุการณ์ในอดีตย่อมมีผลส่งต่อมาถึงปัจจุบัน และอนาคต มันมีผลไม่มากก็น้อย
มันอาจจะทับซ้อนกันไปมาเป็น ฐานของฐานซึ่งกันและกัน

อย่างเช่น การสร้างกำแพงเมืองจีน บางคนอาจจะมองในปัจจุบันว่า
มันก็แค่กำแพงธรรมดาที่อาจจะต้องตกใจกับขนาดใหญ่ และยาวลัดเลาะไปตามภูเขาของมัน
อาจจะน่าทึ่งอีกนิดที่ว่าเทคโนโลยีการสร้างในสมัยนั้นต้องใช้แรงงานคนเป็นหลัก
แต่สำหรับความคิดของผม
ผมมองอีกจุดหนึ่ง อีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่ามัน น่าทึ่งมาก สำหรับกำแพงเมืองจีน

ผมคิดว่ากำแพงเมืองจีนทำให้คนจีนในสมัยนั้นหลุดพ้นจากกรอบเก่าๆ
กรอบที่ยึดติด ที่กักขังพวกเขาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ
ทำให้พวกเขารู้จักพัฒนาสิ่งอื่นๆตามมา
จากการอ้อนวอนขอฝน ก็พัฒนาเป็น การสร้างฝนเทียม
ตลอดจนการสร้างเขื่อนที่มีมาเป็นร้อยๆปีก่อนคริสต์ศตวรรษ
เพราะผลของ สิ่งที่คนจีนคิดว่า มันไม่น่าเป็นไปได้
แต่มันกลับสำเร็จขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างใหญ่โตของ กำแพงเมืองจีน
ผมคิดว่า กำแพงเมืองจีนทำให้คนจีน เชื่อว่า

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันสามารถเป็นไปได้

และแน่นอนมันมีผลต่อสิ่งต่างๆต่อมาของการคิดค้นไม่ว่าจะในตัวจีนเอง
หรือกระทั้งต่อโลกของเรา
*
*
แต่ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง
ในสิ่งที่ผมต้องเจอตั้งแต่ผมเลือกเข้าเรียนที่คณะนี้
ผู้คนที่เคยรักใคร่ผมถึงได้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้
ทั้งพ่อแม่ที่แต่ก่อนเคยเอาใจใส่ผม ภูมิใจในตัวผม
กลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนท่านรู้ว่าผมแอบเลือกแอดมิดชั่นคณะประวัติศาสตร์ไว้เป็นอับดับที่หนึ่ง
ท่านทั้งสองได้ตวาด และเกี้ยวกราดผมอย่างหนัก
ผมยังจำคำของพ่อ และแม่ในวันนั้นได้

"หากแกคิดจะเข้าคณะนี้ พ่อจะไม่สนใจใยดีอะไรแกอีก"
"ทำไมลูกทำให้แม่ผิดหวังขนาดนี้ ทำไมถึงเลือกคณะที่คะแนนต่ำแบบนี้
ทั้งๆที่ลูกมีคะแนนสูงมากขนาดที่จะได้คณะแพทย์ หรือวิศวะ อย่างแน่นอนอยู่แล้ว"

แต่ไม่ว่าผมจะโต้เถียงกลับไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ไม่ว่าจะด้วยความชอบ หรือรักที่จะเรียนมันขนาดไหน
ผมก็ต้องเจอเหตุผลเดิมๆของพ่อ และแม่ตามมาเสมอ

"ไอ้ลูกไม่รักดี มรึงโง่หรือเปล่า เรียนเพราะรักอย่างนั้นเรอะ แต่จบมามรึงจะเป็นยังไง
อย่างมากก็แค่ครูประวัติศาสตร์กระจ้อยร่อย แล้วมรึงจะทำอะไรกิน
จะเอาเงินที่ไหนแดก
โลกแห่งความจริงมันมีเพียงเงินเท่านั้นที่ครองโลก
จำคำของพ่อมรึงเอาไว้นะ"

