................ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๕...................
|
|
ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=07-2009&date=17&group=16&gblog=1 .....................................................................................................................................................
บทที่ ๕
ยามสาย แดดสายจางสีของไอเสีย ให้ลำน้ำเจ้าพระยากลับมาน่ามองอีกครั้งหลังจากช่วงเช้า ที่สารพัดเรือยนต์ประดามี ต่างเร่งรี่แข่งขัน ขนส่งผู้คนสารพัดชนิด จากท่าหนึ่งสู่อีกท่าหนึ่ง แบบลำใครลำมัน
แต่สองสาวยังติดอยู่บนรถ...
พรสวรรค์นั้นอึดอัดมากกว่าวิตก เพราะทั้งที่รู้อยู่ว่าจะมาเจอใคร แต่ก็จำใจต้องมา ก็นี่อีกแค่ไม่กี่นาทีข้างหน้า จะต้องได้เจอกับเขา คนที่ทำใจให้ถูกชะตาด้วยไม่ได้สักที
ทั้งที่ก็ผ่านมากว่าสัปดาห์ ที่เธอจำเป็นต้องเห็นหน้าเขาทุกวัน
ส่วนนภาทั้งวิตกทั้งอึดอัด
ที่อึดอัดก็เพราะไม่เคยคิดเป็นแม่สื่อแม่ชักให้กับใครมาก่อน ทั้งหมดเป็นเพราะหลงคารมนายภาสกรนั่นเทียว
ตั้งแต่สองสามวันแรกที่พรสวรรค์เข้ามาจัดการเรื่องที่ร้านละกระมัง ที่แผนการพิกลของนายนั่น ถูกเปิดเผยออกมา
แต่ตอนนี้สิต้องวิตกมากกว่า ด้วยว่าถนนสายเจ้ากรรมที่ชื่อ เจริญกรุง นี้ช่างคับแคบ ความจอแจแออัดของสารพัดรถ ทำให้เลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมง นั่นหมายถึง อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เรือหรูนั่นก็จะออกจากท่า
ช่างเรือนั่นเถอะน่ะ... แค่ขอให้คุณปรมัตถ์รออยู่ก็คงพอแก้ไขสถานการณ์ไปได้
ในที่สุดนภาก็ต้องปลอบใจตัวเองอยู่ดังนี้ ระหว่างรอติดไฟแดงสุดท้าย ก่อนจะถึงที่หมาย มันเป็นไฟแดงที่เหมือนจะยาวนานที่สุดในชีวิตของนภา
ถ้ามาเรือเราน่าจะสะดวกกว่านี้นะคะ
สายๆ อย่างนี้เรือด่วนเจ้าพระยาไม่ค่อยถี่เหมือนเช้าๆ เย็นๆ หรอกค่ะ
อย่างน้อยอากาศก็น่าจะดีกว่าอยู่บนรถเมล์นี่...นี่คะ
เถอะค่ะคุณแจ๋ม คิดเสียว่ามาร บ่ มี บารมี บ่ เกิด ก็แล้วกัน เราลำบากกันเสียตั้งแต่ต้นๆ พอลงเรือทัวร์นั่นก็สบายเราแล้วละ
ทำไมพรสวรรค์จะจับไม่ได้ ว่านภาก็พูดให้บทสนทนานี่ผ่านๆ ไปเท่านั้น เห็นชัดอยู่ว่า หญิงสาวรุ่นพี่มีท่าทีชอบกล แต่จะเพราะเหตุไรก็ยังเดาไม่ออก อาจเพราะจิตใจส่วนหนึ่งของตัวเธอเองยังเวียนวนอยู่กับอีตานั่นก็เป็นได้ นึกแล้วก็ยังเจ็บใจตัวเองไม่หาย ก็แค่คำนี้เท่านั้น
พี่ภาอย่าท้าแจ๋มนะคะ
แค่คำนั้นเท่านี้เองจริงๆ ที่ทำให้วันนี้อาจจะต้องเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เพราะต้องมาเดินทางใกล้ชิดอยู่กับ ผู้ชายที่ไม่ชอบขี้หน้า ผู้ชายที่กล้ากล่าวหาว่าเธอ ชอบทำหน้าเหม็นส้วม
ไอ้คนบ้า...!
