ทางสายเปลี่ยว (ปรับปรุง)
|
|
ทางสายเปลี่ยว (ปรับปรุง) ค่ำคืนที่บรรยากาศถูกรายล้อมไปด้วยความมืดมิด ประกายแสงแวบวาบทะลุเมฆหนาแดงบนฟากฟ้าก่อนเสียงคำรามดังสนั่น สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งดั่งต้องการจะปลดปล่อยความทุกข์ระทมทั้งมวล บนถนนที่ทอดยาวไปข้างหน้าราวไร้ที่สิ้นสุด แสงไฟเพียงน้อยนิดจากหน้ารถส่องสะท้อนเม็ดฝนและน้ำที่เกาะขังอยู่กับถนนจนเกิดประกายมันเลื่อม ในขณะนั้นที่คุณกำลังนั่งอยู่คนเดียวหลังพวงมาลัยรถยนต์ส่วนบุคคลท่ามกลางบรรยากาศอันชวนวังเวงและน่าหวาดระแวง ...คุณเคยรู้สึกอย่างนี้บ้างไหม... ในความมืดมิดนี้ที่ไหนสักแห่งที่คุณเองก็ไม่อาจทราบได้ แต่คุณเองกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างอันชวนขนหัวลุก ...คุณรู้สึกได้ว่าสายตาบางคู่กำลังจับจ้องมองคุณอยู่... ผมเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว แต่มันเป็นความรู้สึกแบบไหนน่ะเหรอ มาสิครับ ตามผมมา ผมจะเล่าให้ฟัง... ผมเป็นคนหนึ่งในหลายๆ คน หรืออาจจะเรียกได้ว่าคนส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้สำหรับคนเมืองที่มีชีวิตผูกพันอยู่กับเครื่องจักรที่ถูกรังสรรขึ้นเพื่อให้มวลมนุษยชาติเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกยิ่งขึ้นบนท้องถนน หรือจะเรียกให้ง่ายๆ ก็รถยนต์นั่นล่ะครับ เนื่องด้วยอาชีพของผมที่ต้องขายสินค้าและบริการเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดตามหลักการขายสมัยใหม่ และก็เพื่อตามหน้าที่ที่เจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งอุตส่าห์ยอมควักกระเป๋าจ่ายค่าจ้างให้ผมทำหน้าที่นี้แทนพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ชีวิตในแต่ละวันของผมส่วนใหญ่จะหมดไปบนรถยนต์คู่ชีพและการจราจรอันคับคั่งบนท้องถนนใจกลางเมืองหลวงที่แสนจะวุ่นวายและชวนให้ประสาทเสียเอาง่ายๆ ผมจะมีความสุขมากทีเดียวหากวันไหนผมได้ขับรถออกไปเยี่ยมลูกค้าที่เขตชานเมืองหรือไม่ก็ต่างจังหวัด ความจริงแล้วผมเองไม่ได้รังเกียจหรือเบื่อหน่ายที่จะขับรถยนต์ตะลอนๆ ไปไหนต่อไหนตลอดทั้งวัน เพราะอย่างที่ผมบอกคุณไปแล้วว่าชีวิตของผมผูกพันกับรถยนต์ ผมกลับชอบเสียอีกที่จะได้ขับมันไปเรื่อยๆ ดูวิวสองข้างทางตลอดทั้งวัน แต่ว่าต้องไม่ติดแหงกเหมือนในเมืองหลวงนะ วันหนึ่งในฤดูหนาว... ผมจำได้ดีทีเดียว มันเป็นวันที่ผมต้องไปเยี่ยมลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่ต่างจังหวัด จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่หรอกครับ ก็เพียงแค่เลยปริมณฑลไปหน่อยเดียวเท่านั้นเอง ถึงจะอย่างนั้นแต่ผมก็เลือกที่จะออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะขับรถกินลมเล่น พอช่วงสายๆ ก็แวะกินอะไรตามรายทางเอา กะว่าจะให้ถึงบริษัทของลูกค้าก่อนบ่ายโมงนิดหน่อยจะได้ไม่ต้องรอนานมาก ผมเองขึ้นชื่อว่านัดลูกค้าแล้วไม่เคยไปสายกว่าเวลานัดสักครั้ง เป็นเกียรติประวัติส่วนตัวที่ผมค่อนข้างจะภูมิใจทีเดียว หลังจากไปถึงก็กะว่าจะคุยงานแล้วก็ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบสักนิดหน่อยก่อนจะเดินทางกลับ ...อืมมม...กำลังดี...