 |
ความคิดเห็นที่ 2 |
ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ผมแต่งตัวด้วยชุดนิสิตเพื่อไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเช่นเคย วันนี้มีวิชาที่ผมไม่ค่อยชอบมากนัก สืบเนื่องมาจากผู้สอน คือ หัวหน้าสาขาวิชา นั่นเอง ผมเดินออกจากบ้าน และเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ป้าย ตลอดเวลาในตาของผมยังคงมีคอนแทคเลนส์ที่ได้มาจากพี่ต้อง และแน่นอน ผมเห็นตัวสีเทาที่ติด เกาะร่างกายของคนทุกคน ซึ่งส่วนมากที่ผมเห็น ตัวของมันมักจะใหญ่พอๆกับร่างกายของคนๆนั้นเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงน้อยมากที่จะตัวเล็กๆเท่ากับตัวของผม
ผมมาถึงตึกคณะที่ผมมีเรียน การสังเกตตัวสีเทาในระหว่างการเดินทาง ทำให้ผมมาถึงห้องเรียนสาย มันเป็นห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่ ที่นั่งของนิสิตเป็นสโลป มีโต๊ะอาจารย์ตั้งอยู่หน้าสุดตรงกลาง
ผมเปิดประตูเพื่อจะเข้าไป แต่แล้วผมก็ต้องตกใจถึงขีดสุด ภาพที่ผมเห็น ตัวสีเทาขนาดใหญ่เท่าตัวอาจารย์หัวหน้าสาขา มันปล่อยสายใยสีเทาแพร่กระจายไปทั่วห้อง ไปยังนิสิตคณะที่นั่งเรียนอยู่ ที่สำคัญ ....ตัวสีเทาของนิสิตส่วนใหญ่รับสายใยสีเทานั้นจากตัวสีเทาของหัวหน้าสาขาวิชา และพวกมันตื่นอยู่ ไม่ได้หลับใหล พวกมันเอามือสองข้างอันผอมแห้งของมัน ปิดปากนิสิตที่กำลังเรียนอยู่.... ภาพที่เห็นทำผมทั้งขนลุกด้วยความสยอง และ ขบคิดในการการกระทำของพวกมัน
ผมเดินไปนั่งลงใกล้ๆกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม ไอ้ชุน เพื่อนผู้ชาย ผู้ที่ดูจะสนใจประวัติศาสตร์คล้ายๆกับผมบ้าง แต่มันเป็นคนตัวใหญ่ แต่ขี้ป็อด และใจร้อน นั่นคือข้อเสียของมัน ตัวสีเทาที่ติดอยู่ที่หลังของไอ้ชุนตัวใหญ่กว่าผมเพียงเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่มีกะจิตกะใจที่จะฟัง และเรียนในสิ่งตรงหน้า เพราะสายตาของผมมองไปยังตัวสีเทามากมายของทุกคนที่อยู่ในห้อง
"นักเรียนคิดว่า ทำไมกัมพูชาถึงมีการทะเลาะขัดแย้ง สงครามกลางเมืองบ่อยครั้ง อะ ครูถามคำถามแล้วนะ เผื่อนิสิตบางคนจะไม่พอใจกับการสอนของครู"
คำถามประชดประชันมาจากอาจารย์หัวหน้าภาคที่สอนอยู่เบื้องหน้า แต่สิ่งที่ผมคิดตอนนี้มันไม่มีสิ่งที่เขาสอน หรือคำถามของเขา มันไม่อยู่ในหัวของผมเลย...
เสียงของนิสิตในห้องเงียบกริบ
"เห้ยไอ้ชิน ทำไมมรึงไม่ตอบวะ มรึงเก่งอะมรึงตอบดิ" "กูไม่ได้เรียน...มรึงตอบที" ผมบอกไอ้ชุนกลับไป "ไอ้บ้า ไม่เอาอะ เดี๋ยวกูตอบผิด ขายหน้าคนอื่นแย่ อีกอย่างกูอายวะ"
มันพูดบอกผม พร้อมนิ่งเฉย แต่ภาพที่เห็น ตัวสีเทาของไอ้ชุน ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างของมันปิดปากไอ้ชุนเอาไว้...
