Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โลกไร้ตะวัน (เรื่องสั้นไซไฟแฟนตาซี) - 1/3  

* ตัวเลข 1/3 ผิด ที่จริงเป็น 1/2 ครับ

เรื่องนี้เป็นไซด์สตอรี่ของนิยายไซไฟแฟนตาซีอีกเรื่องที่ตั้งใจจะเขียน แต่ก็จบในตัวแบบเรื่องสั้น แบ่งเป็นสองตอนเพื่อความสะดวกในการอ่าน ทีแรกผมตั้งใจเขียนส่งประกวดของสนพ. แห่งหนึ่ง แต่กำลังพิจารณาว่าจะส่งดีไหม เพราะแนวเรื่องต่างจากที่ระบุไว้ในกติกาครับ

ขอขอบคุณพี่ Dark Master, พี่หมอซิด, eiotte, คุณ Runaway Guy, คุณ Blue Mouse, คุณภูมิ, น้อง Paladious Asmy, พี่พัณณิดา ภูมิวัฒน์, ผอ. Xelloss, คุณ Blade, คุณเม็ดบ๊วย, และคุณ Jammaster ที่ช่วยอ่านและให้คอมเมนต์เบื้องต้นครับ

* * * * *

โลกไร้ตะวัน

ในโลกอันมืดมน ชายหนึ่งตั้งคำถาม...ต่อปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของตน


...เชื่อกันว่า...เมื่อตะวันดับลง...จิตใจของมนุษย์ก็ยิ่งมืดมนตามไป...

มหาวิหารขององค์สุริยเทพแห่งโซลาริสกล่าวเช่นนั้น บัดนี้คือช่วงยุคมืด ซึ่งเมฆดำและเถ้าธุลีหนาเต็มฟ้า เพียงดวงแสงเรืองสลัวเหมือนจันทร์ในคืนเมฆหนาเคลื่อนผ่านฟ้าในแต่ละวัน ผู้คนยังคงเรียกมันว่า ‘ดวงอาทิตย์’ เช่นเดิม แต่คนเฒ่าแก่มักถอนใจ กล่าวให้เด็กรุ่นหลังฟังเสมอว่าดวงอาทิตย์ที่แท้จริงสว่างยิ่งนัก...เจิดจ้าและอบอุ่นยิ่งนัก เวลานั้นพืชพรรณยังเขียวขจีทั่วดินแดน ท้องฟ้าเป็นสีครามกระจ่าง และปุยเมฆเป็นสีขาว

เบลคเคยเห็นภาพวาดแมกไม้สีเขียว ฟ้าสีคราม กับเมฆขาวเช่นนั้นในหอศิลป์ของแซงค์ชัวรี เมืองศูนย์กลางแห่งโซลาริส แต่ก็ไม่รู้ดอกว่าธรรมชาติในอดีตเป็นเช่นนั้นจริงหรือ สีในรูปสดใสเสียจนเหมือนภาพในจินตนาการหรือหนังสือนิทาน นับแต่เกิด ชายหนุ่มเห็นฟ้าเป็นสีดำ ดวงอาทิตย์เป็นเหมือนตะเกียงเล็กๆ ริมถนน แต่ไกลกว่า...จางกว่า เขานึกไม่ออกว่าธัญพืช ผลไม้ ผักสด และเนื้อในกาลก่อนมีราคาถูกได้อย่างไร มนุษย์ส่วนมากอิ่มท้องด้วยอาหารที่ไม่ได้สกัดจากเห็ดราและสารสังเคราะห์ได้อย่างไร นักบวชแห่งโซลาริสพร่ำสอนว่าเมื่อใดที่มนุษย์รวมศรัทธาในองค์สุริยเทพ และกำจัดศัตรูของพระองค์จนสิ้น เมื่อนั้นแสงตะวันจะหวนคืน แต่เบลคไม่เคยเกิดในยุคสมัยที่ตะวันสาดส่อง จึงสงสัยว่าโลกที่สว่างไสวจนแสบตานั้นดียิ่งกว่านี้เพียงใดหรือ เขายอมรับว่าโลกของความมืดที่เป็นอยู่มีความลำบากของมัน แต่ก็ใช่จะเกินกำลังมนุษย์อยู่รอด

