Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 13 : รูมเมทใครคิดว่าไม่สำคัญ  

ตอนที่ 13 : รูมเมทใครคิดว่าไม่สำคัญ


เป็นเด็กหอทั้งที สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือรูมเมทนะคะ ใครมีรูมเมทดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอรูมเมทแย่หน่อยก็ต้องทนไปปีหนึ่งเต็มๆค่ะ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ต้องอพยพโยกย้ายกันเองก่อนหมดปีการศึกษาก็มีค่ะ อินอยู่หอมาสามปีครึ่ง ได้รูมเมทมาร่วมห้องหลากหลายมาก ปีแรกเป็นรูมเมทที่เราสมัครใจเลือกเองค่ะ แต่ปีหลังๆนี่ เป็นแบบเขาจัดให้เสียเป็นส่วนใหญ่ ที่เลือกเองก็มีบ้างค่ะ


ปีแรกที่อินว่าเป็นการสมัครใจเลือกเองนั้น คนที่สอบติดโควตาภาคเหนือจะมีภาษีดีกว่านิดนึง ที่เราจะได้เลือกรูมเมทด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนร่วมห้อง หรือร่วมโรงเรียนกันมานี่ล่ะค่ะ ถ้าก๊วนไหนเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว ก็จับกลุ่มกันได้ง่ายและเร็วขึ้นอีกหน่อย แต่ถ้าใครโชคไม่ค่อยดี เพื่อนสนิทเอนท์ไม่ติดอย่างอินนี่ก็ออกจะยุ่งนิดนึง ที่จะต้องมาจับคู่กับเพื่อนที่เราไม่ได้สนิทด้วย เพราะนั่นหมายความว่าเราจะต้องเริ่มทำความรู้จักกันใหม่หมด เพราะความที่เราไม่รู้จักนิสัยใจคอกันดีพอ บางทีเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาทีหลังได้เหมือนกันค่ะ


ตอนที่อินอยู่ปีหนึ่งนั้น อินต้องจับกลุ่มกับเพื่อนที่เรียนร่วมห้องคนหนึ่งชื่อจี๊ด ก็คนเดียวกับที่อินเคยเล่าไว้ในบทต้นๆว่าเจอผีในห้องพักน่ะค่ะ  (คนนี้ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพราะเรียนห้องเดียวกันมาสามปี ถึงจะไม่สนิทกันมากนัก ก็ยังจะพอรู้ๆนิสัยกันอยู่บ้าง) และก็เป็นเพื่อนต่างห้องอีกคนหนึ่งชื่อหน่อย คนนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาหน่อยค่ะ เพราะนอกจากอินกับจี๊ดจะไม่คุ้นเคยกับหน่อยแล้ว อินยังเคยเขม่นกับเจ้าหล่อนมาด้วย ค่าที่หน่อยเขามาเกาะแกะวอแวกับอดีตแฟนสาวของอิน ตอนที่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกัน อินก็ออกจะลำบากใจสักหน่อย แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีค่ะ เพราะอินกับหน่อยต่างก็เป็นคนไม่ค่อยพูดกับคนที่ไม่ค่อยสนิทกันอยู่แล้ว เว้นจี๊ดนะคะ ขานั้นเฟรนด์ลี่กับคนเขาไปทั่วค่ะ  


ที่อินไม่ค่อยสนิทกับหน่อยนั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เคยเขม่นกันมา ทำให้มองหน้ากันไม่ค่อยสนิทใจอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าเธอเรียนคนละคณะกับอิน หน่อยเรียนบริหารค่ะ แต่อินกับจี๊ดเรียนคณะเดียวกัน (ถึงแม้จะต่างสาขาวิชาก็เถอะ) อินก็เลยสะดวกใจที่จะคุยกับจี๊ดมากกว่า ทั้งที่หน่อยเขาความจริงแล้วก็เป็นรูมเมทที่ดีคนนึงนะคะ อยู่ห้องเดียวกับอินยาวถึงซัมเมอร์ปีหนึ่ง ก่อนจะออกไปอยู่หอนอกค่ะ



ส่วนตอนปีสองนั้น ความที่ทั้งจี๊ดทั้งหน่อยสมัครใจย้ายไปอยู่หอนอก เพื่อแลกกับความสะดวกและอิสระที่จะไม่ต้องตาลีตาเหลือกรีบเข้าหอตอนสี่ทุ่ม อินก็ต้องหารูมเมทใหม่ค่ะ แต่ตอนนี้อินไม่ได้เลือกเองหรอกนะคะ อาจารย์ประจำหอพักคนที่ชอบเรียกอินว่าน้องหนูเป็นคนเลือกให้ค่ะ ซึ่งรูมเมทใหม่ของอินนี่เข้าขากันได้ดีทีเดียว แม้ว่าเราทั้งสามคนจะอยู่ต่างคณะกันก็ตาม