พรสวรรค์เผลอหลุดปากออกไป จนหลายคนในรถหันมามอง
คะ...คุณแจ๋มว่าอะไรนะคะ
นภาต้องหันมาถาม
ปละ... เปล่าค่ะ เพียงแค่ แจ๋มคิดอะไรเพลินๆ ...ท่าเรือตรงที่มีแกลลอลี่อะไรนั่นด้วยใช่ไหมคะ ที่เราจะไป
คนตอบเลยต้องรีบเฉไฉไปเสียให้ไกลตัว ทำทีเป็นชะเง้อชะแง้ มองเลยสัญญาณไฟที่ยังไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนสี
ยังดีที่สองสาวได้นั่งมาตั้งแต่ต้นสาย จึงไม่ถึงกับต้องทนทรมานด้วยการยืนขาแข็ง คอยเกร็งท้องน่องและจิกปลายเท้า เวลารถเมล์คันนี้เบรกหรือออกตัว
พี่ว่า... เราน่าจะลงเดิน ป่านนี้พวกนั้นเค้ารอกันแย่แล้ว
ไม่ต้องหรอกมั้งคะ แค่ไฟแดงเดียว เผลอๆ พอเราลงปุ๊บไฟเขียวปั๊บ เราจะอายคนบนรถเสียเปล่าๆ
พรสวรรค์พยายามถูไถหาเหตุผลที่สมประกอบที่สุด หลังจากนภาทำท่าจะลุกขึ้นจริงๆ จนเธอต้องรั้งแขนเอาไว้
ใจจริงนั้นไม่อยากมาเลยสักนิด แต่เพราะติดอยู่ตรง คำท้า นั่นอย่างเดียว ก็ตัวเธอเองถือคติเช่นนี้มานานนัก ตั้งแต่สมัยมัธยมปลายนั่นกระมัง ที่ถูกปลูกฝังให้รู้สึกว่า คนที่ กล้ารับคำท้า คือคนที่น่ายกย่อง และตัวเองก็ได้พิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่า หลังจากรับคำท้าแล้วทำไปตามนั้น ก็จะได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนหรือกระทั่ง คนที่ยื่นคำท้าเองว่า เออ...เอ็งมันแน่
งั้นพี่ขอท้า ถ้าคุณแจ๋มไม่ไป ก็แสดงว่าคุณแจ๋มคิดอะไรกับคุณปอจริงๆ
ถ้อยคำท้าทายเวียนกลับเข้าก้องอยู่ในหัว แถมซ้ำด้วยคำปรามาสปิดท้ายของนภา ที่ทำให้พรสวรรค์ต้องร่วมดั้นด้นฝ่าดงรถติดมาด้วยกัน ตอนนั้นพอเธอรับคำท้าปุ๊บ นภาก็ต่อคำได้ปั๊บ
แล้วพี่จะคอยดู
นั่นมันเมื่อสามวันที่แล้ว หลังจากต้องทนเห็นหน้าอีตาปรมัตถ์นั่นมาแล้วตั้งห้าวัน ตั้งแต่บ่ายๆ ที่เกิดเรื่องนั่น พอมื้อค่ำคู่หูสองหัวนั้นก็กลับมา ตอนนั้นพรสวรรค์ยังอดคิดไม่ได้ว่า หนังหน้าพ่อเจ้าประคุณช่างหนากันเหลือเกิน
แม้ว่าตั้งแต่วันนั้น ทั้งสองหนุ่มจะสงบเสงี่ยมเป็นอันดี ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ อย่างที่บุคลิกของคนเช่นนั้นควรจะเป็น แต่พรสวรรค์ก็ทำใจให้รู้สึก เฉยๆ กับเขาไม่ได้สักที
