Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 15 : บัณฑิตใหม่  

ตอนที่ 15 : บัณฑิตใหม่


ช่วงเดือนมกราคม จะเป็นช่วงเวลาที่ มช. สวยงามที่สุดค่ะ เพราะเต็มไปด้วยหมู่มวลดอกไม้ เบ่งบานสลอน หมู่ภมร... อุ๋ย! เล่าเรื่องอยู่ดีๆ ไหงกลายเป็นมาร้องเพลงน้อยไจยาซะอย่างนั้น สงสัยวิญญาณนักดนตรีเก่าเข้าสิงแฮะ


ที่อินว่า มช. ช่วงเดือนมกราจะดูงามเป็นพิเศษด้วยดอกไม้นานาพันธุ์นั้น เป็นเพราะทางมหาวิทยาลัยต้องเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตใหม่ทั้งหลายค่ะ ดอกไม้สารพัดสีที่คนงานเอามาลงไว้ตั้งแต่ประตูหน้าทางเข้า มช. เรื่อยไปจนถึงหลัง ม. นั้น สีหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือสีม่วง อันเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย และดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่พร้อมใจบานในช่วงเวลานี้พอดีก็คือดอกทองกวาว ดอกสีส้มแสดสวยเด่นสะดุดตาเสียจนใครๆพากันคิดและเข้าใจว่า ดอกทองกวาวคือสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งที่ความจริงแล้วดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยคือดอกสัก เรื่องนี้อินมีหลักฐานยืนยันค่ะ ก็จากตราประจำมหาวิทยาลัยรูปช้างชูไอติม เอ๊ย ช้างชูคบเพลิง ไงคะ ถ้าสังเกตดูให้ดีตรงระหว่างวงกลมสองวง จะเห็นดอกไม้สองดอกอยู่ นั่นล่ะค่ะ ดอกสักล่ะ


ดอกไม้สวยงามพวกนี้ เพื่อนอินกับอินเป็นพวกปากไม่อยู่สุขค่ะ เลยพากันเรียกซะเสียหายเลยว่าดอกผักชี กับดอกตอ... นะคะ เรียกมาตั้งแต่ปีหนึ่งยันทุกวันนี้ล่ะค่ะ ประมาณว่าถ้าอธิการบดีมาได้ยินเข้าคงกริ้วโกรธาจนหน้าแดงทีเดียว ค่าที่อุตส่าห์ลงทุนสั่งงานเนรมิตมหาวิทยาลัยให้สวยแล้วยังมาโดนนักศึกษาค่อนเอาอย่างนี้


เมื่อเห็นดอกผักชีสวยเต็มมหาวิทยาลัยอย่างนี้ ก็เป็นที่รู้กันของบรรดาลูกช้างล่ะค่ะ ว่าจวนถึงเวลารับปริญญาของพี่บัณฑิตแล้ว (และเสร็จจากงานนี้เมื่อไหร่ เวลาของการสอบไฟนอลก็จะมาถึงเช่นกัน) ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สายรหัส สายเทคทั้งหลายจะพุงกางไปตามๆกันค่ะ เพราะพี่บัณฑิตในฐานะทวดเทียดรหัสต้องมาเลี้ยงน้องๆ ในสาย แต่พี่ๆกระเป๋าแฟบไปเลย น้องๆอิ่มจังตังค์อยู่ครบ แต่พี่อยากร้องไห้ค่ะ



อย่างที่อินเคยเล่าในตอนก่อนๆ นะคะ ว่าอินมีเรื่องเขม่นเข่นเขี้ยวกับอาจารย์ฐาอยู่เรื่องที่อินอยากเรียนร้อยกรองแล้วไม่ได้เรียน และอินก็ถึงขั้นสาบานกับตัวเอง (อย่างแค้นๆ) ว่าถึงแม้จะเรียนจบอินก็ต้องมานั่งเรียนเป็นหนามยอกใจอาจารย์ฐาให้ได้ พอเปิดเทอมสองปุ๊บ ประจวบเหมาะกับตอนนั้นอินยังว่างงานอยู่ อินก็เลยจัดการทำตามที่ได้สาบานไว้โดยไม่ลังเล เพราะฉะนั้นช่วงเวลาก่อนการรับปริญญา อินก็ยังวนเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัยทุกวันอังคารกับวันพฤหัสบดีอยู่นั่นเอง (ฟังเหมือนผีอาฆาตยังไงก็ไม่รู้เนาะ)


