Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าสยองของข้าพเจ้า ตอน แสงหิ่งห้อยกับเงาสูงชะลูด  

สามารถติดตามอ่านเรื่องเล่าสยองของข้าพเจ้า
และนิยายเรื่องอื่นๆได้ที่ blog ของมูนนี่ค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever

ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านมากๆค่ะ^/|\^

ตอน ผีโพรงที่ลำตะคอง (หลอนครั้งแรก)
ตอน ผีโพรงที่ลำตะคอง (ฝูงผีบุก)
ตอน ผีทวงสมอง
ตอน ช่วยด้วย
ตอน หัวใคร ในทะเล
ตอน ทำไมพี่ถึงไม่ช่วยผม!
ตอน กลิ่น
ตอน เขามาเตือน
ตอน วิญญาณป่าที่เขาใหญ่
ตอน เขามานำทาง
ตอน เหงามั้ยจ๊ะ
ตอน ผีถ้วยแก้ว
ตอน ผีที่อินเดีย ตอนแรก
ตอน เขา....มาเกาะที่ไหล่
ตอน ท่อนแขนใครบนหาดทราย
ตอน ผีที่อินเดีย(ภาคสองเสียงในความมืด)
ตอน ความอัศจรรย์บนนากาก็อต
ตอน พรายทะเล
ตอน มือสีขาว
ตอน ผีที่ดินเดีย ภาคเจอผีที่เนปาล
ตอน ผมเป็นทหารช่าง
ตอน ผีอำ
ตอน เส้นทางสนธยา
ตอน เงาดำที่ศรีลังกา
ตอน ขอข้าวอีก!
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8041465/W8041465.html
ตอน ใครที่วิ่งเข้ามา
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8064925/W8064925.html
ตอน ศีรษะสยองขวัญ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8092509/W8092509.html
ตอน เสียงที่วิ่งรอบรถ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8122337/W8122337.html
ตอน อะไรวิ่งอยู่บนหลังคา
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8146949/W8146949.html
ตอน วิญญาณที่มากับกระถางกุหลาบ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8173589/W8173589.html
ตอน ข้อเท้าใคร
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8202343/W8202343.html
ตอน วิญญาณจากอุบัติเหตุ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8256504/W8256504.html

เรื่องที่ 34

แสงหิ่งห้อยกับเงาสูงชะลูด

ตอนแรกตั้งใจจะเล่าเรื่อง อาถรรพ์เพลงมอญร้องไห้ก่อน แต่ปรากฏว่าลำดับเหตุการณ์ไม่ถูก ต้องขอไปคุ้ยหาเทปคาสเซ็ตที่เคยอัดไว้สมัยไปเล่าในรายการช็อคซึ่งนานมาก ไม่รู้ป่านนี้มันยืดยานไปแล้วหรือยัง

พอเปลี่ยนแผนก็ต้องหาเรื่องเล่าใหม่ นั่งนึกไปนึกมาอยู่นานเพราะระยะหลังไม่ค่อยได้เจออะไรมาก อาจจะเป็นที่มัวเขียนนิยายจนแทบไม่ได้มีเวลาปฏิบัติตัวเหมือนเมื่อก่อน แล้วสมาธิที่มีอยู่ในตอนนี้มันก็มุ่งไปที่งานเขียนหมดชนิดนั่ง กิน เดินก็ยังคิดบทต่อไปของเรื่องตลอดเวลา ขนาดลงมานั่งทำงานตีสามตีสี่ต่อให้มีเงาอะไรผ่านหน้ายังไม่รู้ตัวเลย

ความจริงยังนึกไม่ออกหรอก พอดีน้องสาวพูดเรื่องไปอัมพวาขึ้นมาแล้วก็คุยกันถึงเส้นทางล่องเรือไพล่ไปถึงคลองหมาหอน คลองผีหลอก เลยนึกขึ้นมาได้ว่าเราเคยไปล่องเรือดูหิ่งห้อยนี่หว่า
แต่นั่นก็นานหลายปีมาแล้วเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะราวๆสี่หรือห้าปีนี่แหละ

