"อ้อ ผิวก็เลยขาวอย่างนี้ใช่ไหม คนอื่นผิวคล้ำๆกันทั้งนั้น"
"ผิวเหมือนแม่นายใหญ่ท่านเจ้าค่ะ คุณย่าของแม่นายท่าน มารดาของพระยารามณรงค์เป็นคนล้านนาเจ้าค่ะ"
"อ้อ ลูกครึ่งนี่เองมิน่าล่ะ" เกศสุรางค์ถอนหายใจยาวยืดก่อนจะหันไปมองกล่องไม้ที่เรียงกันด้านหลังห้อง
"นั่นกล่องอะไรจ๊ะ" ถามไปเป็นนานยังไม่ได้รับคำตอบจึงหันมามองสองพี่เลี้ยงเป็นเชิงถาม ก็มองเห็นว่าทั้งสองอ้าปากตาค้างมองตนอยู่เหมือนกัน
"อ้าวมองอะไรกัน"
"แม่นายท่านกล่าววาจาไพเราะเหลือเกินเจ้าค่ะ" นางแย้มส่งยิ้มซื่อให้จนเกศสุรางค์ต้องยิ้มตอบ อดไม่ได้ที่จะเวทนาคนพูด ผู้ที่เป็นทาสในสมัยนี้คงต้องรองรับอารมณ์ของนายได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะโหดหรือจะดีคนเป็นทาสคงไม่มีทางเลี่ยง
"แล้วปกติข้าพูดยังไงหรือ"
"แม่นายท่านกล่าววาจาแผกหูไปมากนะเจ้าคะ" ท่าทีเป็นกังวลของนางผินทำให้เกศสุรางค์ต้องบอกกับตัวเองว่าคงต้องระมัดระวังตัวในการพูดมากกว่านี้เสียแล้ว
"แล้วข้าเคยพูดเยี่ยงใดล่ะ"
"ไม่มีอันใดดอกเจ้าค่ะ กล่าวเยี่ยงนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ" จากคำพูดนี้ทำให้เกศสุรางค์พอจะทราบแล้วว่าต่อให้งัดปากแม่สาวใช้ทั้งสองคนนี้คงไม่กล้าว่ากล่าวตำหนิเจ้านายตัวเองแน่นอน
"เอ้า งั้นก็ตอบได้แล้วนี่กล่องอะไร"
"เตียบเจ้าค่ะ มิใช่กล่อง"นางแย้มแย้งคำเบาๆ
"เตียบ?"
"เตียบใส่ของไม่มีฝาครอบแต่มีตีนเชิงเจ้าค่ะ หากเป็นเตียบเล็กเตียบพิธีจักมีฝายอดด้วยเจ้าค่ะ ข้างๆนั้นเป็นheebมีหลายอย่าง มีทั้งheeบญี่ปุ่น แบบนี้เจ้าค่ะheeบญี่ปุ่นจะมีตีนเชิง แลมีheeบลิ้นจักมีลิ้นชักแบบนี้นะเจ้าคะ" นางผินอธิบายพร้อมชี้ให้ดูอย่างคล่องปาก นางแย้มฟังแล้วถึงกับซับน้ำตาเหตุเพราะได้หวนนึกไปเมื่อครั้งนายยังเป็นเด็กตัวน้อยช่างเจรจาก็ถามไถ่คลับคล้ายเช่นนี้ หากเมื่อโตขึ้นมาวาจาถามไถ่ฉอเลาะก็กลับกลายไปเสียสิ้น
เกศสุรางค์เดินเข้าไปก้มมองกล่องไม้อันใหญ่นั้นใกล้ๆ แล้วจึงไปดูเตียบลักษณะเตียบตามที่นางผินและนางแย้มบอกนั้นเหมือนต้นไม้ใหญ่ทั้งต้นที่ถูกขุดควักเนื้อไม้ตรงกลางออกไม่ลึกนักและเกลาให้เป็นรูปเหลี่ยมแต่มีขาสูง หรือตีนเชิงดังที่นางผินบอก ด้านในบรรจุอะไรบางอย่างเป็นถุงๆอยู่หลายถุง แล้วยังมีheeบทองheeบเงินใบเล็กด้านในใส่หมากพลูแห้งๆไว้พร้อมเต้าปูนมีดเจียนหมาก เมื่อเธอได้เห็นหมากพลูก็พาให้นึกถึงฟันดำๆของผู้คนยุคนี้
"เออจริงด้วย ทำไมฟันข้าถึงได้ขาวไม่ดำเหมือนของคนอื่น"
"แม่นายท่านยันหมากเจ้าค่ะกินแล้วเป็นผื่นบวมหายใจมิใคร่ออกมิแข็งแรงนัก บ่าวจักย้อมฟันให้ก็มิชมชอบ ส่วนครอบนี้เป็นครอบพระราชทานของพระยารามณรงค์อย่างไรเล่าเจ้าคะ"