อาจารย์ฐาจะพูดอะไรได้คะ ในเมื่อท่านตกปากอนุญาตให้อินมาร่วมแจมเอง (ภาษากฎหมายว่าเป็น estoppel หรือกฎหมายปิดปากค่ะ หมดสิทธิหืออือด้วยประการทั้งปวง) อินว่าตอนที่อาจารย์ฐาเผลออนุญาตนี่ คงคิดไม่ถึงล่ะค่ะว่าอินจะเอาจริง เมื่อเจอหน้ากันวันแรกคาบแรก อินก็โผล่พรวดเข้าไปสวัสดีแล้วก็นั่งลงกับเพื่อนอินเลย เอาแบบไม่ให้ตั้งตัวได้นี่ล่ะค่ะ สะใจนักแล ในขณะที่อาจารย์ฐานั่งเหวอหน้าห้อง เพื่อนอินก็ส่งเสียงทักทายเป็นอันดีค่ะ รวมทั้งพ่อยอดชายนายมิคด้วย อินเข้าห้องได้ก็ไม่มองหน้าท่านหรอก ไม่ได้สนใจด้วยว่าท่านจะมีปฏิกิริยายังไง จนกระทั่งอินโทรคุยกับเพื่อนถึงได้รู้ว่าท่านหน้าแดงก่ำจนเห็นได้ชัด แต่จะแดงเพราะโกรธหรือแดงเพราะอายนั้น อินไม่อาจรู้ใจท่านได้หรอกค่ะ (ทว่าในสายตาเพื่อนอินที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างยืนยันเป็นคำเดียวว่าไม่ใช่เพราะโกรธแน่)


ในเมื่ออินยังเข้ามหาวิทยาลัยมาหาเพื่อนๆได้เป็นปกติอย่างนี้ ทั้งเพื่อนอิน ทั้งอาจารย์ที่ภาควิชาเองก็เลยรู้สึกเหมือนว่าอินยังเรียนไม่จบกันเป็นแถว ลำพังแต่เพื่อนอินน่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่อาจารย์ที่ภาควิชานี่สิ อินดูๆแล้วก็ตงิดๆใจอยู่เหมือนกันนา คือท่านไม่ได้แสดงอาการแปลกใจ หรืออาการใดๆที่ส่อไปในทางลบหรอกนะคะ เพียงแต่พวกท่านชอบหันไปยิ้มให้กันอย่างมีเลศนัยชอบกล เวลาเจอหน้าอิน และชอบหันไปเย้าแหย่อาจารย์ฐาด้วยสายตา อินเองก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาหรอกค่ะ แต่อาจารย์ฐาน่ะสิคะ กลับกลายเป็นคนที่วางหน้าและทำตัวไม่ถูกเสียเอง ครั้งหนึ่งอาจารย์ฐาโดนแซวต่อหน้าอินเลยค่ะว่า อินขยันมาเรียนอย่างนี้น่าจะให้รางวัลอินบ้าง อาจารย์ฐาทำหน้ายังไงอินก็ไม่รู้ได้ เพราะตอนนั้นอินถอดแว่นออกพอดิบพอดี


จะเป็นเพราะเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคอย่างใดในวันนั้นก็ไม่ทราบค่ะ ทุกทีเพื่อนอินจะขึ้นมานั่งรออยู่ในห้องก่อนแล้ว แต่วันนั้นกลับไม่มีใครขึ้นมาเลยสักคน ก็เหลือแต่อินกับอาจารย์ฐาอยู่กันสองคนเท่านั้น อินก็อึดอัด อาจารย์ฐาก็อึดอัด แล้วทันใดนั้นเอง อาจารย์ฐาก็คว้าเอาซองเอกสารขึ้นมาทุบโต๊ะเปรี้ยง เล่นเอาอินสะดุ้งไปเหมือนกัน เพราะไม่เคยเห็นอาจารย์ฐาเป็นอย่างนี้มาก่อน อินยังคิดเลยว่าถ้าเพื่อนอินไม่โผล่เข้ามาจังหวะที่ทุบโต๊ะนี่พอดี อินจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ เพื่อนอินเข้ามาเจอตอนนี้เข้าก็เอ่ยถามแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวค่ะ  


“โอ้! อาจารย์เป็นอะไร ทำไมรุนแรงจังวันนี้”


“ไม่มีอะไร แค่ฝุ่นบนโต๊ะมันเยอะ”


