เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์กลับบ้าน
|
|
การกลับบ้านของมนุษย์กลายพันธุ์
นี่ฉันเป็นมนุษย์แน่หรือเปล่านะ...
ผมคิดในขณะที่กำลังมองใบหน้าของตัวเองอยู่ในกระจกร้าวข้างถนน หลังจากเกิดเรื่องขึ้นมา ตัวเองก็ไม่ได้มองกระจกอะไรที่ไหนเลย แต่ตอนนี้...
หนึ่งวัน... ผมคิด... เพียงแค่วันเดียวหลังจากที่เกิดเรื่องราวต่างมากมายขึ้นมา มันเกิดขึ้นและจบลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มันส่งผลให้ผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตลอดกาล
ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์พันธุวิศวกรรม ที่ต้องค้นคว้าโครงสร้างทางชีววิทยาประหลาดๆอยู่ตลอดเวลา และที่นี่คืองานแรกหลังจากเรียนจบของผมเอง
อ้าว นิว มาแล้วหรือ เสียงของเพื่อนผมดังขึ้นในที่ทำงานใต้ดินซึ่งอยู่ใต้สถานีกักกันขนาดใหญ่ ที่นี่แม้แต่คนระดับประธานาธิบดีก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบ เพราะว่ากันว่า ที่นี่คือที่วางไข่หรือแพร่พันธุ์ของมนุษย์ต่างดาวที่แวะมา และจากไปอย่างไร้สาเหตุ
ที่นี่มีความชื้นสูงกว่าบริเวณอื่นๆมาก นอกจากนี้ ยังมีธาตุเหล็กลอยอยู่ในอากาศสูงกว่าที่อื่นอีกด้วย นายทหารสวมเสื้อนอกและกางเกงลายพรางพูดอย่างขึงขัง ในขณะที่ผมกับนักวิจัยอีกหลายคนกำลังจดบันทึกอยู่
เราจึงต้องคุมกันที่นี่ ไม่ให้ใครมาเหยียบแม้แต่รายเดียว เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อต่างๆได้ง่ายแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ว่า บริเวณที่อยู่เหนือขึ้นไปนี้ คือแหล่งแพร่พันธุ์ขนาดใหญ่ของมนุษย์ต่างดาว
ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะครับ เพื่อนผมถามอย่างสงสัย
คำตอบคือภาพจากกล้องวงจรปิดที่เราจับได้เมื่อสองถึงสามวันก่อน เขาตอบ พลางกดปุ่มลงบนแป้น ปรากฏภาพของจานแบนๆสีดำที่คงจะมองไม่เห็นเลย ถ้าไม่มีดวงจันทร์กับแสงของกล้องที่ปรับเป็นมองแบบกลางคืนเอาไว้
จากภาพ เราพอมองเห็นได้ว่ามีตัวประหลาดวิ่งลงมาจากยานซึ่งไม่ระบุสัญชาตินี้ ก่อนที่ยานลำนี้จะหายไป นายทหารตอบ
หน้าที่ของพวกคุณคือ ตรวจสอบสถานที่ๆน่าจะเป็นแหล่งของพวกมัน โดยการใช้ความรู้ทุกอย่างที่มีในตัวของคุณเท่าที่จะเป็นไปได้
(แล้วพวกเราไปเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย) ผมถามอย่างหงุดหงิด หลังจากที่เดินออกมาจากห้องประชุมใต้ดินแห่งนี้ ทั้งๆที่เพื่อนนั้นตบไหล่และพูดติดตลกว่า
เอาน่า อย่างน้อยๆเราก็พอมีประโยชน์ตอนจับมนุษย์ต่างดาวได้นา จะได้จับสับ ล้าง หั่น มันตามสะดวกเพื่อศึกษาไงล่ะเพื่อน
ผมยิ้มฝืนๆ มันก็จริง แต่ถ้าพวกมันเป็นมิตร ก็คงไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ แค่ขอผิวหนังของพวกมันดีๆก็คงพอไหว
ผมในตอนนี้กำลังเดินเข้ามาในพื้นที่พักชั่วคราวซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆในใต้ดิน ห้องนี้มีที่นอนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ครบครันเพื่อศึกษาทุกอย่าง ผมซึ่งตอนนี้อยากนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ตามประสาคนคิดถึงครอบครัวของตัวเอง
ผมเปิดข้อมูลในคอมพิวเตอร์และทักทายพ่อแม่ของตัวเองก่อน ดูท่านจะสบายดี ก่อนที่จะส่งเมล์ไปหาภรรยาที่ตอนนี้อยู่ในบ้านของตัวเอง ผมยิ้มน้อยๆเมื่อส่งคำหวานไปหาเธอ นึกในใจว่าเธอจะทำหน้ายังไงนะ ถ้าผมส่งคำหวานจนน้ำตาลเยิ้มแบบนี้ ผมส่งคำทักทายไปหาเพื่อนสองถึงสามคนที่ทำงานในสำนักงานเดียวกัน แต่ไปคนละที่
ผมปิดคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็วเมื่อทำในสิ่งที่อยากทำครบแล้ว ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ทำไมตัวเองถึงง่วงนอนง่ายแบบนี้ ทั้งๆที่เราก็นอนดึกตลอดนี่นา
สิ่งต่อมาที่ผมรู้คือ ผมนอนอยู่ในห้องมืดขนาดใหญ่ที่ดูไม่ใช่สถานีวิจัยที่ผมอยู่แน่ๆ ห้องนี้มืดมาก จนผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากความมืดเท่านั้น สิ่งแรกที่ผมทำคือ คลำกำแพงไปมาเพื่อวัดความกว้างของห้องตามนิสัยของคนที่คิดไว จนกระทั่งผมแตะประตูห้องที่เย็นเฉียบเหมือนเหล็ก แต่ดูเป็นประตูที่ประหลาดมาก เพราะสิ่งที่ผมสัมผัสได้คือ ท่อเหล็กกลวงๆที่เอามาต่อกันด้วยยางเหนียวจนแข็งแรงเหมือนกาวตราช้าง ทำให้ประตูนี้ดูขรุขระและดูเหมือนประตูไม้ไผ่ในสมัยก่อนไม่มีผิด
จนกระทั่งเมื่อดวงตาของผมชินกับความมืดและเพ่งมองดูประตูให้ชัด ผมก็พบว่าประตูนี้ไม่ใช่ประตูธรรมดา แต่มันถูกเชื่อมจนแข็งแกร่ง ประตูเหล็กนี้ยังมีเซนเซอร์จับความร้อนอยู่รอบๆประตูเพื่อจับความเคลื่อนไหวของคนในนี้อีกด้วย
สิ่งแรกที่ผมคิดคือ ที่นี่จะต้องเป็นรังของสิ่งมีชีวิตที่ลงมายังโลกมนุษย์อย่างไร้สาเหตุ และพวกเขาน่าจะมีวิวัฒนาการที่ลำสมัยอีกด้วย สังเกตจากห้องที่สร้างขึ้นจากเหล็ก และยังมีความหนาจนผมไม่สามารถฟังความเป็นไปในห้องข้างๆได้เลย
ผมถูกกักขังมานานแค่ไหนแล้วนะ แล้วทุกคนที่อยู่ในสถานีวิจัยจะเป็นอย่างไรบ้างนี่ อาจจะถูกจับมาเหมือนผม หรืออาจจะถูกฆ่าไปแล้วด้วยซ้ำ แค่ผมจินตนาการถึงสถานีวิจัยที่เต็มไปด้วยเลือด ผมก็รู้สึกสยองขวัญจนตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ผมกลับห้ามใจตัวเอง และมองดูรอบๆ มองหาโอกาส
ฉับพลัน ประตูเหล็กสั่นสะเทือนเล็กน้อย และแยกออกเป็นสอง เปิดให้เห็นแสงสว่างจ้าที่ทำเอาผมแสบตา ร่างอันน่าขยะแขยงของสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจับผมเอาไว้ ตามด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม พวกมันจับแขนและขาของผม สิ่งแรกที่ผมเห็นคือมือและแขนใหญ่ที่เชื่อมด้วยเหล็ก แต่ภายในชั้นเหล็กที่เชื่อมนิ้วห้านิ้วและมือที่เป็นเหล็กคือเนื้อและกล้ามเนื้อที่ดูเหมือนน้ำ และก่อนที่ผมจะได้เห็นใบหน้าของพวกเขา มือข้างหนึ่งจับผมเอาไว้ ความรู้สึกที่มีเข็มเล่มใหญ่แทงที่ไหล่พุ่งเสียดขึ้นมาในมโนสำนึก สติสัมปชัญญะ ค่อยๆจางหาย และหายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อผมฟื้นขึ้นมา ผมก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้สีดำ เหล่าสิ่งมีชีวิตที่ดูดุร้ายยืนอยู่ตรงหน้าผมสองถึงสามตัว และสิ่งที่ผมเห็นอย่างแรกคือใบหน้าของพวกเขาที่เป็นเหล็กสีดำมันวาว ดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขาเป็นสีเทาอ่อนและดูกลมโตกว่ามนุษย์และไม่มีตาขาว กรามของพวกเขายื่นออกมาเหมือนสุนัข แต่สิ่งที่จะเป็นปาก กลับกลายเป็นหนวดแข็งๆสีฟ้าเยิ้มๆเหมือนแมลงยื่นออกมาจากช่องว่างของหน้ากากเหล็ก ร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าผมนั้นใหญ่โตและดูน่าเกรงขาม เพราะพวกเขานั้นดูเหมือนจะเชื่อมร่างกายของตัวเองด้วยเหล็กและเครื่องจักร แขนของพวกนี้ตัวหนึ่งนั้นมีปืนกลรูปทรงกระบอกติดอยู่ที่แขนทั้งสองข้าง ร่างกายของพวกมันนั้นดูใหญ่โตก็จริง แต่เนื้อในที่แท้จริงของพวกเขานั้นผอมมีแต่กระดูก ดูเหมือนแมลง
เสียงกรอกแกรกของพวกมันดังขึ้น ฟังดูเหมือนภาษามนุษย์ แต่ฟังออกค่อนข้างยาก เพราะฟังเหมือนกับพูดกลั้วคอมากกว่า
พวกแก...จับฉันมาทำไม ผมถามพลางเงยหน้าขึ้นมาดูอย่างเหนื่อยอ่อน คงเป็นเพราะผมสลบไปนานมาก