นางผินตอบค่อยๆแล้วก้มหน้านิ่งด้วยนึกถึงเรื่องที่เคยเสนอตัวย้อมฟันให้นายแล้วถูกด่าว่าตบตีด้วยความไม่พอใจเมื่อครั้งกระโน้น ส่วนเกศสุรางค์ผู้ไม่รู้เรื่องราวก็มองheeบหมากพลูนั้นพร้อมกับจำอยู่ในใจว่าสิ่งนี้เรียกว่า 'ครอบ' ก่อนจะเอ่ยปากถามต่อถึงเรื่องราวของการะเกด
"แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้แต่ง เอ่อ..ออกเรือนใช่ไหม ออกเรือนไปกับหมื่น..หมื่นอะไรนะ"
"หมื่นสุนทรเทวาเจ้าค่ะ"
"นั่นล่ะ เมื่อไหร่จ๊ะ"
"ถาม...เยี่ยงนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ"เสียงอ้อมแอ้มของนางแย้มแย้งออกมาอย่างกริ่งเกรง
"อ้าว ถามไม่ได้หรือ ข้าเองก็น่าจะมีอายุพอที่จะแต่งงานออกเรือนได้แล้วนี่"
"เจ้าค่ะ แม่นายท่าน 16ปีแล้วเจ้าค่ะ"
"อะไรนะ 16เอง งั้นอย่าเพิ่งแต่งเลย รออีกสักห้าหกปีถึงจะดี" ผู้พูดพูดอย่างคล่องปากเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มือก็จับสิ่งของในเตียบขึ้นมาดูอย่างสนอกสนใจ
"ไฮ้ ได้อย่างไรเจ้าค่ะ หากแม้ว่าเกิน20 ยังไม่ออกเรือนก็เท่ากับเป็นสาวเทื้อ หาผู้แต่งมิได้นะเจ้าคะ"
"ก็ขึ้นคานไง ไม่ต้องแต่งอยู่คนเดียวก็ได้ นี่ถุงอะไรจ๊ะ" สองสาวใหญ่ถึงกับหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง เพราะโดยปกติแล้วนายของตนจะรำพึงรำพันต้องการจัดงานแต่งให้ใหญ่โตกับหมื่นสุนทรเทวาและทำทุกวิถีทางให้ท่านหมื่นหนุ่มผู้นั้นมาสนใจตนแต่นี่กลับถามไถ่ด้วยเสียงธรรมดามิหนำซ้ำยังไม่สนใจเท่าที่ควรเสียอีกด้วย
"ถุงเบี้ยเจ้าค่ะ"
"เงินน่ะหรือ"
"เจ้าค่ะ"
หากจำไม่ผิดนอกจากการะเกดจะบอกให้เธอมาใช้ร่างก็ยังบอกยกสมบัติทั้งหมดให้เธอด้วย เพราะฉะนั้นคงไม่ผิดหากเธอจะรื้อดู เกศสุรางค์ยิ้มกว้างอย่างซุกซนก่อนจะล้วงไปในถุงก็พบว่าเป็นหอยเบี้ยจั่น ซึ่งเท่าที่เธอเคยศึกษามาหอยเบี้ยจั่นเป็นหนึ่งในหอยทั้งแปดประเภทที่ใช้ในการจับจ่ายซื้อข้าวของได้ ถุงอื่นๆมีน้ำหนักเยอะกว่าเมื่อล้วงดูก็พบว่าเป็นเงินพดด้วงขนาดต่างๆแยกกันไปตามแต่ละถุงที่มีจำนวนหกถุง
เกศสุรางค์มองเงินพดด้วงในมือด้วยสีหน้าตื่นเต้น ใครจะไปเชื่อว่าเธอจะได้มาสัมผัสเงินพดด้วงใหม่ๆมีลวดลายตราประทับชัดเจนแทนที่จะจ้องมองผ่านตู้แก้วในพิพิธภัณฑ์อย่างเช่นแต่ก่อน แล้วยังการนุ่งห่มที่จีบหน้านางเช่นนี้ ทรงผมแบบนี้ กับพิมพ์นิยมที่อวบๆอีกเล่าถ้าเธอย้อนกลับมาทั้งตัวไม่ใช่เอาวิญญาณมาแทรกคนอื่นรับรองว่าใครๆในยุคนี้จะต้องเห็นว่าเธองามสุดๆเพราะอวบอิ่มอ้วนพีเสียอย่างนั้น
ทุกอย่างเหมือนหมุนย้อนมาให้เธอได้พบเห็นช่างมหัศจรรย์พันลึกน่าทึ่งจริงๆ จะว่าไปผู้หญิงที่เธอครอบครองร่างอยู่อย่างการะเกดก็คงเรียกว่าผอมกะหร่องขี้โรค ว่าแต่ยุคนี้จะเป็นอยุธยาสมัยไหนกันนะ?
