Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กรุเรื่องสั้น เรื่องที่ 3 บนถนนเดียวกัน  

รถแท๊กซี่คันที่กำลังชะลอจอดเทียบบาทวิถี สะกดความตื่นเต้นระทึกใจของผู้ชายผมปรกต้นคอที่ยืนคอยกระสับกระส่ายไม่ไกลกันนัก  ต่อเมื่อร่างที่พ้นจากประตูผู้โดยสารกลับไม่ใช่บุคคลที่คาดหวังไว้ จึงแต่ถอนใจยาวอีกครั้ง  แหงนหน้าดูฟ้ากว้าง แดดบ่ายจัดระเริง แผ่อานุภาพร้อนผ่าวทั่วสรรพางค์ หากโค้งลิบของขอบฟ้าตรงข้าม เมฆสีอึมครึมเริ่มเยื้องกรายเข้าแทนที่

จรเหลือบดูนาฬิกาข้อมือเรือนเก่า สี่โมงกว่าแล้ว  คู่นัดยังไม่โผล่หน้ามาเลย จะว่ารถติดก็ไม่น่าจะใช่  บ่ายวันอาทิตย์ถนนในเมืองออกว่างเว้น ยิ่งถนนสายที่ยืนตรงนี้ก็โล่งเสียจนไปเดินอวดรัศมีกับรถราได้ นานๆครั้งถึงจะมีรถติดไฟแดงสักคัน

หรือหล่อนจะลืม ไม่ใส่ใจ ไม่แยแส

ลมอ้าวๆโชยผะผ่าว เขาเสยผมที่รกๆแถวต้นคอ  เข้ากรุงคราวนี้เห็นจะต้องไปจัดการสารรูปตัวเองใหม่ล่ะ  ก่อนจะตะลอนๆไปไหนต่อไหน  ชายหนุ่มระงับความกังวลชั่วคราว หันเหสายตาชื่นชมเหล่าไม้เมืองร้อนที่ออกดอกสะพรั่งเต็มถนน  เกือบสิบปีแล้วกระมังที่ได้กลับมาเยือนถนนสายนี้อีก

จำได้ว่า ครั้งที่แล้ว ทรงบาดาลยังเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆปลูกในรั้วเหล็กตาข่าย ดอกเล็กๆแย้มประปราย ไม่เหลืองละออแตกกิ่งก้านชูช่อไสวเหมือนที่เห็นขณะนี้

จำได้ว่า  เคยมีทุ่งเขียวๆว่างร้างขนาดใหญ่ตรงหัวโค้งโน้น ชวนให้นึกถึงบรรยากาศท้องทุ่งในเมืองหลวง บัดนี้มีเค้าโครงของสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกๆดำเนินการอยู่

จำได้ว่า สัญญาณจราจรที่หัวมุมถูกเขยิบไกลไปอีกหน่อยจนเกือบถึงสี่แยกหัวโค้งย่านยานยนต์แออัด ป้ายรถประจำทางก่อนรถเมล์จะเลี้ยวก็พลอยหายไปด้วย

สิ่งเดียวที่สถิตอยู่นาน จากจุดที่จรเห็นลิบๆเบื้องหน้าโพ้น คงเป็นแท่งอนุสาวรีย์ทรงแหลมพุ่งฟ้า มีทหารหาญวีรกรรมยืนประจำสี่มุมเมือง สองข้างทางคือสถานที่ทำการ ตึกมูลนิธิคนพิการของหน่วยราชการต่างๆ โรงพยาบาลพักฟื้นและพระราชวังเก่าที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบวังยุโรป

เขาค้นพบถนนสายนี้ได้อย่างไร

“เราเดินไปเรื่อยๆนะ  เมื่อยเมื่อไรค่อยขี้นรถ”
เสียงพูดสดใสยังดังแว่วๆใกล้หู แม้กาลเวลาจะผ่านเลยเนิ่นนาน

“กรุงเทพยังมีถนนสวยๆอีกตั้งหลายสาย สักวันเราจะเดินให้ครบรอบเมืองเลย”

“นายจะเดินได้สักกี่สาย สถิตา แค่จากบ้านไปมหาวิทยาลัยก็ปาไปครึ่งวันแล้ว”

เขาแกล้งขัดคอ มองเสี้ยวหน้าขาวสะอาดบอกสัญชาติบรรพบุรุษแท้ๆ มีเหงื่อซึมเกาะปลายจมูก  หล่อนเป็นเพื่อนผู้หญิง เอ..ไม่แน่ใจว่าใช้คำนี้ถูกมั้ย เพราะเจ้าตัวไม่เห็นมีอะไรเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปที่เขารู้จักเลยนี่นา ถึงงั้นก็เถอะ  จรกลับสนิทสนมจนกล้าคุยสัพยอกแรงๆอย่างไม่ถือกัน