"ทำไมลูกถึงไม่เรียนแพทย์ ลูกไม่รู้เหรอว่า แม่อยากให้ลูกเรียนมากขนาดไหน
ลูกไม่อยากให้คนทั่วไปนับถือลูกหรือ พ่อกับแม่จะได้มีหน้ามีตากับพวกเพื่อนฝูงด้วย
ว่ามีลูกเรียน แพทย์ ทำเพื่อแม่ไม่ได้เหรอลูก"

แต่ถึงจะกี่ร้อยเหตุผลจากพ่อกับแม่ ผมก็ยังยืนกราน และแน่วแน่ในการเรียนประวัติศาสตร์
แม้ผลที่ตามมาหลังจากนั้น พ่อแม่ของผมจะสนใจ และพูดคุยกับผมน้อยลงกว่าเดิมมาก
ท่านเอาเวลาไปคุยกับน้องชายคนเล็กที่ยังอายุน้อยของผม
แถมเหมือนท่านกำลังป้อนยากล่อมประสาทเด็กใส่เข้าไปที่น้องของผม
มันคงเป็น
ยาแห่งความคิดอันเป็นผู้ใหญ่ ที่อยากให้ลูกได้ดีกระมัง

แต่ถึงกระนั้นที่ผมมาเรียนที่คณะนี้ บางสิ่งบางอย่างที่ผมตั้งใจ และคาดหวังไว้
มันอาจเกิดการผิดพลาด และพังทลายลงบ้าง
ไม่ว่าจะอาจารย์หัวหน้าสาขาประวัติศาสตร์ ที่ผมมีเรียนกับท่าน
มันทำให้ผมรู้สึกเซ็ง และแย่ เหมือนตอนที่ผมกำลังเรียนชั้นมัธยมต้น-มัธยมปลาย
เพราะเบื่อระบบการสอนของเมืองไทยในช่วงชั้นนั้นมาก

การสอนแบบรับจากผู้ให้ฝ่ายเดียว
เพียงจดจำ เข้าใจ แต่ไม่ได้คิดอะไรเลย
ผมรู้สึกว่าระบบการสอนแบบนี้
ยิ่งเรียน มันเหมือนทำให้ผมยิ่ง ”โง่” มากขึ้นเท่านั้น

แต่ผมก็ไม่นึกว่า ผมจะต้องมาเจอแบบนี้อีกในตอนเรียนมหาวิทยาลัย
อาจารย์เกือบครึ่งค่อนคณะที่ผมเรียนมาร่วมสองปี
มีเพียงไม่กี่ท่านที่ผมชอบ และศรัทธา
เพราะท่านสอนให้นิสิตผู้รับสาร รู้จักคิดตาม และตั้งข้อสงสัยไปตลอดการสอน
นอกนั้นที่ผมเห็นก็แค่การ ฉายสไลท์แผ่นใส จดๆจำๆ
เพื่อไปสอบ มันมีเพียงเท่านี้...
แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ได้ทำอะไร และยอมที่จะเป็นไปตามเกมที่เหมือนจะถูกระบุไว้
โดยแน่ชัดจากอาจารย์ผู้สอน

ผมเคยไปคุยกับท่านอาจารย์หัวหน้าสาขาวิชา
กับสิ่งที่ผมรู้สึก
ผมเพียงพูดกับท่านดีๆในเชิงของ การแสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่น่าจะมีผิด หรือถูก
ในสิ่งที่ผมอยากให้ท่านสอน และแนะแนวทางในการคิดให้บ้าง
ให้แทรกเข้าไปกับการสอนด้วยแผ่นสไลท์ และเลคเชอร์จดไปวันๆบ้างก็ยังดี
แต่ท่านกลับตอกผมกลับอย่างแรง

"ทำไมเธอถึงก้าวร้าวกับครูบาอาจารย์แบบนี้ ฉันอายุเท่าไรแล้ว
เกิดก่อนเธอไม่สิ ฉันเกิดก่อนแม่เธอ ไม่รู้กี่ปีแล้วด้วยซ้ำ
อาบน้ำร้อนมาก่อนแกมานักต่อนักแล้ว
อย่าคิดสะเออะมาแนะนำอะไรฉันอีก
ไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"