นับว่าปฏิภาณไหวพริบอาจารย์ฐาเป็นเยี่ยมเลยค่ะ ทั้งที่อินรู้สาเหตุดีอยู่แก่ใจยังอดยกนิ้วให้ไม่ได้เลย แต่ก็มีแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวนะคะที่อาจารย์ฐาทำอย่างนั้น ที่เหลือก็วางมาดขรึมเฉพาะกับอินคนเดียว พอทำบ่อยเข้าก็มีหลุดค่ะ แล้วพอรู้ตัวปุ๊บก็กลับมาเก๊กใหม่ อินเลยไม่รู้จะว่ายังไง จากความตั้งใจเดิมแต่แรกของอินที่คิดว่ามาเรียนแล้วจะถามสาเหตุให้รู้แน่ว่าทำไมไม่ให้อินเรียนตั้งแต่แรก ก็เป็นอันหายสาบสูญไร้ร่องรอยซะงั้น



ตอนอินเรียนวิชานี้ อินอดขำอาจารย์ฐาไม่ได้ค่ะ แทนที่ท่านจะนิ่งเฉยเสียทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องทุกอย่างก็คงเงียบไปเอง แต่นี่ยิ่งท่านออกท่าทางมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนมีพิรุธมากขึ้นเท่านั้น พานจะทำให้คนอื่นสงสัยเอาด้วย จะว่าไปก็เป็นความผิดอินด้วยส่วนหนึ่งล่ะค่ะ เพราะตอนที่อินเรียนเทอมสุดท้ายนั่น รุ่นน้องมาขอให้อินช่วยเขียนงานส่งท่านหน่อย เพราะน้องเขาเขียนเรื่องไม่ทัน อินก็เลยช่วยบรรเลงไปสี่เรื่องรวด แล้วเรื่องสุดท้ายนี่ล่ะค่ะ ที่อินคิดว่าน่าจะเป็นตัวจุดชนวน เรื่องที่ว่านั้นคือเรื่อง “ราตรีหนึ่ง...ซึ่งรำพันใต้เงาจันทร์” ค่ะ แค่ชื่อเรื่องก็หวานออกขนาดนี้ แล้วเนื้อในจะออกมารูปไหน แต่งานชิ้นนี้อินไม่รู้ว่าควรจะเรียกเรื่องสั้นหรือความเรียงดี เพราะเป็นงานอารมณ์โดยแท้จริง เนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ



“ราตรีนี้ดวงแขงดงามยิ่งกว่าคราใด ด้วยเป็นเพ็ญบัณรสี รัศมีแห่งจันทร์เจ้าทาบทาลงทุกหนแห่ง ผืนฟ้า ผืนน้ำ แลผืนดิน สายธารไหลเอื่อยสะท้อนแสงโสมงามยิ่งดั่งหิรัญวารี ปวงพุ่มพฤกษ์แลเห็นเป็นเงาตะคุ่มเด่นอยู่ในรัตติกาลสลัวราง ดวงดาราแต่งแต้มนภาดุจเข็มเงินปักบนภูษาสีนิลฉะนั้น ดาวเหนือสุกสกาวเด่นพราวเกินกว่าดาริกาดวงใดๆ ข้าฯนอนไม่หลับ จึ่งได้ออกมาชมศศิธรเพียงลำพังที่ชานเรือน ดาวเหนือดวงนั้นยังให้จิตข้าฯประหวัดหวนนึกถึงพี่


ข้าฯ มิอาจรู้ว่าในดวงใจข้ามีเงาของพี่เข้ามาสถิต ณ กลางหทัยแต่เมื่อใด หากพอรู้ตนนั้น ก็มีเงาพี่ทาบลงในใจข้าฯ เสียแล้ว แต่กระนั้นก็ตามทีเถิด ข้าฯ ก็มิอาจ เอ่ยเอื้อนวาจาใดแก่พี่ได้ ด้วยรู้ตนดีว่า ไม่มีสิ่งใดในกายข้าฯที่ควรคู่แก่พี่แม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่ข้าฯ ทำได้ก็คือ มองพี่อยู่เพียงห่างๆเช่นนี้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่ฤๅ? สำหรับคนเช่นข้าฯ


ตราบถึงเพลานี้ จากรัตติกาลนี้ไป จักเหลืออีกกี่ทิวาราตรีเล่าหนา ที่ข้าฯ จักได้เฝ้ามองพี่เช่นนี้ ข้าฯ ยอมรับว่าในบางคราข้าฯ ก็เหนื่อยนัก ด้วยมิรู้ว่าพี่คิดเช่นไรกับข้า อีกทั้งคนรอบข้างนั้นก็คอยจับผิดข้าฯ ข้าฯก็ยิ่งเหนื่อย ทั้งกายแลใจ ข้าฯรู้ว่าพี่เองนั้นรู้อยู่แก่ใจดีว่า ข้าฯคิดกับพี่เช่นไร แต่ดูเหมือนพี่ไม่เคยใส่ใจ ข้าฯไม่มีสิทธิใดที่จะกล่าวเช่นนี้กับพี่ แต่เมื่อกล่าวไปแล้ว ก็ขอพี่ได้อภัยในความปากเบาของข้าฯเถิด