แล้ววันถัดๆ มา สองหนุ่มนั่นก็มา เหมาทั้งมื้อเที่ยงมื้อเย็นและมื้อดึก กาแฟชงแบบโบราณฝีมือป้าชื่น ที่คงรู้คอกันดี ถูกยกไปเสิร์ฟทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อดึก ที่ต่างก็สั่ง รถพ่วงยกล้อ ซึ่งหมายถึงกาแฟดำเข้มจัด ชนิดที่คนจิบจะต้องได้ทั้งความขมและความขื่น และอาจจะตาตื่นกันไปตลอดคืนก็เป็นได้
แน่นอน... ผู้ที่เสิร์ฟให้ขาประจำคู่นี้ไม่ใช่พรสวรรค์
นอกจากนภาแล้วก็ป้าชื่นนั่นเอง ที่ยกสำรับไปทีไร ก็ถือโอกาสโอภาปราศรัยกันอยู่เป็นนานสองนาน ไม่รู้ว่าคนอย่างนายนั่น จะคุยอะไรถูกคอกับคนแก่อย่างป้าชื่นได้นักหนา หลายครั้งนั้นยังแอบคิดว่า เพราะคารมอย่างที่เกือบจะเรียกว่า ปากเปราะ ของพี่ภาสมากกว่า ที่ทำให้สาวแก่อย่างป้าชื่น ชื่นมื่น กลับมาได้ทุกคราว
ตาภาสนั่นนะเรอะ จะพูดจาเอาอกเอาใจ ให้ถูกอกถูกใจคนแก่ คุณปอเค้าต่างหากล่ะคะ ที่คุยเรื่องเก่าๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ป้าชื่นแกฟัง ป้าชื่นนั่นเค้าคนยุคบางลำพูสแควร์ ตอนพอศอสองพันสี่ร้อยปลายๆ เค้ายังเป็นวัยสะรุ่น เฉิดฉายเป็นดาวริมทางอยู่แถวบางลำพูสิบสามห้างข้างวัดบวรฯ อะไรนั่น พอคุณปอเค้ารู้เรื่องนี้ละเอียดก็เลยคุยกันถูกคอ
นี่เป็นคำอธิบายยืดยาวของนภา หลังจากพรสวรรค์เผลอพึมพำออกไปว่า สงสัยภาสกรจะเล่นคารมกับคนแก่
คนอย่างนายนั่นจะรู้เรื่องแถวนั้นละเอียดไปทำไมล่ะคะ
จำได้ว่าคำถามกลับตอนนั้น เหมือนเธอจะหาเรื่องเถียงไปอย่างข้างๆ คูๆ มากกว่าด้วยซ้ำ
ก็... นภาเว้นคำเพื่อไตร่ตรอง ก่อนจะค่อยตอบคำ ...คนไทย เอ่อ... พี่หมายถึง คนชาติไหนๆ ก็ควรรู้หรือเรียงลำดับที่มาที่ไปของชาติตัวเองให้ได้ อย่างน้อยๆ เวลาคุยกับใครๆ จะได้ตอบเขาถูกว่า เราเป็นใคร มาจากไหน แต่ก็นั่นละค่ะ มีคนไม่กี่ประเภทนักหรอก ที่ชอบกลับไปจมอยู่กับอดีต ไม่พวกนักวาด ก็พวกนักเขียน กับพวกนักนั่นนักนี่อีกไม่กี่นัก
โดยสรุปในถ้อยคำของนภานั้น เพียงพอให้พรสวรรค์ประมวลได้ว่า พวกนักทั้งนั้นที่เอ่ยถึง ก็คงไม่พ้นพวกศิลปินกินฝัน ถวิลหาบางสิ่งที่ผ่านเลย ตอนนั้นเธอก็เลยต้องหยุดพูด ด้วยว่าไม่อยากให้นภากลับมาถามทัก ถึงเรื่องคนรักเก่าที่เธอก็เคยเผลอเปิดเผยให้กันฟังไปแล้วบ้าง
พรสวรรค์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายส่วนของปรมัตถ์ ทั้งกิริยาท่าทาง อุปนิสัยใจคอ ช่างคลับคล้ายกับใครบางคน คนที่ทำให้เธอต้องดิ้นรน หลบเสียให้พ้นจากคำว่าคนเจ้าน้ำตา เพราะเขาคนนั้นทั้งนั้นที่ทำให้เธอเคยฟูมฟาย และก็เขาอีกเช่นกัน ที่ทำให้เธอพยายามสร้างบางสิ่งมาห่อหุ้ม ให้กับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