รูมเมทใหม่ของอินเป็นนักศึกษาชั้นปีเดียวกันค่ะ คนหนึ่งอยู่คณะสัตวแพทย์ชื่อหนุงหนิง แล้วอีกคนเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนอินเอง คนนี้อยู่คณะวิทยาศาสตร์ภาควิชาธรณีวิทยาค่ะ ชื่ออ้อม


หนุงหนิงเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆค่ะ สูงประมาณ 160 ซม. วันที่อินเข้าหอวันแรกปรากฏว่าเจอเธออยู่ที่ห้องแล้วค่ะ หนุงหนิงบอกว่าคณะสัตวแพทย์เปิดเร็วกว่าคณะอื่น ก็เลยต้องมาก่อน เวลานั้นหอพักนักศึกษาที่แม่เหียะยังไม่เสร็จดีค่ะ หนุงหนิงก็เลยต้องอยู่ฝั่งเฌองดอยไปพลางๆก่อน อินอยู่ร่วมห้องกับเธอนี่ อินต้องปรับตารางเวลานอนของอินใหม่หมดเลย เพราะหนุงหนิงเป็นคนนอนดึกตื่นเช้าค่ะ วันไหนที่เธอนอนดึกนี่ อินก็จะพลอยนอนดึกไปด้วย ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ คือเตียงของอินกับของหนุงหนิงนี่เป็นเตียงสองชั้น ความที่เธอเลือกเตียงล่างไปแล้ว อินก็ต้องตะกายขึ้นไปนอนเตียงบน (ส่วนเตียงเดี่ยวที่เหลืออีกเตียงนั่น อ้อมเขาเพิ่งเลือกก่อนอินไปไม่ถึงสองชั่วโมงค่ะ) แล้วนอนเตียงบนนี่เสียเปรียบนิดๆนะคะ เพราะมันจะอยู่ใกล้หลอดไฟกว่าเขาเพื่อน แล้วแสงไฟก็แยงตาสุดๆ อินเป็นคนที่เวลานอนต้องปิดไฟค่ะ ไม่งั้นนอนไม่ได้ พอมาเจอกรณีอย่างนี้เข้าก็เลยต้องตามน้ำ นอนดึกเหมือนหนุงหนิงไปด้วยอีกคน


ส่วนเรื่องตื่นเช้านี่ไม่ตามเธอหรอกค่ะ ตราบใดที่อินไม่มีเรียนตอนแปดโมง ส่วนหนุงหนิงนั้น ไม่ว่าเธอจะนอนดึกแค่ไหน หกโมงเช้าเธอก็ตื่นแล้วค่ะ เพื่อไปสระผม เรื่องนี้เธอบอกกับอินเองว่า เป็นเพราะเส้นผมเธอมันมาก ไม่สระก็คงไม่ได้ ช่วงเทอมแรกนี่เรื่องสระผมตอนเช้ายังเป็นอะไรที่พอรับได้นะคะ แต่พอเทอมสองที่เป็นหน้าหนาวนี่สิ อินนับถือหนุงหนิงจริงๆ ยิ่งหน้าหนาวปี 42 นั้น ที่เชียงใหม่หนาวมากถึงมากที่สุด แต่หนุงหนิงก็ยังลุกขึ้นมาสระผมตอนเช้าได้อีก อย่าค่ะ อย่าเข้าใจผิดว่าหอในมีน้ำอุ่นนะคะ อยู่หอในนี่ถ้าเราใคร่จะใช้น้ำอุ่นนี่ต้องใช้กาน้ำร้อนต้มเอาเองค่ะ หนุงหนิงเธอก็ไม่ต้มน้ำด้วยนะคะ สระผมทั้งที่อุณหภูมิ 4 องศานั่นล่ะค่ะ ขนาดอินแค่จะอาบน้ำตอนเช้า อินยังคิดหนัก แทบไม่อยากโดนน้ำเลย ต้องรอให้สายสักหน่อยนั่นล่ะค่ะ หรือไม่วันไหนที่มีเรียนวิชาเดียว อินก็แค่ล้างหน้าแปรงฟันก่อน แล้วค่อยกลับหอมาอาบน้ำตอนเที่ยงค่ะ งั้นไม่ไหวจริงๆ แล้วค่อยอาบซ้ำอีกทีช่วงหกโมงเย็นเป็นอันจบเรื่องค่ะ