การไปสมุทรสงครามในสมัยก่อนต้องใช้เส้นทางเดียวคือถนนพระรามสอง มีทางเข้าให้เลือกสองทางคือทางเส้นราชบุรีที่จะไปตลาดน้ำดำเนินสะดวกกับอีกเส้น ไม่แน่ใจเพราะตอนนั้นเขากำลังขยายทางแต่มันจะมุ่งตรงไปวัดบ้านแหลมเลย ตอนนั้นการไปชมหิ่งห้อยยังถือเป็นเรื่องใหม่ คนยังไปน้อย ตลาดน้ำก็มีแค่ดำเนินสะดวกเท่านั้น สองสามปีให้หลังถึงเริ่มมีที่ท่าคากับบางน้อยเพิ่มขึ้นมา อัมพวามาโตในอีกหลายปีให้หลัง

พวกพี่ไปดูหิ่งห้อยกันหลายครั้ง อาจจะเพราะชอบบรรยากาศบ้านพักที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เป็นรีสอร์ทค่ะแต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรรู้แค่ว่าอยู่ติดถนนใกล้ทางเข้าวัดแก้วฟ้าเท่านั้น ราคาก็ไม่แพงมากที่สำคัญอาหารอร่อยที่สุดโดยเฉพาะปลากะพงราดแกงเขียวหวาน ขนาดจำเอามาทำกินกันเองที่บ้านเลยล่ะ

สองสามครั้งแรกที่ไปไม่เจออะไรมากนัก แต่ละครั้งก็ไปกันเป็นกลุ่มมีหลายคนแต่ส่วนใหญ่ก็หน้าเดิมๆเพราะรู้ใจกัน ไม่เรื่องมาก เส้นทางเที่ยวก็จะเป็นการวิ่งวนถนน...จำชื่อไม่ได้แวแต่มันจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งคืออุทยาน ร. 2 โบสถ์คริสต์ร้อยปีซึ่งสวยมากเป็นการก่อสร้างแบบโกธิค โบสถ์ภาพสีร้อยปีของไทย แหล่งทำบอระเพ็ดหวาน อ๊ะ หวานจริงๆนะคะ เขาเอามาเชื่อมแบบหวานจัดหมดความขมไปเลย สำนวนที่ว่าขมเหมือนบอระเพ็ดใช้กับที่นี่ไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแหล่งที่ว่านั่นแล้วล่ะ

พอถึงโบสถ์ฝรั่งจะขับรถข้ามแม่น้ำไปอีกด้าน เลยไปดูโครงกระดูกสองพันปี เดี๋ยวนี้คงย้ายไปเข้าพิพิธภัณฑ์แล้วไม่งั้นแทนที่จะได้ศึกษากลับต้องมานั่งเสียเวลาขูดทองออก จากนั้นก็แวะไปค่ายบางกุ้งสักการะโบสถ์เก่าแก่ที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม เรียกว่าโบสถ์นี้คงสภาพได้เพราะต้นไม้สี่ชนิดคือ โพธิ์ ไทร ไกร กร่าง ตอนนั้นครึ้มร่มเย็นมาก มีการแสดงเรือเก่าแก่กลางแจ้งด้วย และถ้าเดินข้ามไปในวัดบางกุ้งที่ตั้งริมแม่น้ำจะต้องตะลึงเพราะมีปลาตัวโตว่ายกันยู่แน่นขนัด ใช้คำว่าแน่นขนัดเลยล่ะค่ะเพราะมันมากชนิดเราแทบจะเดินบนหลังของมันแล้วข้ามไปอีกฝั่งได้ สวนใหญ่จะเป็นปลาสวาย ริมฝั่งก็จะมีปลาเปกู หรือปลาจะละเม็ดน้ำจืดที่เห่อกันพักนึ่ง ความจริงแล้วมันเป็นสายพันธุ์หนึ่งของพิรันย่าชนิดไม่กินเนื้อ นอกจากนี้ก็มีปลาแรดตัวโตๆยังไม่นับพวกปลาตะเพียน:-) ปลาเล็กปลาน้อยที่ว่ายวนไปวนมา พี่ซื้ออาหารปลาแบบยกกระสอบแล้วสาดโครมลงไป มันโดดแย่งกันน้ำกระจายแต่สนุกมากเลย