ตอนแรกนั่นคุณแจ๋มคงอบอุ่นดีนะคะ มีแฟนเป็นศิลปินอารมณ์ฝัน
นั่นเป็นความคิดเห็นของนภา ในครั้งแรกที่เอ่ยถึงความรักครั้งแรก ที่ยังคงเป็นครั้งเดียวมาจนถึงทุกวันนี้
พรสวรรค์ไม่ปฏิเสธว่าเธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาคนนั้นให้นิยามความเป็นตัวเอง ว่าเขาคือศิลปิน
ก็คงเป็นความรักแบบเด็กๆ น่ะค่ะ ไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก
ตอนที่ต่อบทสนทนาไปในทำนองเช่นนี้ เธอยังจำแววตาที่มองมาจากนภาได้ด้วยซ้ำ ว่าวาววับถึงแค่ไหน แววตานั้นไม่ใช่แววตาของคนกำลังจ้องจับผิดหรอก แต่จะเป็นแววตาที่ส่งผ่านมาจากอารมณ์ไหนก็สุดจะคาดเดา
อ้าว... ดูสิคะ คุณตำรวจจราจรมานั่นแล้ว สงสัยไฟแดงจะเสีย
เสียงของนภากระตุกให้พรสวรรค์กลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง
คนทั้งรถชะเง้อมองไปทางเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย คราวนี้หลายคนเพิ่งสังเกตเห็น ทุกแยกถนน รถทุกคันต่างหยุดรอสัญญาณไฟ
ตำรวจจราจรนายนั้นเริ่มใช้สัญญาณมือ แต่ไม่ได้เริ่มจากฝั่งของสองสาว นภานึกเร่งให้ถึงรอบของตัวเองเร็วๆ ขณะที่พรสวรรค์กลับภาวนาให้คุณตำรวจลืมที่จะโบกรถฝั่งของเธอให้แล่นต่อไปข้างหน้า
ไม่ไหวแล้วค่ะ เดี๋ยวได้ตกเรือกันพอดี ลงเดินกันเถอะค่ะคุณแจ๋ม
นภานับหนึ่งถึงเกือบสองร้อยไปแล้วด้วยความอดทน แต่นายจราจรท่านนั้นยังไม่หันมาโบกให้รถฝั่งนี้เคลื่อนที่ต่อไป
และโดยไม่รีรออะไรอีก นภาก็ลุกพรวดขึ้น แล้วก้าวหลีกลงไปจากรถทันที โดยไม่ยอมให้พรสวรรค์รั้งไว้ได้อีก แน่นอนว่าหญิงสาวรุ่นน้องผู้ไม่ได้เต็มใจเลยสักนิดกับการร่วมทริปครั้งนี้ ก็ต้องเบียดแทรกผู้คน ก้าวตามลงมา
อย่างนี้ทุกทีละ พอตำรวจจราจรมา ที่ติดๆ ขัดๆ อยู่แล้ว ก็ยิ่งติดหนึบเหนียวหนับขยับขยายกันไม่ออก
พรสวรรค์ยังทันได้ยินนภาบ่นกับตัวเอง ตอนวิ่งข้ามทางม้าลาย
หากเหาะไปได้นภาคงจะทำ แต่เพียงแค่นี้ เท่าที่จะไม่ต้องวิ่งลนลานจนเสียจริต กระโปรงยาวลายสารพันสีของนภาก็ปลิวสะบัด ไปตามแรงก้าวฉับๆ
ป่านนี้ไม่รู้พวกนั้นจะว่ายังไงกันแล้ว
ถ้าเร่งจริงๆ ก็ต้องโทรมาตามแล้วละค่ะ
ตายจริง...!