ช่วงกลางๆเทอมหนึ่ง หนุงหนิงคงเริ่มเกรงใจอิน ก็เลยหาโคมไฟตั้งโต๊ะมา แต่ถึงกระนั้นอินก็ยังอดตื่นขึ้นมากลางดึกไม่ได้อยู่ดี เพราะถึงแม้ว่าหนุงหนิงจะพยายามท่องตำราให้เบาที่สุดแล้วก็ตาม แต่เสียงซิดซี่ๆ อย่างคนที่พูดกระซิบกระซาบมันก็ยังแว่วเข้าหูอินอยู่ดีค่ะ มีอยู่คืนหนึ่งประมาณตีสอง หนุงหนิงยังไม่นอนตามเคย อินก็สะดุ้งตื่นด้วยเสียงของเธอเช่นเคย ตอนแรกอินนอนหันหน้าเข้าหาผนังนะคะ แต่พอตื่นขึ้นอย่างนี้มันก็ต้องมีพลิกตัวเปลี่ยนท่ากันบ้าง ปรากฏว่าพออินพลิกตัวมาด้านตรงข้ามเท่านั้นล่ะ อินใจหายวาบเลยค่ะงานนี้ นึกว่าตัวเองเจอดีเข้าอีกแล้ว


เป็นใครไม่ตกใจก็เก่งแล้วล่ะค่ะ คนกำลังงัวเงีย หันมาปุ๊บก็เจอหัวกะโหลกหมาขาวๆ ลอยอยู่ใกล้ๆ อย่างนั้น พอตั้งสติได้อินก็ทำทีเป็นลุกลงจากเตียง ทำเป็นว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ความจริงคืออินอยากลงมาดูว่า เจ้าหัวกะโหลกนั่นเป็นของหนุงหนิงหรือเปล่าเท่านั้นเองค่ะ คือถ้าหนุงหนิงเขาหลับคาโต๊ะอ่านหนังสือเล็กๆ ประจำตัวของเธอ แล้วเจ้าหัวกะโหลกนี่มันลอยได้เอง อินก็ตั้งใจจะเผ่นล่ะ (ความจริงอินจะก้มมองใต้เตียงอินก็ได้นะคะ แต่อินกลัวว่าหนุงหนิงจะตกใจเสียก่อนว่าเจอผีหลอก ก็ตอนนั้นผมอินยาวแล้วค่ะ ถ้าก้มก็ปรกหน้าปรกตาทีเดียวล่ะ)  ค่อยยังชั่วค่ะ หนุงหนิงเขายังตื่นท่องหนังสือเป็นปกติอยู่ เป็นอันว่าอินไม่เจอผีสุนัขหลอกหลอนแน่นอน


เรื่องกระดูกหมานี่นะคะ ความจริงไม่ได้มีแค่ส่วนหัวหรอกค่ะ แต่มีทั้งตัวเลยทีเดียว หนุงหนิงต้องหยิบกระดูกขึ้นมาทีละชิ้นๆ แล้วก็ท่องว่าส่วนไหนชื่ออะไรบ้าง (เป็นภาษาอังกฤษนะคะ) เสร็จแล้วก็เก็บลงใส่กล่องพลาสติกใบใหญ่เก็บไว้ในตู้ค่ะ แต่วันไหนที่เธอรีบไปเรียน กล่องใบนั้นก็จะวางอยู่บนโต๊ะทำงานนั่นล่ะ หลังๆ มา อินก็เลยเริ่มชินกับการที่ตื่นมาแล้วเจอกระดูกสัตว์ลอยอยู่ตรงหน้า



เย็นวันหนึ่ง อินเลิกเรียนกลับมาถึงหอ ด้วยความที่วันนั้นอินยังไม่ได้กินข้าวมาเลยทั้งวัน พอกลับถึงหอได้อินก็ดิ่งไปที่โรงอาหารทันที แล้วก็จัดการกับอาหารว่างเบาๆ เป็นเครปญี่ปุ่นรองท้องไปก่อน อินเพิ่งกินไปได้ครึ่งชิ้นเองค่ะ หนุงหนิงกับเพื่อนร่วมคณะเขาก็เดินเข้ามาในโรงอาหาร มาถึงก็สั่งขนมจีนน้ำยา แล้วก็มานั่งร่วมโต๊ะกับอิน อินชักงงค่ะ เพราะปกติอินไม่เคยเจอหน้าหนุงหนิงช่วง 4-5 โมงเย็นสักที