ผมรู้สึกช็อคกับครั้งแรกที่ผมได้ยินประโยคนี้จากปากของหัวหน้าภาควิชามาก
ผมเพียงต้องการแนะนำ และแสดงความคิดเห็นเท่านั้น
แต่ที่ท่านทำเหมือนผมไปล่วงเกินท่าน
หรือเด็กไทยจะไม่มีสิทธิมีเสียงในการออกความคิดเห็นใดๆต่อผู้ใหญ่ หรือต่อบ้านเมืองกันนะ
และไม่ใช่เพียงแค่คำด่าแล้วจบ หลังจากนั้นในคาบ หรือวิชาที่ผมต้องเรียนกับท่าน
ผมจะต้องเจอคำพูดเสียดสีแดกดันมากมาย
หรือกระทั้งการให้คะแนนข้อสอบที่ดูท่าจะน้อยเกินปกติที่ผมควรจะได้
*
*
ผมรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูกบ่อยครั้ง
เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้
ผมกำลังเดินกลับบ้าน
และในช่วงไหนที่ผมรู้สึกเบื่อหน่าย
ผมจะมีที่ๆผมอยากไปอยู่ที่หนึ่ง
ในครึ่งทางของมหาวิทยาลัยของผม กับ บ้านของผม
มีร้านขายของเก่าอยู่ร้านหนึ่ง แต่มันอาจเป็นร้านที่แปลกสักหน่อย
เพราะมันเป็นร้านที่ขายสินค้าเพียงประเภทเดียว
สินค้าที่ว่า นั่นคือ

กระจก

ผมชอบเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านที่ดูจะเป็นผู้หญิงอายุราวๆสักสามสิบกว่าๆ
เธอเป็นคนมีความรู้ และความคิดในทางเชิงประวัติศาสตร์ดีมาก
ดีมากซะจนผมตกใจ ผมมักจะถามเธอทุกครั้งว่า

พี่รู้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร
พี่เป็นคนที่เกิดในสมัยนี้จริงๆหรือ

และทุกครั้งๆที่ผมถามแบบนี้ พี่เจ้าของร้าน เธอมักจะหัวเราะออกมาเบาๆ
แล้วตอบผมกลับเสมอว่า

"บางทีพี่อาจเป็นจุดบอดของประวัติศาสตร์ก็เป็นไปได้กระมัง"

นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว
ผมมักจะเข้าไปพูดคุย และระบายกับเธอทุกครั้ง

ไม่ว่าจะเรื่องพ่อแม่ คณะ หรือเรื่องเพื่อนร่วมคณะ
ที่ไม่เคยมีความคิดอยากเรียนคณะประวัติศาสตร์เลย
พวกเขาเพียงเข้ามาเพื่อให้ได้ขึ้นชื่อว่า
จบจาก มหาวิทยาลัยรัฐบาล เพียงเท่านั้น

เช่นเดียวกับความเบื่อหน่ายของผมในวันนี้
ผมเดินเข้าไปในร้านของเธอ

บรรยากาศของร้านยังเต็มไปด้วยความขลัง
อาจจะเพราะความมืดสลัวแล้ว
มันยังเงียบสนิท ไร้ผู้คน
และเต็มไปด้วยกระจกเก่าแก่น้อยใหญ่มากมาย
ผมลองเรียกชื่อพี่เจ้าของร้าน

"พี่ต้อง นี่ผมชินเองนะ พี่อยู่ในร้านหรือเปล่าครับ"

แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากพี่เขา
แต่ถึงกระนั้นผมคว้าไฟฉายขนาดไม่ใหญ่นักที่ตั้งอยู่หน้าร้าน
ไม่ใช่อะไรหรอก บางทีผมชอบใช้ไฟฉาย
มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังค้นหาสมบัติในร้านที่มีแต่ของเก่าๆแบบนี้
ดูน่าสนุกชอบกล...
ผมเดินดูของในร้านไปเรื่อยๆ
เพราะ พี่ต้อง เจ้าของร้าน
เธออนุญาตให้ผมเข้ามานั่งเล่น เดินเล่น
ในร้านได้ตลอดเวลา หรือกระทั่งมานอนค้างที่ร้านก็ยังได้