นภาหยุดกึก ทำให้คนที่เดินตามมาแทบจะชนกับคนที่หยุดกะทันหัน
อะไรคะ
พรสวรรค์พลอยตกใจไปด้วย
พี่ลืมมือถือ
นภาทำท่าหันรีหันขวางประกอบ แถมด้วยอาการสะบัดฮึดฮัดขัดใจอีกนิด เพื่อให้สมบทบาท
ในใจของนภานั้นยิ้มกริ่ม หากไม่รักในทางเขียนนิยาย เธออาจไปเอาดีทางด้านการแสดงได้เหมือนกัน ก็ลืมจริงๆ เสียที่ไหนกันเล่า แค่แกล้งลืมเพื่อแผนการขั้นต่อไปก็เท่านั้น
หลังจากประคองจิตใจกลั้นไม่ให้เผยยิ้มออกมาในหน้า นภาจึงรีบสานต่อบทบาททันที
เร่งฝีเท้ากันหน่อยเถอะค่ะคุณแจ๋ม พี่ไม่อยากมีอะไรไว้ให้นายภาส ยกขึ้นมากล่าวหาได้ โดยเฉพาะเรื่องเวลานี่ ถ้าพี่พลาดไปสักครั้ง ต่อไปนายนั่นก็จะเอามาอ้างว่าทีพี่ยังสายได้ แล้วมีหรือที่คนอย่างเขาจะตรงเวลา
ถึงเหตุผลจะฟังแปร่งๆ ไปบ้าง แต่พรสวรรค์ก็ต้องเร่งฝีเท้าตามมา
ในใจของหญิงสาวรุ่นน้องนั้นอดนึกขันไม่ได้ นี่กระมังที่เข้าตำรา คนอย่างเธอต้องเจออย่างฉัน เพราะนภาเอง วางตัวไว้ในประเภทพวกระเบียบจัด และไม่ยอมให้ใครมาตราหน้าได้ว่าเป็นพวกไร้วินัย ในขณะที่นายภาสกรนั่น กลับเป็นพวกไร้แก่นสารโดยสิ้นเชิง เมื่อดำกับขาวมาเจอกัน ก็อาจจะกลมกลืนสีของกันและกัน ให้เป็นวิถีชีวิตแบบกลางๆ พอดีๆ กันได้บ้าง
พอนึกมาถึงวัยของนภา แล้วพรสวรรค์ก็ต้องยินดีกับหญิงสาวรุ่นพี่ ที่แม้จะปล่อยอายุให้ล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ ก็ยังมีรถไฟเที่ยวสุดท้ายหลงรางมาให้กระโจนขึ้นไป แม้จะเป็นรถไฟปุโรทั่งก็เถอะ หากยังสามารถพากันให้ไปถึงจุดหมายได้ ก็ย่อมดีว่าต้องมาทนเดินเท้าย่ำต๊อกอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือ
แต่ตัวเธอเองเล่า นานแค่ไหนที่ไม่ยอมมองใคร นานแค่ไหนที่ปิดประตูหัวใจเอาไว้ไม่ให้ใครได้ผ่านเข้ามา ไม่ใช่ไม่มีใครมาเวียนเพียรเคาะ สอบถามหรือเสนอตัวหรอกนะ เป็นเพราะตัวเธอเองต่างหาก ที่ยินดี ปิดตัวปิดใจ อยู่กับความร้างไร้อย่างเงียบเหงา
เขาคนนั้นจากไปอย่างไม่แยแส ก็ตามแบบอารมณ์ศิลปินของเขานั่นละ พรสวรรค์เคยปรึกษาพ่อ ผู้ที่เธอเชื่อว่าน่าจะเข้าใจจิตใจของศิลปินได้ดีที่สุด เพราะพ่อก็จัดกว่าเป็นผู้มีอารมณ์ศิลปินเต็มเปี่ยมผู้หนึ่ง แต่ถ้อยคำปลอบประโลมใจของพ่อนั้น กลับคล้ายมีดคมที่เฉือนลงกลางใจเสียมากกว่า
พวกนี้ก็เป็นอย่างนี้ แต่หากเขารักใครจริง เขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปเป็นอื่นได้เลย ไม่ว่าในยามหลับหรือยามตื่น
ว่าแล้วพ่อก็โอบกระชับแม่เข้าไว้ในวงแขน หอมเน้นๆ ตรงแก้มอิ่มๆ ของแม่ แล้วก็ปล่อยให้แม่หยิกข่วนแก้อาการเก้อเขินด้วยความยินดี