จากนั้นก็ไปกันอีกสองสามวัดจำชื่อไม่ได้ จำได้แค่มีที่หนึ่งเป็นกุฏิเก่าแก่ของเชื้อพระวงศ์กับวัดที่มีโบสถ์ทำจากไม้สักทอง สมุทรสงครามตอนนั้นสองฝั่งแม่น้ำยังอุดมไปด้วยต้นไม้โดยเฉพาะมะพร้าว เคยกินขนมใส่ไส้ในกรุงเทพอันละห้าบาท ไปเจอที่นั่นอันละบาทแถมหวานมันด้วยกะทิแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ งานนี้เหมากันยกร้านเลยค่ะ

บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วเพราะไปครั้งหลังสุดนี่ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากจนจำเค้าเดิมไม่ได้เลย ต้นมะพร้าวหายไปกว่าครึ่ง มีแต่ลิ้นจี่เต็มไปหมด ปลาก็ไม่มีเหลือให้เห็นซักตัว

พาวนเหมือนตอนไปเที่ยวกันเลย เอ้า เลี้ยวกลับเข้าที่พักกันดีกว่า

ตอนเจอเหตุการณ์ตื่นเต้นเป็นการไปชมหิ่งห้อยครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะภาระหน้าที่การงานของแต่ละคนที่เริ่มรัดตัวขึ้นทำให้การรวมพลลำบากมากกว่าสมัยก่อน แก็งค์ที่ไปก็เจ้าเดิมคือครอบครัวพี่ ติ่ง เอ๋ วิทย์ ห้าคนเท่านั้น เลยเปิดที่พักซึ่งเป็นบ้านขนาดใหญ่เพียงห้องเดียว ที่นี่จะมีเรือให้ชมหิ่งห้อยสองแบบคือ เรือคล้ายๆเรือโป๊ะ กับเรือขนาดเล็กคล้ายๆเรือเร็วซึ่งอย่างหลังเหมาะแก่การชมในเวลาหัวค่ำ ส่วนเรือใหญ่จะมีการจัดอาหารลงไปรับประทานก็ได้ แต่ต้องทนหิวเอาหน่อยเพราะจะออกประมาณสองทุ่ม

เล่าบรรยากาศโดยรอบรีสอร์ทสักนิด ความจริงที่นี่เป็นบ้านส่วนบุคคลแต่เจ้าของที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไอเดียรีสอร์ทท่องเที่ยวเลยตกแต่งและสร้างบ้านพักเพิ่ม ที่นั่นมีต้นไม่ใหญ่ร่มรื่นมากและด้วยความที่สมัยนั้นยังไม่เป็นแหล่งท่องเที่ยว สองฝั่งจึงเต็มไปด้วยป่าโกงกางและป่าจาก ยังไม่นับชายเฟือยทั้งหลายที่มีอยู่เต็มไปหมด

อ้อ ชายเฟือยก็คือบรรดาพืชน้ำที่ทอดยอดปกคลุมผิวน้ำใกล้ฝั่ง เช่นผักกะเฉด ผักบุ้งอะไรทำนองนี้ค่ะ มันเป็นที่พักอาศัยชั้นดีของสัตว์น้ำทั้งหลายเลยล่ะ

เลยบ้านพักไปนิดเดียวเป็นวัดเก่าแก่ ก็วัดแก้วฟ้านั่นแหละ ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านคน ซึ่งดูเหมือนวันนั้นจะมีงานเพราะมีเพลงดังตลอด กว่าจะรู้ว่าเป็นงานอะไรก็ตอนค่ำ

ซึ่งเป็นการรู้ที่ทำให้พวกเราหัวใจแทบวาย

บ้านหลังนั้นขนาบด้วยป่าโกงกางค่ะ มีต้นตาลอยู่หนึ่งต้นขึ้นเด่นเป็นสง่า เลยไปจากนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากป่าแล้วก็สวนมะพร้าว แค่หกโมงเย็นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบแล้ว