ใช่...ชายหนุ่มเคยฟังหลายสิบครั้ง ว่าผู้คนมากมายล้มตายทันทีที่ดวงเพลิงหายนะจากฟากฟ้าปะทะผืนโลก และจมแผ่นดินบางส่วน เกิดไฟไหม้โดยรอบหลุมมรณะ และคลื่นยักษ์ในชายฝั่งห่างไกล ครั้นแล้วสามเดือนต่อมา โลกก็ตกอยู่ในความมืดมิดหนาวเย็น ผู้คนมากมายกว่านั้นล้มตายช้าๆ ด้วยความเจ็บป่วยอดอยาก วิหารแห่งโซลาริสโทษว่าเป็นเพราะสาวกของเทพอนธการ เทพแห่งความมืดซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อสุริยเทพมาทุกยุคสมัย พวกเขากล่าวหาประเทศอัสลานผู้ไม่นับถือสุริยเทพ ว่าเป็นต้นเหตุแห่งดวงเพลิงยักษ์ เกิดการสู้รบสังหารหมู่ และชาวอัสลานที่เหลือรอด รวมทั้งคนนอกรีตอื่นๆ ก็รวมตัวตั้งกองกำลังต่อต้านโซลาริส ด้านโซลาริสตั้งกองทหารพิเศษที่เรียกว่าครูเซเดอร์ กวาดล้างห้ำหั่นยาวนานหลายปี คงตราบถึงวันที่ฝ่ายอัสลานสูญสิ้นไปหมด และตะวันคืนแสงอีกครั้ง...ตามคำอ้างของฝ่ายวิหาร

นี่คือโลกตะวันดับซึ่งผู้คนยากเข็ญมากมาย...ล้มตายมากมาย...ฆ่าฟันกันมากมาย โลกที่สาวกของสุริยเทพมีหน้าที่สู้รบและอดทนเพื่อผ่านกลียุค กระนั้น เบลคไม่เคยรู้สึกว่าโลกนี้มืดมนเกินทน...อย่างน้อยก็จนถึงเดือนหนึ่งที่ผ่านมา

เอนาตายแล้ว...

เอนาตายแล้ว...และวิโลนากำลังจะตาย...

วิโลนากำลังจะตาย...ตาย...ตาย


วิโลนาน้อยเพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่ชั่วโมง แม่ก็ตาย คงเพราะน้ำคร่ำท่วมปอด เบลคเป็นหมอทหาร...หรือที่จริงควรเรียกว่าเคยเป็น เขาไม่ชำนาญเรื่องทำคลอดหรือโรคในเด็ก แต่ก็รู้ว่าหมอตำแยตามมีตามเกิดในเก็ตโตพยายามสุดความสามารถแล้ว เขาเสียใจที่เสียภรรยา แต่ห่วงมากกว่าเรื่องลูกน้อย

โรคที่วิโลนาเป็นมาแต่กำเนิดนับว่าไม่ร้ายแรงถึงชีวิต...หากมียารักษาทันท่วงที ทว่ายานั้นมีราคาแพง มันแพงเพราะทำจากพืช ซึ่งปัจจุบันเพาะเลี้ยงได้แต่ในเรือนปลูกด้วยแสงจากผลึกสุริยะ แร่ที่เปล่งรังสีของดวงอาทิตย์ แร่สุริยะแทบทั้งหมดอยู่ในครอบครองของวิหารโซลาริส มีส่วนน้อยเป็นของ ‘ชาวไร่’ ผู้เพาะปลูกพืชเกษตรต่างๆ ให้ชนชั้นสูงที่มีกำลังซื้อ เบลคเคยได้ยินว่าพวกชาวไร่ในโลกที่ยังมีแสงตะวันถูกเหยียดหยามมายาวนาน...ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นอาชีพที่มีเกียรติและร่ำรวย กระนั้น ผู้ที่โชคดีพอได้ครอบครองแร่สุริยะและผันตัวเป็นชาวไร่จำนวนน้อยในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่กลุ่มเดียวกับชาวไร่ผู้ยากแค้นมากมายก่อนโลกเปลี่ยนแปลงไป