ตอนนั้นพรสวรรค์ไม่อยากจะมอง ความรักที่ไม่มีวันจะเก่าลงเลยของคนทั้งคู่ และนึกไม่ออกว่าจะมีโอกาสใดบ้าง ที่จะทำให้คนทั้งสองมีอันต้องแยกจากกัน
แต่ความรักในวันนั้นของเธอยังใหม่ ยังหมดจดอยู่กระทั่งวันที่เขาจากไป แค่คำว่า เพราะเธอดีเกินไปสำหรับเขา พรสวรรค์ไม่เห็นว่ามันจะถูกต้องตรงไหน
อีกนานที่เธอพยายามติดต่อและตามหา จนแม่นั่นละที่เข้ามาช่วยให้ตัดใจ แม่เล่าถึงคนรักเก่า แม่เล่าถึงคนที่อยู่ในหัวใจก่อนที่จะมีพ่อเข้ามาแทนที่ แล้วแม่ก็อยู่มาได้ อยู่มาได้อย่างมีความสุข ขณะที่เขาคนนั้นของแม่ ไม่รู้ว่าทุกวันนี้จะเป็นตายร้ายดีไปอย่างไร แม่สรุปความปลอบโยนไว้ตรงที่ว่า
ชีวิตเรายังอีกยาวไกล หากไม่เสียเขาไป เราอาจไม่มีโอกาสได้เจอกับสิ่งที่ดีกว่า แค่เพียงคนเดียวที่ผ่านเข้ามาเพื่อให้เราได้รัก ไม่ใช่จะเป็นคนเดียวที่จะรักเราได้อย่างเต็มหัวใจ
แน่นอน เธอเถียง และไม่ยอมปลงใจกับคำปลอบประโลมอันนั้น แต่พร้อมกัน พรสวรรค์ก็ได้คิด ชีวิตไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้นจริงๆ แม้เธอจะยินดีให้ความรักของเธอจบลงตรงนั้น แต่ชีวิตก็ยังต้องก้าวต่อไป นั่นเองที่ทำให้พรสวรรค์ทำเรื่องโอนย้ายไปเรียนต่อปีสามปีสี่ที่ต่างประเทศ ซึ่งเธอตั้งใจเต็มที่และเรียนได้ดีจนใครๆ ต่างพากันชื่นชม
หรือว่าสวรรค์จะกลั่นแกล้ง ยังไม่ทันจะขึ้นปีสุดท้าย อาการใกล้เคียงกับความล้มละลายก็มาเยือนครอบครัว เธออาสากลับมาสะสาง ด้วยว่าเพราะมั่นใจไม่น้อยว่ากว่าปีในร้านอาหารที่ต่างประเทศ จะช่วยรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายของครอบครัวเอาไว้ได้
แล้วคุณภพสรวงไม่กลับมาด้วยกันหรือคะ
ตอนกลับมาใหม่ๆ นภายังถามอย่างนั้น เพราะแปลกใจไม่น้อยว่า ทำไมจึงกลายเป็นน้องสาวที่ยังไม่จบปริญญาตรี ที่ต้องกลับมาสะสางภาระครอบครัว ขณะที่พี่ชายที่กำลังทำปริญญาโท ยังร่ำเรียนอยู่ที่โน่น
พี่จ๋อมเค้าเหลืออีกแค่เทอมเดียว เอาเงินส่วนของแจ๋มส่งพี่เค้าให้จบๆ แล้วค่อยกลับมาก็คงไม่สายเกินไปหรอกค่ะ
พรสวรรค์จำได้ว่าคำตอบนั้นไม่ได้กระแทกกระทั้นน้ำเสียงไปเท่าไร แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินนภาถามถึงไปในทำนองนั้นอีกเลยจนวันนี้
ระยะทางเดินเท้าไกลกว่าที่คิด จนนภาต้องเร่งฝีเท้าขึ้นอีก และพรสวรรค์ก็ต้องแทบจะต้องวิ่งตาม พื้นบาทวิถีแถวนี้ไม่เรียบ แถมยังมี มอร์ฯไซค์วิน บางคันใช้เป็นทางลัดเสียอีก จึงทำให้การมุ่งไปข้างหน้ายิ่งลำบาก
หากไม่ทันรอบนี้ เรารอรอบถัดไปไม่ได้หรือคะ
คนวิ่งตาม พยายามหาทางออกสำรอง
เขาจะมาง้อเราทำไงล่ะคะ เงินเขาก็ได้ไปแล้ว เราอยากสายเอง เขาจะมาใส่ใจทำไม
แต่... ตั๋วตั้งสี่ใบ...