พวกพี่เลือกเรือใหญ่แต่ไม่ได้จัดอาหารลงไปเพราะขืนมัวแต่กินมีหวังอดดูหิ่งห้อยสวยๆแน่ พอได้เวลาทุกคนก็ลงเรือ อย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่าเวลานั้นการชมหิ่งห้อยยังไม่เป็นที่นิยมนัก ตลอดทั้งคลองจึงเงียบและมืดมาก เรือวิ่งไปได้สักพักก็ดับไฟและเดินเครื่องเบาเลียบชายฝั่ง เราเริ่มผ่านวัดแรกคือวัดแก้วฟ้า เสียงสวดทำให้ทุกคนนิ่ง

งานศพ

ช่วงระยะต้นไม่ค่อยเจอหิ่งห้อยมากนักอาจเป็นเพราะยังอยู่ในแหล่งชุมชน เรือก็แล่นไปเรื่อยลอดใต้สะพานช่วงคลองบางน้อย จากตรงนี้ไปจะเงียบมากเพราะไม่ค่อยมีบ้านคน ต้นลำพูขึ้นกระจายกันอยู่ทั้งสองฝั่ง พวกพี่เริ่มตื่นเต้นเมื่อเริ่มเห็นแสงกระพริบวิบวับเต็มไปหมด เรือแล่นเข้าไปใกล้ฝั่งอีกนิดเพื่อให้พวกเราดูได้ชัด พอเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าลำพูต้นนี้ขึ้นในเขตวัด

งานศพอีกแล้ว

พวกพี่มองหน้ากัน แต่จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกก็คนตายกันทุกวันอยู่แล้วหันไปดูหิ่งห้อยดีกว่า แต่ละตัวโตๆทั้งนั้นไม่เหมือนหิ่งห้อยที่เคยเจอในกรุงเทพ อยากถ่ายรูปแต่ก็คงไม่ติดหรอก ดีไม่ดีอาจเป็นการทำลายธรรมชาติโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะอย่างที่ทราบกัน ที่หิ่งห้อยส่งแสงก็เพื่อเรียกตัวเมียมาผสมพันธุ์ ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องระวัง ไม่ใช่สักๆแต่ว่าถ่ายรูปกันไปแล้วอ้างว่า ขอแค่หน่อยเดียวเท่านั้นไม่เห็นเป็นไรเลย

ไอ้หน่อยเดียวนี่แหละค่ะ ถ้าห้าร้อยคนคิดแบบนั้น อะไรมันจะไปเหลือ

กลับมาที่หิ่งห้อยต่อ ตอนที่กำลังตื่นเต้นกับขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ของมัน เจ้าเอ๋ก็ชี้ไปที่โคนต้นแล้วพูดว่า ตัวนั้นใหญ่เบ้อเริ่มเลย พวกเรารีบมองตาม เหมือนกับรู้เจ้าหิ่งห้อยตัวนั้นบินขึ้นมาด้านบนอย่างรวดเร็วแล้วลอยขึ้นฟ้าหายไปเลย

อึ้งค่ะ

เพราะตอนที่มันบินมาอยู่ในระดับสายตา พวกเราเห็นชัดเลยว่าขนาดของมันใหญ่เท่ากับจานข้าว แถมตอนที่บินขึ้นฟ้ามันเร็วจนเหมือนพุ่งมากกว่า พวกพี่พร้อมใจกันหันไปมองงานในวัดและหันกลับไปที่คนขับเรือ เขาไม่พูดอะไรนอกจากเร่งเครื่องพาออกไปจากที่นั่นทันที

พวกเราผ่านต้นลำพูใหญ่ไปอีกสองสามจุด แต่ละที่ก็มีหิ่งห้อยเยอะแยะ ความสวยงามและธรรมชาติที่เงียบสงบทำให้พี่ลืมนึกถึงเรื่องที่เจอเมื่อครู่ เรือวิ่งต่อไปได้อีกระยะหนึ่งก็วนกลับ คราวนี้เป็นการชมหิ่งห้อยฝั่งตรงข้ามกับคราวแรกค่ะ