"ตอนนี้ท่านใดเป็นพระเจ้าอยู่หัวล่ะพี่ผิน" นางผินอ้าปากค้างพะงาบๆเมื่อได้ยินสรรพนามที่เกศสุรางค์เรียกตนก่อนจะยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจน้ำตาคลอโดยที่คนพูดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้พูดสิ่งใดให้นางผินตื้นตันถึงขนาดนั้น
"สมเด็จพระนารายณ์เจ้าค่ะ" พระนารายณ์มหาราช!
"ครองราชย์มาได้กี่ปีแล้วหรือพี่ผิน"
"ข้าเจ้า...มิรู้ได้เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์ฟังแล้วก็ให้อึ้ง หากเมื่อคิดว่านางผินเป็นแค่ทาสในเรือนคงไม่ค่อยรู้เรื่องราวการบ้านการเมืองมากนัก คนที่เธอน่าจะถามเรื่องนี้แล้วได้ความมากกว่าน่าจะเป็นหมื่นสุนทรเทวาหรือไม่ก็ออกญาโหราบดีเสียมากกว่า
หญิงสาววางถุงเงินไว้ที่เดิมก่อนจะมานั่งครุ่นคิดเค้นความรู้ทั้งหมดที่ตัวเองเคยอ่านและศึกษาเกี่ยวกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทว่าทุกอย่างก็มิได้แจ่มชัดเท่าที่ควร ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อดนึกครึ้มอกครึ้มใจไม่ได้เพราะไม่ว่าจะอ่านนวนิยายเรื่องใดๆ ผู้ที่ได้ย้อนเวลามาเช่นนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นนางเอกของเรื่อง แล้วจู่ๆตนก็มาเป็นคล้ายๆนางเอกเช่นนี้จะไม่ให้นึกปลาบปลื้มได้อย่างไร นางเอกเชียวนะโว้ย หึหึหึ
ความคิดครึ้มใจที่บรรเจิดนั้นหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้ย้อนมาแบบทั้งตัวหากมาเพียงวิญญาณที่มาสิงร่างของคนอื่นเสียนี่ มิหนำซ้ำยังถูกวิญญาณของการะเกดฝากฝังมาให้ทำความดีและทำบุญไปให้อีกด้วย
ทั้งหมื่นสุนทรเทวาผู้นั้นก็คงไม่ได้เป็นพระเอกแน่ๆเพราะพระเอกควรจะต้องตกหลุมรักนางเอกทันทีที่เห็นสิ แต่นี่ดูเหมือนจะเกลียดทันทีที่เจอ รังสีความเกลียดชังแผ่กระจายมาให้เห็นในทุกแววตาและทุกคำพูดเสียด้วย แล้วยังมีข้อขัดข้องที่ว่าเธอยังคล้ายๆจะมีเรืองฤทธิ์อยู่ในหัวใจอีกเล่า
กิริยาประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวขรึมของเกศสุรางค์ที่คิดเพ้อเจ้อวุ่นวายไปเองคนเดียวสร้างความกังวลให้นางผินและนางแย้มอย่างมากมาย อดนึกไม่ได้ว่าแม่นายของพวกตนอาจจะวิปลาสจริงดั่งคำเล่าลือถึงอิทธิฤทธิ์ของมนต์กฤษณะกาลีที่มิว่าผู้ใดก็กล่าวกันว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สุด
โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 52 15:43:12
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 52 15:28:13
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 52 15:23:12
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 52 15:19:44