สิ่งตรงหน้าที่ผมเห็นจากไอ้ชุน ยิ่งทำให้ผมครุ่นคิดไปใหญ่
"ไม่มีใครตอบเลย แม้แต่ นายวลิต สงสัยครูคงไม่ต้องถามอีกแล้วล่ะมั้ง"
อาจารย์หัวหน้าสาขายังคงพูดแดกดันผม แต่ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจที่จะพูดแก้ตัว ตอบโต้ หรืออะไร ผมยังคงนั่งเงียบไปจนหมดชั่วโมง
"เห้ยไอ้ชิน วันนี้มรึงเป็น:-)อะไรป้ะวะ กูเห็นมรึงเงียบมาทั้งคาบ ปกติมรึงไม่เป็นแบบนี้นิ มรึงคอยยกมือถามอาจารย์ในสิ่งที่มรึงสงสัย ในสิ่งที่มรึงอยากรู้ นอกบทเรียนเสมอ วันนี้มรึงเป็นอะไร เครียดอะไรหรือเปล่าวะ"
ไอ้ชุนพูดกับผม
"ไม่เป็นไรเว้ย กูแค่เพลียๆ เมื่อคืนนอนดึกว่ะ เห้ยวันนี้กูขอตัวก่อนนะ อยากนอนเต็มที่แล้วว่ะ" ผมแกล้งพูดไป
ผมเดินแยกจากไอ้ชุนบนชั้นตึกเรียน ก่อนที่จะเดินลงบันได เจอนิสิตหญิงสองคนเดินสวน
"เห้ยแก ไอ้เป้ย อะ:-)ทำศัลยกรรมว่ะ จริงๆ:-)ไม่ได้สวยหรอก เราว่า" ”:-)ไม่สวยจริงนี่หว่า”
ผมได้ยินสิ่งที่นิสิตหญิงคนหนึ่งบอกเพื่อนไป มันทำให้ผมหยุดครุ่นคิดถึงแต่ไอ้เรื่องตัวสีเทาไปได้สักพักหนึ่ง พร้อมกับความคิดในหัวว่า
คนไทยนี่แปลก ทีดาราไทยทำศัลยกรรมนี่โจมตีด่า แต่ดารา-นักร้องเกาหลีทำนี่ ไม่มีการตอบโต้ แถมชมเสมอว่า สวย หล่อ ปกป้องเขายิ่งกว่า พ่อแม่ตัวเองอีก:-) หรือเพราะไม่มีการสร้างชาตินิยม ถึงได้ดูถูกประเทศตัวเอง แต่ไปชื่นชมของนอกกันขนาดนั้น
ผมเดินลงมาจนถึงใต้ตึกคณะ ใต้ตึกคณะมีโทรทัศน์ที่ติดอยู่ตรงที่นั่งของนิสิต ประมาณ สามถึงสี่เครื่อง
ผมหยุดนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมมองไปที่โทรทัศน์ ทั้งสามเครื่องเปิดช่องเดียวกัน มันคือ การกล่าวปราสัยของนายกรัฐมนตรี
ผมเหลือบไปเห็นนายกกำลังพูด พร้อมตกใจถึงขีดสุด ตัวสีเทาของนายก คือตัวสีเทา ที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา และ ระหว่างที่นายกกำลังพูด ตัวสีเทาขนาดใหญ่ที่เกินร่างของท่านนั้น กำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่หูของนายก ตลอดเวลา....
ความจริงผมไม่เคยรู้สึกชื่นชอบนายกคนนี้เลย นายกคนนี้รัฐประหารยึดอำนาจขึ้นมาจากรัฐบาลชุดก่อน อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงกฎหมาย เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดเสมอ ทำสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นถูก... ไม่ว่าจะการทำร้าย หรือฆ่าพวกคนประท้วงที่ไม่เห็นด้วยกับตน
ผมดูไปได้สักพัก ผมทุบลงไปที่โต๊ะอย่างแรง ผมทนไม่ไหวแล้ว
คนรอบข้างหันมามองผมด้วยความหวาดๆ ผมลุกขึ้น พร้อมกับเดินออกไป ไปยังที่ๆทำให้ผมเห็นตัวสีเทาเหล่านี้ * * ผมเดินเข้าไปในร้านขายของเก่า เจอพี่ต้องอยู่ในร้าน
"พี่ต้องครับ" ผมเรียกพี่เขา
"ว่าไงชิน ได้เห็นตัวสีเทามากมายที่เกาะอยู่บนหลัง คนกรุงเทพแล้วหรือยัง"
"เห็นแล้วครับ" ”แล้วรู้หรือยังว่ามันคืออะไร” ”คิดว่า...รู้แล้วครับ...เอ่อพี่ต้องครับ”
"หือ"
"พี่ต้องผมอยากให้คนอื่นรู้ถึง Grey (ตัวสีเทา) ที่เกาะติดอยู่ที่หลังของพวกเขา
พวกเขาจะได้คิด และทำให้ตัวเองเป็นอิสระทางความคิดมากกว่านี้ ผมว่าประเทศไทยถูกค่านิยม รากเหง้าเก่าๆที่กักขังพวกเราไว้มากเกินไป ทำตามประเทศที่พัฒนาทุกรูปแบบจนขาดความคิด ของตนเอง ที่ผมพูดไม่ใช่เพราะผมมีความคิดดีประเสริฐกว่าคนอื่นนะครับ ผมไม่ได้เก่ง หรือฉลาดไปกว่าใครเลย แต่ผมอยากจะช่วยพวกเรา
พี่ต้องผมขอยืมกระจกบานที่ส่องแล้วเห็นตัวสีเทาหน่อยได้มั้ยครับ"
"ถ้าเพียงให้ยืม พี่ให้ได้เสมอ แต่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คนๆเดียวไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอกนะ ยิ่งอยู่ในประเทศประชาธิปไตยแบบนี้..."