พี่ต่อให้สักสิบใบเค้าก็ไม่รอ
เสียงตอบของนภายิ่งร้อนรน จนพรสวรรค์เลิกคิดที่จะต่อคำ ได้แต่เร่งซอยเท้าตามไป ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
จนในที่สุดสองสาวก็เลี้ยวเข้าสู่บริเวณหน้าโรงแรม ลานกว้างไปจนถึงตัวอาคารนั้น ทำให้แทบหมดแรง ไหนจะต้องเดินอ้อมไปท่าเรือด้านหลังนั่นอีกเล่า คราวนี้นภาลงมือ ฉุดมือของพรสวรรค์ให้วิ่งตามกัน เพราะยังเห็นลิบๆ ว่าเรือสำราญลำเดียวกับรูปในตั๋วนั่นยังไม่ไปไหน
ไม่มีเวลาหอบหายใจด้วยซ้ำ ตอนที่นภาถามหาภาสกรกับปรมัตถ์
ชายหนุ่มเบ้หน้า ส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างชัดแจ้งออกมา น้ำเสียงที่ตอบคำก็คงข่มอารมณ์บูดไว้เต็มที่
ยังไม่เห็น ครับ
ประจำเลยนายภาสเนี่ย ดูสิ แล้วก็ไม่ยอมโทรมาบอกกล่าว
มันโทรมาบอกว่ากำลังมา แล้วตั๋วก็อยู่ที่พี่นภา
ใช่ค่ะ... ตั๋วอยู่ที่พี่ นี่ไงคะ
นภายัดตั๋วโดยสารล่องเรือสำราญนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์ ๙ วัด ใส่ในมือปรมัตถ์เป็นการยืนยัน ทำทีเป็นหันรีหันขวางราวกับว่า ภาสกรจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าได้อย่างทันอกทันใจ
ตลอดเวลาร่วมนาทีที่เจอหน้ากัน พรสวรรค์พยายามทำตัวให้เหมือนไม่มีตัวตน เธอไม่ชำเลืองมองเขาอีกเลย ตั้งแต่ตอนเห็นกันอยู่ไกลๆ ว่าวันนี้เขารวบผมเรียบร้อย สวมกางเกงทรงสแลค เสื้อเชิ้ต และมีสูทอ่อนพาดไว้บนบ่าข้างหนึ่ง
ตานี่ก็รู้จักกาลเทศะกับเขาเหมือนกันเรอะ
พรสวรรค์นึกขัดแย้งอยู่ในใจ ก่อนที่จะก้มลงสำรวจตัวเอง ซึ่งความกระเซิงตอนนี้ ทำให้อดที่จะนึกสาปแช่งตัวเองไม่ได้
อย่างนี้มันแต่งตัวมาข่มกันเห็นๆ
แต่แล้วก็กลับหาเรื่องเขม่นชายหนุ่มตรงหน้าต่อไปอีกจนได้
โดยทั้งหมดนี้ พรสวรรค์ไม่จำเป็นต้องมองเขาอีกเลย เพราะภาพจากที่ไกลที่เห็นกันนั้น ยังติดตาและแจ่มชัด
พี่ลืมมือถือ ขอยืมคุณปอหน่อยเถอะค่ะ จะโทร. ตาม
ผมโทร. แล้ว มันไม่รับสาย
อาจไม่มีสัญญาณ มาให้พี่ลองอีกครั้งนะคะ
ผมว่าเราไม่ต้องรอมันก็ได้
ปรมัตถ์ตัดบท เขาก็ไม่ชอบคนไม่รักษาเวลาเช่นกัน แต่ก็ยังยื่นโทรศัพท์ของตนเองให้กับนภา
นี่ขนาดนัดกันล่วงหน้าตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง ยังมาไม่ทัน
ประโยคนี้เหมือนปรมัตถ์พึมพำกับตัวเองมากกว่า แต่ก็ทำให้พรสวรรค์หน้าชาได้เหมือนกัน
ก็...