“เถอะน่า เราเดินเก่งนะ นายยังแพ้เราเลย เมื่อตอนเดินขึ้นเขาหลวง” เสียงอวดภูมิใจยังดังชัดเจนเมื่อย้อนปฏิทินวันวารสมัยวัยรุ่นวัยผจญภัย ทั้งคู่มักมีโปรแกรมต้องออกฝึกภาคสนามในท้องถิ่นต่างจังหวัดด้วยความสมัครใจ

“ก็นายเล่นเดินจ้ำๆไปข้างหน้าลูกเดียว”

“มัวเอ้อระเหยชมนกชมไม้ข้างทางแบบนายน่ะหรือ อีกสองวันก็ไม่ถึง”

“ถึงช้าหน่อยจะเป็นไร  เรามีภาพสวยๆเก็บรายทางเยอะแยะ ไว้คอยอวดใครๆ แต่นายซิ..สถิตา นายจะไม่มีรายละเอียดของการเดินทางไว้กับตัวเองเลย”

สถิตาเม้มปากไม่ยอมจำนน ผมสั้นๆซอยปัดๆบริเวณท้ายทอยดูราวเด็กผู้ชายแก่นๆ  ยิ่งลักษณะการแต่งตัวคล้ายทอมบอย เชิ้ตหลวมๆสวมทับเสื้อยือคอกลมสีขาว กางเกงทหารสีขี้ม้า สะพายเป้ผ้าร่มสีส้มสว่าง ถ้าเพียงนั่งหันหลังให้ ไม่มีใครคิดหรอกว่าเจ้าหล่อนเป็นผู้หญิงทั้งเนื้อทั้งตัว

“เราสร้างเองก็ได้ จากยอดเขาชมวิวที่ดีที่สุด เราจะสร้างกระท่อมนอนเล่นให้สวยอย่างไรก็ได้ จะปลูกดอกไม้กี่กอ กี่ไร่”

“ความทรงจำที่ต้องสร้างขึ้นมาเองน่ะหรือ มันไม่ฝืดไปหน่อยเหรอ เพื่อน”

จรหัวเราะหึหึ เมื่อเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของคนพูด

“เรามีวิธีก็แล้วกัน  ไป..ข้ามถนนไปเดินฝั่งโน้นดีกว่า จะได้เห็นวิวด้านนี้ชัดๆ”
หล่อนตัดบทง่ายๆพลางชี้ชวนให้เพื่อนชายดูโน่นดูนี่ตลอดทาง

“สวยนะ จร เงยหน้าดูวังเก่าหน่อยซิ”

คนพูดสะกิดผู้ติดตามซึ่งยังใจจดใจจ่อกับตึกอาคารมูลนิธิทรงแปลกสีลูกกวาดฝั่งเดียวกัน   เงยหน้าหันไปตามนิ้วป้อมๆของคนชี้ สวยจริงๆด้วยวังเก่าเบื้องหน้า  เคยแต่นั่งรถผ่าน ไม่มีโอกาสยืนหยุดทัศนาความอ่อนช้อยของตัวตึกที่เห็นประจักษ์แม้อยู่ฝั่งถนนตรงข้าม

“นายเคยไปสีชังมั้ย เห็นมีพระราชวังไม้สักหลังหนึ่งเหลืออยู่”

จรรำลึกขึ้นได้ เมื่อคราวไปเยี่ยมหน่วยงานวิจัยประมงชายฝั่งทะเลตะวันออกที่เกาะชื่อนี้

“ไม่เคย  สักวัน...”สถิตาทำหน้าฝัน แต่เขารีบต่อประโยคให้อย่างรวดเร็ว

“เราจะเที่ยววังโบราณทุกวังให้หมดเลย”

“อ้าย..”ราวกับเสียรู้ทัน สถิตาปลดเป้ออกใช้เป็นประหนึ่งอาวุธไล่ตามคนช่างขัดคอ จรวิ่งกรูไปรออยู่ข้างหน้าแล้ว มิหนำซ้ำยังตีหน้าเยาะเย้ยคนขาสั้น วิ่งตามไม่ทัน

พิราบขาว พิราบขาว
พิราบขาว โผผินบินไป
ทะเลสุดตา ฟ้ากว้างไกล
คลืนลมร้ายเจ้าไม่หวั่นเกรง .....*

* จากบทเพลง พิราบขาว ประพันธ์โดย ธีระศักดิ์ อัจจิมานนท์
ผู้ซึ่งเฝ้ามองนาฎกรรมของมนุษย์อยู่เหนือฟ้าเบื้องบนแล้ว

แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 52 21:10:35

จากคุณ : กูรูขอบสนาม
เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:00:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com