“ทำไมวันนี้กลับหอแต่วันได้ล่ะหนิง”


“กลับมากินข้าว เนี่ยเดี๋ยวคืนนี้เราคงไม่ได้กลับมานอนหอนะ ต้องไปฆ่าหมาแล้วก็ต้องจัดการต้มเลาะเนื้อออกอีก ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง”


คือการฆ่าหมาที่ว่านี่ ไม่ได้หมายความว่าต้องไปวิ่งไล่จับหมาจรจัดแล้วมาทุบหัวเปรี้ยง ให้มันดิ้นพราดๆเลือดสาดเป็นทางหรอกนะคะ แต่หมายความว่าไปฉีดยาเข้าเส้นหมาที่สุดความสามารถจะดูแลรักษาได้อีกแล้ว โดยที่เจ้าของให้ความยินยอม และยินดีที่จะให้ร่างเจ้าตูบผู้น่าสงสารอุทิศให้เป็นอาจารย์ใหญ่ค่ะ แต่ก็มีบ้างบางทีที่เราต้องไปวิ่งจับหมาจรจัดมาฆ่า เพราะร่างที่อุทิศให้มีไม่เพียงพอค่ะ (อันนี้หนุงหนิงบอกอินเองค่ะ มิน่าพอกลับบ้านทีไร หนุงหนิงถึงบอกว่าต้องไปทำสังฆทานให้หมู่มวลสรรพสัตว์ทุกทีไป)


“แล้วอีกอย่างนะอิน ที่ต้องรีบมากินข้าวก่อนเนี่ย ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวกลับมาจะกินข้าวไม่ลง บางทีนะผ่าท้องหมาออกมา แล้วเอาไส้ออก เจอพยาธิดิ้นดุ๊กดิ๊กๆเพียบ เหมือนกับขนมจีนนี่ล่ะ เห็นแล้วพานกินอะไรไม่ลง”


ปากหนุงหนิงก็ว่ากินอะไรไม่ลงนะคะ แต่หน้าตาเจ้าหล่อนนี่เฉยมาก แถมยังตักขนมจีนเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ต่อได้อีกแน่ะ อินชักไม่เชื่อแล้วสิว่าหนุงหนิงจะกินข้าวไม่ลง ดูเธอออกจะเจริญอาหารถึงขนาดนั้น ส่วนอินน่ะหรือค่ะ อินก็กินเครปต่อหน้าตาเฉยเหมือนกัน ทั้งที่ไส้เครปอินเป็นทูน่าแฮม แล้วมีซอสเยิ้มออกมาคล้ายๆเลือด แต่อินกลับไม่นึกคลื่นไส้แฮะ ยังคุยกันต่อได้หน้าตาเฉย สรุปว่าทั้งอินทั้งหนุงหนิงก็คงจิตพอกันล่ะค่ะ ถึงคุยเรื่องชวนน่าขยะแขยงตอนกินได้


“ต้องลงมือฆ่าเองเลยเหรอ แล้วหมาที่ไหนล่ะ”


“ฆ่าเองกับมือเลย ช่วงนี้ไม่ค่อยมีร่างอุทิศให้ สงสัยวันนี้ได้วิ่งไล่จับเหนื่อยอีกแล้ว ดูท่าเจ้าพวกนั้นจะพยาธิเยอะด้วย เราไปก่อนนะ ถ้าไม่กลับหอจะเพจมาบอก”


นี่ค่ะ มีรูมเมทเป็นนักศึกษาสัตวแพทย์ก็ต้องทำใจ กับการที่จะต้องนอนร่วมกับโครงกระดูกสัตว์ ไม่ใช่แค่กระดูกหมาหรอกค่ะ แต่ยังมีกระดุกแมวกับกระต่ายด้วย เคราะห์ดีที่ไม่เจอกระดูกวัวหรือควายนะคะ ไม่อย่างนั้นห้องอินคงแต่งห้องแนวเพื่อชีวิตได้เลย ส่วนอ้อมนั้น ที่อินไม่ค่อยเอ่ยถึง ก็เพราะว่าเธอชอบออกไปนอนค้างบ้านญาติมากกว่าค่ะ เลยไม่ค่อยเจอหน้ากันสักเท่าไหร่ อาทิตย์นึงเจอหน้ากันยังไม่ถึง 3 ครั้งเลยค่ะ ก็เลยไม่รู้จะเล่าถึงเธอคนนี้ยังไง


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 52 17:17:44

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 52 17:17:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com