ผมเดินดูกระจกไปตามทางในร้านไปเรื่อยๆ
โดยใช้แสงของไฟฉายส่องไปมา
จนเดินมาถึงมุมซ้ายสุดของด้านในร้าน
ก่อนที่เท้าข้างหนึ่งของผมจะเดินเหยียบเชือกรองเท้าผ้าใบอีกข้างของตัวเอง
แต่ตรงหน้าผม
มีบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่ครุ่นตา
กระจกที่ผมไม่เคยเห็นในร้านมาก่อน
มันเป็นกระจกขนาดไม่ใหญ่นัก ประมาณครึ่งตัวของคน
ตัวกรอบของกระจกเป็นสีทองลายปรำปะรา มันถลอกไปมากพอควรตามอายุของมันที่น่าจะมากโข
ผมยืนดูกระจกบานนั้น บางส่วนของบานกระจกแตกหักหายไปบ้างเล็กน้อย
แต่ก่อนหน้าที่ผมจะเข้าไปส่องมันใกล้ๆ ผมก้มตัวลงไปหน้ากระจก
พร้อมกับผูกเชือกรองเท้าผ้าใบข้างที่ผมเหยียบเมื่อตะกี้
ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นมา พร้อมกับนำไฟฉายส่องเข้าไปที่กระจกบานนั้น
และผมก็ต้องตกใจถึงขีดสุด

ภาพที่ผมเห็นจากการสะท้อนของกระจก
มันคือใบหน้าผม ครึ่งตัวของผมตามปกติ
แต่ที่ผมตกใจคือ มีบางสิ่งบางอย่างมันติด และเกาะอยู่ที่ด้านหลังของผม
ตัวอะไรบางอย่าง ร่างกายคล้ายๆมนุษย์
เพียงแต่ลำตัว แขนขาของมันเล็ก ผอมแห้ง สีของร่างกายมันเป็นสีเทา
หัวของมันโล้น มันไม่มีคิ้ว มันไม่มีจมูก ปากของมันสีขาว เปลือกตาของมันปิดอยู่
ตัวของมันติดอยู่กับหลังของผม
ในสภาพที่มันยืน และคอของมันเอียงเหมือนกำลังหลับอยู่

ผมตกใจ พร้อมกับร้องตะโกนลั่นร้าน
ไฟฉายร่วงหล่นลงพื้น

"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก"

ขาของผมอ่อน ผมทรุดตัวนั่งลง
ผมพยายามที่จะจับหลังของตัวเอง และเอาตัวสีเทาน่าเกลียดนั่นออกจากตัวของผม
แต่เมื่อผมสัมผัสเข้าไปที่หลังของผม มันไม่มีสิ่งใดเลย...
มันว่างเปล่า

ก่อนที่ประตูสู่หลังร้านจะเปิดออก

"เป็นอะไรไปชิน" พี่ต้องเจ้าของร้านวิ่งออกมาจากด้านหลังของร้าน

"พี่ต้องครับ ผมเห็นบางสิ่งบางอย่างในกระจกบานนี้" ผมพูดขณะตัวสั่นด้วยความกลัว
พร้อมกับเอามือชี้ไปที่หน้ากระจกบานนั้น ถึงตอนนี้ภายในความมืดไม่มีตัวอะไรในกระจกอีกแล้ว

"อ๋อ....ชินไม่ต้องตกใจไป ดูที่กระจกดีๆอีกทีนะ พี่จะส่องให้ชินดู"

พี่ต้องพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร
ที่กระจกบานนั้น สะท้อนภาพในสิ่งที่ผมเห็นตะกี้
ก่อนจะทำอะไร พี่ต้องก็เดินไปกดเปิดสวิทซ์ไฟนีออน

และผมจะมองไปที่กระจก และเห็นตัวแบบเดียวกันที่ติดอยู่ที่หลังของผม
มันก็เกาะอยู่ที่หลังของพี่ต้องเช่นกัน เพียงแต่มันตัวเล็กกว่าตัวของผม

แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 52 00:37:47

จากคุณ : shikak
เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 52 00:31:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com