เบลคนึกอยากแช่งชักโชคชะตาของตนด้วยเหตุนี้ วิโลนาคงได้รับยารักษาทันท่วงที...หากเขายังเป็นคนของครูเซเดอร์ แต่นั่นคือความหวังที่ไม่มีวันเป็นไปได้อีก เพียงเพราะเขา...

“เฮ้ย ไอ้บอด เหม่ออะไรวะ”

ชายหนุ่มถูกกระชากจากห้วงภวังค์ เขากระชับปืนในมือแน่นขึ้น

“ไม่มีอะไร”

“อย่าทำเสียเรื่อง” ชายหนวดเครารุงรังมองเขาอย่างดูแคลน “แกอาจเคยเป็นครูเซเดอร์ เคยอยู่ในแซงค์ชัวรีอันสุขสบาย แต่ที่นี่ แกมันก็โจรเหมือนพวกเรา อย่าหยิ่งไปเลย”

“ผมจะทำทุกอย่างตามคำสั่ง” เบลคหยิบปืนพกเบาของเขาขึ้นตรวจกระสุนและเซฟ เป็นข้ออ้างให้ไม่ต้องสบตาอีกฝ่าย “ทำอย่างดีด้วย ขอแค่ได้ ‘ของ’ ที่ขอไว้ก็พอ”

“หึ” ชายนั้นแค่นเสียง ก่อนจะแบกปืนไรเฟิลพาดบ่า ผละไปอีกทาง เบลคยังได้ยินเสียงพูดคุยกันแว่วๆ

“เหลือเชื่อ...คนเคยเป็นครูเซเดอร์...ไปทำอะไรถึงถูกทิ้งลงมาในเก็ตโตได้วะ”

“แกไม่เคยได้ข่าวรึไง ก็ไอ้หมอทหารที่มันทำบ้าเมื่อ...เกือบปีก่อนได้มั้งน่ะ”

“อ้อ ที่ว่าพาเด็กอัสลานกลับมารักษา แล้วมันดันระเบิดตัวเองที่ค่ายจนพวกครูเซเดอร์ตายเป็นเบือน่ะหรือ”

“รอดมาได้แต่คนอื่นซวยแทนเนี่ยนะ”

“แล้วคิดว่ามันไม่ซวยหรือ โดนปลด...โดนถอนใบอนุญาตหมอ...โดนถีบหัวส่งมาอยู่เก็ตโต ไม่งั้นเมียมันคงไม่คลอดลูกตาย แถมลูกผ่าป่วยเป็นโรคหายากจนต้องมากราบกรานขอออกปล้นกับเราหรอก”

“สงสัย วิญญาณไอ้เพื่อนร่วมหน่วยมันจะแค้นแรงว่ะ”

เบลคพยายามทำหูทวนลม กระนั้นมือยังลูบรอยแผลเป็นยาวบนหน้าผาก เหนือเบ้าตากลวงที่ไม่อาจมองเห็น พยายามขับไล่ภาพสุดท้ายที่ติดตรึงในนั้นอย่างไร้ผล

เด็กชายราวสิบขวบ ร่างผอมเซียว...ขาขาดไปข้างหนึ่ง เขาวิ่งมาตามเสียงระเบิด เห็นมันกุมตอขา เลือดไหลโชก ร้องโอดโอยในซากเมืองอันเป็นพื้นที่เสี่ยงอันตราย มันเป็นคนอัสลานก็จริง...แต่ดูอย่างไรก็เป็นแค่เด็กชาวบ้านแถวนั้น เบลคเป็นหมอทหาร แต่ก็เป็นหมอ เขาไม่อาจทนเห็นพลเรือนตายต่อหน้าต่อตา จึงรีบอุ้มเด็กกลับมายังเต็นท์พยาบาล ฉีดยาแก้ปวด ห้ามเลือด รักษาแผลโดยไม่ทันค้นตัว อีกครู่หนึ่งเด็กดูจะสงบลง มันร้องขอน้ำดื่มจากเขา ยืนกรานบอกให้เขาไปหาน้ำให้มันคนเดียว ทหารพยาบาลคนอื่นอาสาไปแทนก็ไม่ยอม