ถึงบ้านช่วงหัวค่ำ... ถึงแม้ผมจะชอบขับรถ แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศของท้องถนนในช่วงเวลากลางคืนสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะบางคืนที่มันมืดมิดเสียเหลือเกิน เมื่อรถยนต์เริ่มเคลื่อนที่ห่างออกจากความวุ่นวายในตัวเมือง สองข้างทางก็เริ่มปรากฏความร่มรื่นอันเนื่องมาจากความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ผมเอื้อมมือไปปิดเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ก่อนจะกดปุ่มเลื่อนกระจกหน้าต่างลงเพื่อรับลมเย็นจากภายนอก กลิ่นหอมจางๆ จากไออุ่นของดินและต้นหญ้าในท้องทุ่งนี่ล่ะที่ผมชอบ และโดยเฉพาะยิ่งในช่วงเวลาเช้าด้วยแล้ว แสงจากท้องฟ้าที่สาดส่องลงมาอาบต้นข้าวและใบไม้ใบหญ้าจนเห็นเป็นสีทองทั่วทั้งบริเวณ ลมเอื่อยพัดยอดไม้ยอดหญ้าให้ปลิวไสวไปตามกันราวกับต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นกำลังล้อเล่นอยู่กับสายลมที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ...มันช่างเป็นความงดงามหาที่เปรียบมิได้จริงๆ... ผมมาถึงบริษัทของลูกค้าเกือบบ่ายโมง หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ถึงเวลาเข้างานช่วงบ่ายผมก็เดินเข้าไปในบริษัทและแจ้งความจำนงแก่พนักงานต้อนรับ อืมมม..เป็นไปตามกำหนดการพอดิบพอดีอะไรอย่างนี้...จริงสิ...คุณอาจจะยังไม่รู้ ผมน่ะเป็นนักจัดตารางเวลามือฉมังคนนึงเชียวล่ะ เวลาผ่านไปนานเกินกว่าที่คาดไว้ ผมลอบชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือบ่อยครั้งจนตัวผมเองยังเกรงว่าลูกค้าของผมจะจับพิรุธได้ ลูกค้าคนนี้ช่างคุยช่างพูดเสียเหลือเกิน ตารางเวลาของผมผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว อาหารเย็นถูกจัดเตรียมในห้องประชุม ถึงแม้จะหงุดหงิดแต่ผมก็ไม่อาจปฏิเสธคำเชื้อเชิญได้ ก็เขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่แม้แต่เจ้าของบริษัทของผมยังต้องเกรงใจนี่ครับ เป็นอาหารชั้นเลิศที่ผมกินไม่อร่อยเอาเสียเลย ความร้อนรน ความร้อนใจ ทำให้ผมไม่รับรสของอาหารตรงหน้า ...แย่ชะมัดที่อะไรๆ ก็ผิดแผนไปหมด แต่ว่าที่สำคัญกว่านั้น... ที่นั่งหลังพวงมาลัยรถยนต์ ขณะนี้ผมนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิดบนท้องถนนที่ทอดยาวราวไร้ที่สิ้นสุด เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ทัศนะวิสัยในขณะนี้ดูจะแย่เอามากๆ ทีเดียวที่จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาในช่วงเย็นที่ผ่านมา อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ผมไม่สามารถขับเคลื่อนรถยนต์คู่ชีพให้ทะยานไปด้วยความเร็วอย่างที่ควรจะเป็นได้ ...อากาศภายนอกตัวถังคงจะหนาวเอามากๆ... เลยจากไหล่ทางออกไป บนท้องทุ่งเดิมที่ผมเพิ่งขับผ่านมาเมื่อเช้า ในช่วงเวลานี้มันกลับดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงราวสวรรค์กับนรกก็ไม่ปาน ท้องทุ่งอันมืดมิดที่ทุกอณูของดินและต้นไม้ใบหญ้าโอบอุ้มความชื้นแฉะของฝนและไอน้ำในอากาศไว้จนเต็มปริ่มส่งกลิ่นดิบชื้นชวนอึดอัดออกมาปกคลุมรอบบริเวณ หากผมต้องไปยืนอยู่ที่กลางทุ่งตรงนั้นในเวลาอย่างเช่นค่ำคืนนี้ที่ทั้งมืดมิด หนาวเหน็บ และเปียกปอนแต่เพียงผู้เดียว ไม่ยากที่จะจินตนาการเลยว่าความหนาว ความเหงา ความว้าเหว่ คงเกาะกินหัวใจจนด้านชา วันแล้ววันเล่าที่ต้องทนเฝ้ายืนมองรถยนต์ที่นานๆ จะผ่านมาสักคัน และได้แต่หวังว่าเขาผู้นั้นจะให้อาศัยรถไปด้วย ...ไปสู่ที่ๆ ความหนาว ความเหงา และความว้าเหว่ ไม่สามารถเกาะกินหัวใจเราได้... โอ...ไม่...ไม่ๆๆ อย่าคิด อย่าไปคิดถึงเรื่องแบบนั้น...ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าผมไม่ชอบบรรยากาศของท้องถนนในเวลาค่ำคืน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ฝนตกแบบนี้ บอกตรงๆ ว่ามันทำให้จินตนาการของผมตะลึงพรึงเพริดไปไหนต่อไหนได้ง่ายๆ เปรี้ยงงง...ครืนนนน....!! .....!!..... เอ๊ะ เมื่อกี้นี้อะไร ที่ด้านขวาของผม ตอนที่ฟ้าแลบเมื่อสักครู่ ผมรู้สึกเหมือนเห็น หรือไม่ก็คิดว่าเห็นเหมือนใครบางคนยืนอยู่ เขาหรือเธอหรือจะอะไรก็แล้วแต่อยู่บนไหล่ทางที่เปรียบเสมือนเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสิ่งที่ยังมีไออุ่นและลมหายใจ ...กับสิ่งที่ไม่มี... ประสาทดมกลิ่นของผมได้กลิ่นดิบชื้น กลิ่นดิบชื้นที่ผมเกลียด มันเข้ามาในรถได้ยังไง กลิ่นพวกนี้ สายตาจับจ้องตรวจสอบกระจกทีละบานว่ามันยังคงอยู่ในสภาพที่ปิดสนิทหรือไม่ ร่างกายเหนียวเหนอะไม่สบายตัวอันเนื่องจากความชื้นในบรรยากาศ ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ ...จากที่ไหนสักแห่งในความมืดมิดนี้...ไม่...ไม่...ผมทนไม่ไหวกับบรรยากาศแบบนี้และรู้สึกว่าตัวเองกำลังประสาทเสีย... โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว เท้าขวาของผมเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้น อาจจะเนื่องจากความเครียดที่ผมอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ...ไปจากบริเวณที่ไร้ไออุ่นและหนาวเหน็บเช่นนี้... ฉันพลันความเยือกเย็นจากที่ไหนสักแห่งพัดผ่านท้ายทอยส่งผลให้เส้นขนทั่วสรรพางค์กายแข่งกันตั้งชันอย่างไม่ตั้งใจ น้ำตาผมเริ่มไหล มือจับพวงมาลัยเกร็งแน่นจนผมเองก็ยังรู้สึกเจ็บมือ คันเร่งถูกเหยียบเพิ่มขึ้นจนเรียกว่าได้ว่าเกือบจะจมเท้า รถยนต์ทะยานฝ่าสายฝนด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง เปรี้ยงงงง.....ครืนนนนน......!!! ไม่ผิดแน่ แสงสีขาวยาวนานต่อเนื่องในครั้งนี้ทำให้ผมมองเห็นบริเวณตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และที่กลางถนนนั้น หญิงสาวแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จัก ...เธอ...กำลังยืนขวางเส้นทางรถของผมอยู่... เอี๊ยดดดดดดดดด...........โครมมมมมม....................!! ผมหักพวงมาลัยรถยนต์โดยอัตโนมัติ และนั่นก็ส่งผลให้รถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงท่ามกลางพายุฝนเสียหลักในทันที รถพลิกคว่ำหลายตลบตกลงไปนิ่งอยู่ในท้องทุ่งข้างทาง สติผมเลื่อนลอย... หญิงสาวตรงเข้ามาหาผม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะเรียกได้ว่าชิดกับใบหน้าของผม กลิ่นดิบชื้นรุนแรงปะทะเข้าอย่างจังกับประสาทดมกลิ่น...กลิ่นที่ผมเกลียด... ...เธอแสยะยิ้ม... ...และ... บนไหล่ถนนอันเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสิ่งที่ยังมีไออุ่นและลมหายใจกับสิ่งที่ไม่มี บัดนี้ผมได้ก้าวข้ามมาอยู่ที่ฝั่งฟากตรงข้าม ในท้องทุ่งอันมืดมิด เงียบเหงาและเหน็บหนาว คอยจ้องมองรถยนต์ที่นานๆ จะแล่นผ่านมาสักคัน วันแล้ววันเล่า เพื่อเฝ้ารอคนต่อไปที่จะมาพาผมออกไปจากที่แห่งนี้ ...สถานที่ที่คละคลุ้งไปด้วยไอเย็นและกลิ่นดิบชื้น... ที่ทางสายเปลี่ยวแห่งใดแห่งหนึ่ง หากคุณได้เดินทางผ่านไปที่นั่นและรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่คุณเองก็ไม่อาจบรรยายได้ กระสับกระส่าย หวาดระแวงเหมือนถูกใครจ้องมอง ความเย็นเยือกและดิบชื้นที่คุณไม่เคยรู้สึก นั่นล่ะ ผมเอง ผมกำลังเฝ้ามองคุณอยู่...
จากคุณ |
:
KTHc
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ก.ย. 52 22:23:34
|
|
|
|