พวกเราจับแกมาเป็นหนูทดลอง เพื่อชาติของพวกเรา...ที่กำลังจะล่มสลาย เกราะแมลงที่ติดปืนกลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเดิม
หมายความว่าไง ผมถามพลางเงยหน้าขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อให้มองเห็นให้ชัด
พวกเรา...เคยอยู่บนดาวที่อุดมสมบูรณ์ คล้ายๆกับดาวของพวกเจ้าในสมัยก่อนที่พวกเราเคยมาสำรวจ แมลงในชุดเกราะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ แต่ดวงดาวของพวกเรากำลังจะหายไป ด้วยสาเหตุเดียวกับที่นี่...ในตอนนี้
ตัวประหลาดเดินไปมาอย่างร้อนใจ เหมือนกับมีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามคาดของพวกมัน เหล่าบริวารของเขาต่างรู้สึกได้ จึงนิ่งเงียบ และฟัง
ด้วยพวกมนุษย์ที่โง่เขลา พวกเราจึงไม่อาจมีที่อยู่ได้อีกต่อไปแล้ว และอารยธรรมของพวกเรากำลังจะหายไป...ตลอดกาล มันถอนหายใจดุจพวกมันไม่พอใจ ก่อนที่จะหันมาทางผม และแสยะยิ้มออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
แต่พวกเรา ไม่ห่วงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แมลงพูดด้วยน้ำเสียงสูงอย่างยินดียิ่ง เพราะพวกเรา...ได้ฝากเมล็ดพันธุ์ซึ่งจะสืบต่อเป็นพวกเรา...ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่า มันโน้มตัวลงมา ผมได้กลิ่นเหม็นเน่าของศพผสมกับกลิ่นปฏิกูลในใต้ดิน มันทำเอาผมเบ้หน้าหนีอย่างรวดเร็ว
เป็นไงล่ะ กลิ่นของพวกข้า...เหม็นใช่ไหมล่ะ แต่ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยว แกก็เป็นเหมือนพวกเราแล้ว
คำพูดสุดท้ายทำเอาผมสะดุ้งและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เสียงสั่งดังขึ้นเมื่อมันถอนสายตาไปจากผม
เอาตัวมันไปขังในกรง รอจนกว่ามันจะกลายพันธุ์
ปล่อยฉัน!! ปล่อย!! ผมร้องลั่นในขณะที่ถูกแขนทั้งสองข้างรัดไว้ และถูกลากเข้าไปในกรงขังอีกครั้งหนึ่ง ผมถูกโยนลงไปที่ห้องขัง ก่อนที่ห้องจะมืดสนิทเหมือนที่มันเคยเป็น ผมรีบลุกขึ้นมาและคลำไปรอบๆที่นั่นเหมือนจะหากลไกเปิดประตู แต่ไร้ผล ดูที่นี่จะมืดเหมือนความคิดของผมตอนนี้ ความคิดที่ไม่มีทางใดจะหนีไปจากที่นี่ได้ และไม่มีทางใด ที่จะทำให้ผมดิ้นรนจากความไม่ใช่มนุษย์ในอีกไม่นานนัก
ผมคลำทางไปมาเหมือนพยายามหาทางออก ผมเริ่มรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาอีก แต่นั่นเป็นปัญหาเล็กที่สุดสำหรับผมในตอนนี้ ผมพยายามจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากข้างนอก แต่ที่นี่ดูเงียบสนิท ไม่มีความหวัง ไม่มีอะไรเลย
เวลาผ่านไปสองถึงสามชั่วโมง หรืออเวลาผ่านไปนานเท่านั้นหรือเปล่าผมก็ไม่รู้ ในที่สุด ผมก็ยอมแพ้ และนั่งลง เอามือชันเข่า พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เผลอร้องไห้ออกมา ทำไมผมไม่ทำอะไรให้เร็วกว่านี้ ในเมื่อผมมีโอกาสอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะก่อนหน้านี้ ถ้าผมย้อนเวลาได้ ผมจะ...
เอาละ เอาตัวอย่างเลือดของมันออกมา เสียงของใครบางคนดังก้องขึ้นในความมืด ก่อนที่ประตูจะเปิดออกอีกครั้ง สร้างแสงจ้าเข้ามา และร่างของแมลงตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ชุดเกราะก็ก้าวเข้ามาในห้อง ทำให้ผมได้ช่องที่จะหนี แต่ผมไม่ทำในทันที ผมนั่งนิ่งๆอย่างรวดเร็ว ทำเหมือนจำยอม
เอาแขนมา มันสั่งด้วยน้ำเสียงขลุกขลักเหมือนเคย
ต่อในกระทู้ถัดไปเลยครับ
จากคุณ |
:
littlediplomat101
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ย. 52 17:17:43
|
|
|
|