มันกะเวลากดชนวนระเบิดได้เหมาะเหม็ง เขาเดินออกห่างเต็นท์มาได้พอควร...แต่ไม่ไกลเกินจะได้ยินเสียงราวฟ้าผ่าอื้ออึงเต็มสองหู และรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ส่งตนปลิวคะมำ หน้าซีกหนึ่งครูดกับพื้น...และนัยน์ตาขวาถูกบางสิ่งเสียบทะลุ เขายังมีสติ...ไม่ก็ขาดสติพอจะวิ่งกลับไปดูซากเต็นท์แหลกเหลว...ก่อนภาพทั้งมวลดับวูบ ทุกวันนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรทำลายลูกตาของตน ไม่มีใครบอก และไม่มีใครเห็นความจำเป็นของการใส่นัยน์ตาเทียมให้หมอทหารผิดวินัยหมดอนาคต

และเขาก็ไม่รู้จนทุกวันนี้...ว่ามันทำเช่นนั้นเพื่ออะไร ไว้ชีวิตตอบแทนที่เขารักษามัน...หรือตั้งใจผูกเขาไว้กับความทุกข์ของการรอดชีวิตขณะที่ทหารเสนารักษ์ รวมทั้งทหารอื่นๆ ที่นอนรักษาตัวในเต็นท์ตายไปสิบสามนาย...หากรวมเด็กก็เป็นสิบสี่ ทิ้งเขาให้ถูกสอบสวน ถูกปลดจากหน่วยครูเซเดอร์ ยึดใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ ถูกริบที่พักซึ่งอาศัยอยู่กับภรรยาสาว และต้องพาเธอออกมาในเก็ตโต ย่านแออัดของคนชั้นล่าง

เอนาเป็นคนเข้มแข็ง ที่จริง เธอไม่ได้ทำผิดอะไร จะขอหย่าเพื่อรักษาความเป็นอยู่ในแซงค์ชัวรีไว้ก็ได้ แต่เธอก็ยืนกรานจะมากับเขา และลาออกจากงานพยาบาลของเธอ ทั้งที่เพิ่งตั้งครรภ์อ่อนๆ เอนาดูแลคนเจ็บอย่างเขาจนตนเองแทบล้มป่วยไปอีกคน เธอไม่เคยโทษเขา ให้กำลังใจเขาหางานในเก็ตโต...และยิ้มดีใจเมื่อเขาถือเงินเพียงน้อยนิดจากงานกรรมกรกลับมาบ้าน หญิงสาวพูดอยู่บ่อยๆ ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับแซงค์ชัวรี สักวันตะวันจะส่องแสงอีกครั้ง และลูกของทั้งสองก็จะได้เห็นแสงสว่างนั้น...ได้อาศัยอยู่ในโลกของสีสันสดใส เหมือนภาพในหอศิลป์ไม่ไกลหอพักของทั้งสอง แต่คนเข้มแข็งอย่างเธอก็กลับจากเขาไปก่อน...

“นั่น...’เหยื่อ’ มาแล้วเว้ย!”

“เตรียมตัวเร็ว!”

พ่อทำเพื่อลูก...วิโลนา เบลคคิด...ขณะตรวจความเรียบร้อยของปืนอีกครั้ง เพื่อลูก...เพื่อแม่ของลูก เราจะไม่ยอมเสียลูกไปเด็ดขาด

* * * * *

แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 52 19:48:05

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 52 19:42:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com