"ผมว่าประเทศไทยก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยเท่าไรหรอก ผมว่าตัวของคนไทยเองมีความเป็นเผด็จการลึกๆ มันลึกมากกว่าประชาธิปไตยในตัวคนไทยเสียอีก พวกเราชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วตัดสินคนอื่น
ผมว่าพวกผู้นำพยายามที่จะให้คนไทยคิดแต่อยู่ในกรอบ อย่างกรณีของกระทรวงวัฒนธรรม ที่แทนที่จะส่งเสริมความหลากหลายของวัฒนธรรมให้อยู่ร่วมกันได้ แต่ไม่ กระทรวงกลับคิดกรอบขึ้นมา และพยายามให้วัฒนธรรมทั้งประเทศเหมือนกันหมด
แม้กระทั้งการเซนเซอร์ ผมมองว่าคนเซนเซอร์ในเมืองไทยนั้น นอกจากจะตัดสินคนอื่นจากตัวเองแล้ว ยังจิตใจคับแคบอีก พวกเขามองสิ่งที่ “ดี” เป็นอย่างเดียวคือ “ความดีงาม” ทั้งๆที่มันมีสิ่งที่ดีบนโลกนี้หลายรูปแบบ เฉกเช่นเดียวกับดนตรี ว่าทำไมถึง ต้องมีเพลงเเจ๊ส ,เพลงร็อค ,เพลงพ็อพ ทำไมถึงไม่มีเพลงสไตล์ใด สไตล์หนึ่งเพียงแบบเดียว
หรืออย่างตอนแอดมิดชั่น เด็กทั้งประเทศไม่เห็นด้วยกับระบบใหม่ แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่มติประชุมของ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ผมว่ามันเป็น อธิการบดีธิปไตย มากกว่า ประชาธิปไตย เสียอีก
นิสัยอย่างหนึ่งที่ผมเกลียดเสมอของพวกผู้นำของรัฐบาล ก็คือ การเอาตัวเองไปตัดสินชีวิตคนอื่น โดยไม่ฟังเสียงของพวกเขาเลย"
"แล้วกับการที่คนอื่นเห็นตัวสีเทา แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอชิน ค่านิยมมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ ภายในเวลาไม่กี่ปีนะ มันต้องเปลี่ยนเป็นศตวรรษ บางค่านิยมกว่ามันจะสูญหายไป มันอาจต้องใช้เวลาเป็นชั่วโคตรเลยนะ" พี่ต้องตอบ
"แต่ถ้าเราไม่ทำอะไร มันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น อะไรทุกอย่างบนโลกใบนี้มันก็ต้องเสี่ยงอยู่แล้ว ผมเชื่อว่า มีคนที่รู้เห็นถึงตัวสีเทาเหมือนกับผม และพี่ต้องอย่างแน่นอน คงเป็นกลุ่มคนด้วย ไม่ใช่เพียงคนๆเดียว เพียงแต่พวกเขาอาจไม่ได้ทำการอะไร และหากไม่ได้ทำอะไร คิดแต่ไม่ได้ทำ คิดแต่เป็นไปไม่ได้มันก็ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรดีขึ้น ดูดั่งกำแพงเมืองจีนสิครับพี่ต้อง... มันยังเปลี่ยนความคิดของคน จาก สิ่งที่เป็นไม่ได้ ให้เป็นไปได้แล้วเลย" ผมพูดตอบพี่ต้องกลับไป
พี่ต้องนิ่งเงียบ
"นะครับพี่ต้อง ถ้าหากเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น ผมจะไม่มีทางให้มัน มาซัดทอด หรือมีผลถึงตัวพี่ต้องแน่นอนครับ"
พี่ต้องไปหยิบกระจกบานนั้นออกมา พร้อมกับนำผ้าสีขาวห่อมันเอาไว้
"ถ้าหากจะทำสิ่งใด ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ พี่บอกชินเสมออยู่แล้วไม่ใช่หรือว่า พี่เป็นจุดบอดของประวัติศาสตร์"
นี่คือคำทิ้งท้ายของพี่ต้อง
ก่อนที่ผมจะพยักหน้ารับ และขอคอนแทคเลนส์อีกหนึ่งคู่จากพี่ต้อง คอนแทคเลนส์สำหรับ ไอ้ชุน
จากคุณ |
:
shikak
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ก.ย. 52 00:35:01
|
|
|
|
 |