อาศัยว่าคืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม แต่จะกี่ค่ำก็ไม่รู้เหมือนกัน เราเลยได้ชมแสงหิ่งห้อยกันอย่างจุใจ เสียแต่ว่าฝั่งตรงข้ามไม่ค่อยมีต้นลำพูขึ้นมากนัก ขากลับจึงใช้เวลาค่อนข้างเร็ว เรือวิ่งทวนกระแสน้ำไปเรื่อยๆจนถึงหน้าที่พัก เขายังไม่เข้าไปจอดหรอกค่ะเพราะคนขับบอกว่าเลยไปนิดตรงคุ้งน้ำจะมีต้นลำพูใหญ่อีกต้น พวกพี่ก็นั่งมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงบ้านที่มีงาน เสียงเพลงที่ดังมาทำให้เรามองด้วยความสนใจและถามกันว่างานอะไร เจ้าเอ๋โพล่งขึ้นมาว่า

งานแต่งงานมั้งพี่ เราไปขอข้าวเขากินกันเถอะ

เท่านั้นแหละค่ะ เครื่องยนต์ก็ดับ พวกพี่ที่กำลังมองบ้านงานใจหายวาบเมื่อเห็นไฟหลากสีกำลังกะพริบรอบกรอบรูปและโลง

งานศพนี่หว่า

ตอนที่คิดแบบนี้มีลมพัดมาวูบหนึ่ง พี่เลื่อนตาไปมองต้นตาลและนั่งตัวแข็ง มันเป็นคนที่กำลังยืนโบกมือไปมาอย่างเชื่องช้า พยายามตั้งสติจ้อง ไม่ได้ขยี้ตาหรือหลับตานะคะ จ้องเลยล่ะ มันค่อยๆเลือนไปเป็นต้นตาลที่กำลังโอนเอนไปตามแรงลม แล้วที่เราเห็นเมื่อกี้น่ะ อะไร

คนขับเรือพยายามแก้ไขเครื่องยนต์ น่าแปลกตรงแทนที่เรือจะไหลไปตามน้ำมันกลับแล่นตรงขึ้นไปเรื่อยๆ เสียงคลื่นที่วิ่งกระทบรากโกงกางดังเป็นระยะฟังเหมือนมีใครบางคนกำลังย่ำอยู่บนนั้น พี่มองไปที่ผิวน้ำแล้วใจหายวาบเพราะเห็นเหมือนมือคนกำลังโผล่ขึ้นมา ความที่ถูกสอนมาโดยตลอดว่าให้ตั้งสติอย่าได้ติดสินอะไรตาสายตา พี่จ้องอีกครั้ง มันหายไปแล้วค่ะ

ตอนกำลังโล่งใจคนทั้งเรือก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังกระทุ้งท้องเรือเบาๆ มีคนถามว่าเสียงอะไร พี่แทบอยากกระโดดถีบให้ตกเรือแต่ก็รีบตอบไปว่า เศษไม้มั้งเมื่อกี้เห็นมันลอยมาตามน้ำ ก็ไม่รู้หรอกว่าคนถามจะเชื่อไหม แต่ที่แน่ๆคนเรือล้วงมือไปที่หิ้งแล้วดึงอะไรไม่รู้ออกมาวาง

จากนั้นเครื่องก็ติด เรือวิ่งไปจนเกือบถึงคุ้งน้ำแล้วตีวงกลับ พวกพี่รีบกลับเข้าที่พักและถามแม่กันวุ่นวาย แม่บอกว่าหิ่งห้อยที่เห็นครั้งแรกวิญญาณ ส่วนเหตุการณ์ที่เจอครั้งที่สอง เพราะเจ้าเอ๋ไปทักเจ้าของงานเขาเลยมาตอบ พอพี่ถามถึงเรื่องต้นตาล ปรากฏว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด คราวนี้แม่ไม่ตอบอะไร พอถามมากๆเข้าแม่เลยบอกว่าเดี๋ยวเขาก็ตามมาขออีกหรอก นั่นแหละถึงได้เงียบกันได้

แล้วทำไมเรือถึงดับ

จนป่านนี้แม่ยังไม่ยอมบอกเลยค่ะ    

*/*/*/*/*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 52 10:38:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com