คนร้อนตัวขยับจะเถียง แต่เสียงจากโทรโข่งดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน เป็นใจความให้ผู้ที่มีตั๋วอยู่ในมือรีบลงเรือ และจะไม่รอหรือทดแทนให้ในรอบถัดไป
งั้น... เราลงเรือกันก่อน ไว้ให้ตาภาสตามไปตรงจุดถัดไปดีไหม ไปค่ะ ไปกันเร็วๆ เข้า
นภาตัดสินใจแทนคนทั้งหมด แล้วก็ออกเดินนำไปยังสะพานเรือ ขณะที่มือก็กดโทรศัพท์เรื่อยไป พร้อมทั้งค่อยชะลอฝีเท้าลงให้สองหนุ่มสาวเดินแทรกนำลงเรือไปก่อน
อุ๊ยตาย!...ติดต่อได้แล้วค่ะ
นภาหยุดเดิน เธอหยุดตัวเองอยู่บนสะพานเรือ ไม่ยอมก้าวลง ตอนที่ปรมัตถ์กับพรสวรรค์ลงไปยืนรอในเรือเรียบร้อยแล้ว
สัญญาณเหลือขีดเดียว เดี๋ยวนะคะคุณปอ พี่ขอเวลาเดี๋ยว
ขณะพูด นภาทำเป็นขยับจะเข้าใกล้ลำเรือเข้ามาอีก แต่แล้วเธอก็ถอยห่างออกไป
สงสัยเครื่องยนต์ในเรือจะกวนคลื่น สัญญาณขาดๆ หายๆ
ปากของนภายังพูดต่อไป ขณะที่ตัวเองถอยเท้าใกล้ฝั่งเข้าไปอีกนิด
ฮัลโหล ตาภาส... อยู่ไหนแล้วล่ะ ไม่เคยเลยนะที่จะตรงเวลา
โทรศัพท์คงต่อสายได้แล้ว ปรมัตถ์กับพรสวรรค์จึงเห็นว่านภากรอกคำพูดลงไปดังนั้น
ฮัลโหลๆ ได้ยินไหมภาส...
เสียงของนภาแทบเป็นตะโกนใส่โทรศัพท์ ตอนหันมาพยักพเยิด โบกไม้โบกมือให้รู้ว่าติดต่อกับภาสกรได้แล้ว
คนประจำเรือ ส่งสัญญาณอีกครั้งให้นภาทำอะไรสักอย่าง ระหว่างลงมาในเรือหรือกลับขึ้นฝั่ง ปรมัตถ์พยายามมองตาเขาเพื่อให้รู้ว่า มีคนที่มาด้วยกันอีกคนยังตกค้างและกำลังมาถึง
อะไรนะ มาถึงแล้ว ไหน ถึงไหนแล้วล่ะ
เสียงของนภาที่ตะโกนใส่โทรศัพท์เหมือนจงใจให้ทุกคนในบริเวณนั้นได้ยินทั่วกัน แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มให้กับสองคนที่รออยู่บนเรือ
มาถึงแล้วค่ะ อยู่ข้างหน้านี่เอง คุณคะ รออีกนิดนะคะ...
นภาตะโกนบอกคนประจำเรือ แล้วตัวเองก็วิ่งกลับขึ้นฝั่งไป
อ้าว... เฮ้ย พี่นภา พี่ภา... กลับมาก่อน จะไปไหนคะ
เป็นพรสวรรค์ที่ต้องหลุดปากตะโกนออกไป เพราะเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังขึ้นทันทีที่นภาก้าวพ้นสะพานเรือออกไป
แป๊บเดียวค่ะ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น รอนิดนะคะคุณ
คำตอบที่ตะโกนกลับมา เป็นการบอกกล่าวแก่คนทั้งหมดมากกว่าจะเจาะจงไปที่ใคร
แต่คนประจำเรือไม่รอ พอปลดห่วงเชือกออกจากหลัก เขาก็กระโดดมายืนเขย่งปลายเท้าบนพื้นที่อันน้อยนิดบนกราบเรือได้อย่างชำนิชำนาญ แล้วเรือที่กำลังพร้อมอยู่แล้วก็ออกตัวไปโดยไม่ใส่ใจกับใครบนฝั่งอีก
พรสวรรค์ได้แต่ตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ไม่อยากจะมองหน้าผู้ร่วมชะตากรรมอีกคน แต่ก็ต้องฝืนใจแหงนขึ้นไปมอง
สีหน้าเย็นชาของปรมัตถ์ ทำให้พรสวรรค์โมโหวิบขึ้นมา หน้าตาอย่างนี้ละที่เธอเกลียดนัก หน้าตาที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างนี้ละ ที่เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด
นี่นายจะไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเลยหรือไง นายปอเต็ก....
*******************
แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 52 11:57:25
| จากคุณ |
:
SONG982
|
| เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ย. 52 11:56:58
|
|
|
|