หลายครั้งหลายคราที่ข้าฯท้อ อยากหลบลี้จากไปพอให้ใจข้าฯได้ลืมพี่ได้ค่อยคืนมา แต่ข้าฯก็มิเคยทำได้แม้สักครา


ผิว่ากาลภายภาคหน้าจักเป็นเช่นไรก็ตาม แม้ว่าข้าฯนี้จักจากไกล แลนานเพียงใด ต่อเมื่อข้าฯได้หวนคืนมาอีกครา ข้าฯนี้ก็จักยังคงเป็นคนเดิมสำหรับพี่เสมอ ข้าฯย่อมแจ้งแก่กมลตนนี้เสมอมาว่า พี่นั้นอยู่สูงเกินกว่าคนต้อยต่ำเช่นข้าฯนี้จักเอื้อมถึง เฉกธุวตาราดวงที่ข้าฯเฝ้ามองอยู่นี้ อันจักงดงามได้ก็ต่อเมื่อสถิตอยู่บนเวหา ผิมีผู้ใดเอื้อมเด็ดลงมาไซร้ คงเปื้อนเศษภัสมธุลีสิ้นค่าความเป็นดาว


ปัจจุสมัยเริ่มเยือนหล้า ดาราลาลับ คงเหลือเพียงดาวประกายพรึกเพียงดวงเดียวที่ส่องสว่าง ปวงปักษาสกุณชาติเริ่มแซ่เสียง บินออกจากรังเพื่อหากิน ข้าฯจึ่งได้รู้สึกตน หลุดพ้นออกจากมโนภวังค์แห่งตน แม้จักสะดุ้งใจอยู่ว่า ตนเองนั่งอยู่ที่ชานเรือนนี้ตั้งแต่ยามสองจนรุ่งอรุโณทัยเข้านี่แล้ว หากยังรอคอยจนดาวนั้นลาลับพร้อมสุริยาทิตย์ฉายแสง จึ่งได้กลับเข้าเรือนเพื่อทำหน้าที่ของตนต่อไป เฉกที่เคยเป็น”



อารมณ์ของเรื่องก็ประมาณเหงาๆ เศร้าๆของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อชายคนรักนั่นล่ะค่ะ ตอนที่เขียนให้น้องเมเจอร์ของอิน อินก็ไม่ทันนึกอะไรมาก น้องขอพี่ก็ช่วยเท่านั้นเอง เลยพานลืมนึกถึงข้อนี้เสียสนิทใจ และที่อินลืมไปยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องของสำนวนการเขียนของอินเอง ถึงแม้ว่าอินจะเขียนให้น้อง และน้องก็สวมรอยว่าเป็นคนเขียนเอง แต่มีหรือคะที่คนกรำงานทางด้านนี้มาตลอดอย่างอาจารย์ฐาจะไม่รู้ว่าสำนวนภาษาอย่างนี้เป็นของใคร ก็เลยเป็นเรื่องเข้าใจผิดขนานใหญ่ของอาจารย์ฐามาจนทุกวันนี้ (ทั้งที่ตอนเขียน อินคิดถึงแต่หน้าผู้หญิงคนหนึ่งสมัยเรียนมัธยมแท้ๆ เฮ้อ!)



เฮ้อ! พูดถึงอาจารย์ฐาแล้วเหนื่อยใจ กลับมาเรื่องรับปริญญาดีกว่าค่ะ ตอนนั้นอินขึ้นเชียงใหม่มาเรียนวิชาของอาจารย์ฐาไปก็วิ่งวุ่นเรื่องรับปริญญาของตัวเองไปด้วย ทั้งเรื่องชุดครุย ทั้งเรื่องรูป จากปกติที่อินเลิกเรียนของอาจารย์ฐาตอน 11 โมง กลับถึงบ้านอย่างช้าที่สุดก็บ่ายสองโมง ปรากฏว่าเดือนมกราคมเกือบทั้งเดือนอินกลับถึงบ้านตอนห้าโมงเย็น แถมยังเหนื่อยจนไม่คิดจะออกจากบ้านไปไหนอีกแล้ว ใครว่ารับปริญญาเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขนี่ อินขอค้านสุดตัวเลย เหนื่อยใจแทบขาด


**** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 16:48:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com