ชีวิตที่เลือกได้...
|
|
ชีวิตที่เลือกได้..!! ราสส์ กิโลหก
ผมได้รับคำสั่งย้าย ให้มารับราชการในพื้นที่ของอำเภอหนึ่ง ในจังหวัดทางภาคเหนือ พรรคพวกที่อยู่ในพื้นที่ได้หาบ้านเช่าไว้ให้ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว หลังเล็กๆเพราะผมเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียว ทำเลตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 200 ตารางวา ตัวบ้านอยู่ห่างจากตัวที่ว่าการอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถือว่าอยู่ชานเมืองไกลไปหน่อย แต่ส่วนที่ดีคือไม่แออัดอากาศดี เดิมเจ้าของปลูกบ้านไว้ให้ลูกชาย แต่ต่อมาได้แต่งงานแล้วย้ายไปอยู่กับครอบครัวของเมียทางภาคใต้ บ้านจึงว่างไม่มีคนอยู่ เจ้าของเลยเปิดให้คนเช่าเป็นการหารายได้พิเศษ บริเวณรอบๆบ้านมีต้นไม้ใหญ่หลายต้น เหมือนบ้านในชนบททั่วๆไป
หลังจากรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบแล้ว ก็เดินทางเข้าบ้านเช่า สัมภาระผมไม่มีอะไรมาก แค่กระเป๋าเดินทางใบเดียว พรรคพวกจะตามมาส่งที่บ้านผมร้องห้ามบอกวันนี้ขอพักผ่อนก่อน วันหลังค่อยว่ากัน ยังอยู่กันอีกนาน..
จัดข้าวของ ทั้งที่หลับที่นอนจนเข้าที่แล้ว จึงเดินออกมาสำรวจบริเวณรอบๆบ้าน พบว่าทางด้านทิศตะวันตก มีลำห้วยกั้นอยู่ มองข้ามห้วยเข้าไปฝั่งตรงกันข้าม พื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลายหลากชนิด มองเห็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลังบ้านไม้ชั้นเดียว แลดูสงบและร่มรื่น ยังนึกในใจว่าบรรยากาศช่างเหมือนรีสอร์ท ที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้ต้องการชมธรรมชาติมาเช่าพักผ่อน กำลังยืนมองเพลินๆ..
สวัสดีครับ เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ หรือครับ
เป็นเสียงผู้ชายร้องทักมาจากข้างต้นไม้ใหญ่ริมห้วย ผมหันไปมองตามเสียง ชายสูงอายุท่าทางใจดี รูปร่างผอมสูง ผมบนหัวสั้นเกรียน และเป็นสีขาวทั้งหัว ใส่กางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดคอกลม แกกำลังเอากระป๋องตักน้ำจากลำห้วยขึ้นมารดน้ำต้นไม้
ด้วยวัยที่อาวุโสกว่า ผมรีบยกมือทำความเคารพ.
สวัสดี ครับ คุณลุง ผมย้ายมารับราชการที่อำเภอนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ครับ
ยินดีที่รู้จัก ผมชื่อ ชื่น ครับ ! คนแถวนี้จะเรียกผมว่า ครูชื่น เพราะผมเป็นครูเก่า ครูชื่นพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
***********************************
ครูชื่น อายุ 60 เศษๆอาศัยอยู่ในที่ดินของตนเองเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ บริเวณรอบๆแปลงที่ดินมีคลองเล็กๆขนาดกว้าง 5 เมตรลึก 2 เมตร ล้อมรอบพื้นที่เป็นรูปตัวยู เจ้าของขุดเอาไว้เพื่อเป็นเส้นกั้นแนวเขต น้ำในคลองมีตลอดปีไม่มีแห้ง เพราะคลองขุดนี้เชื่อมต่อกับคลองธรรมชาติเส้นหนึ่งที่ไหลผ่านด้านเหนือของแปลงที่ดิน เจ้าของอาศัยน้ำในคลองรดต้นไม้ภายในสวน ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมากมาย ดูมืดครึ้มเหมือนป่าย่อมๆ หากแต่ ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ทำให้แลมองดูร่มรื่น พืชสวนครัว และ สมุนไพรต่างๆก็มีให้เห็น
บ้านพักของครูชื่น เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวกว้าง 8 เมตร ยาว 8 เมตร สภาพดูเก่าแก่แต่แข็งแรง ปลูกสร้างอยู่บริเวณส่วนหน้าของแปลงที่ดิน ใกล้กับถนนที่ตัดผ่านบริเวณด้านหน้า ถัดหลังบ้านไปไม่มากเป็นบ่อน้ำขนาดประมาณ 1 ไร่ น้ำเต็มบ่อใสแจ๋ว จนมองเห็นปลาต่างๆแหวกว่ายอยู่ไปมา ที่ผิวน้ำใบบัวหลายขนาดกางเป็นหย่อมๆเป็นพื้นที่กว้าง เป็ด ห่านหลายตัวยืนไซร้ขน อยู่ตามริมขอบบ่อ หลังหาอาหารกินตามธรรมชาติจนอิ่มท้อง..
***********************************
ตอนเช้าเวลาออกจากบ้านไปทำงาน ผมต้องเดินผ่านบ้านของ ครูชื่น มองเห็นแกทำโน่นทำนี่อยู่ภายในสวน ผ่านไปทีไรจะเห็นแกทำแต่งาน รดน้ำต้นไม้บ้าง เก็บผลไม้บ้าง ท่าทางไม่งุ่มง่ามเหมือนคนที่มีอายุมากๆทั่วไป ดูยังแข็งแรง จนน่าแปลกใจ ที่สำคัญผมมองไม่เห็นว่าแกอยู่กับใครที่ไหน สังเกตมาหลายวัน ยังสงสัยว่าแกไม่มีญาติพี่น้องบ้างหรือไง ?
วันนี้วันเสาร์..เป็นวันหยุด
ผมตื่นแต่เช้า ออกมาเดินสูดอากาศยามเช้าเพราะวันนี้ไม่มีธุระไปไหน เดินทอดน่องไปทางหน้าบ้านครูชื่น เห็นแกยืนอยู่หน้าบ้านในมือถือขันใส่ข้าวรอตักบาตร พระยังไม่ทันมา ผมเลยเดินเข้าไปหา
รอตักบาตร พระหรือครับ ครู ?
ครูชื่นเอาขันวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆที่ตั้งอยู่ข้างๆ..หันมายิ้มอย่างอารมณ์ดี.
ผมปฎิบัติตัวแบบนี้มาหลายสิบปีแล้วครับ การทำบุญทำให้จิตใจผ่องใส
และยังได้บุญเป็นของแถมด้วยครับ
ผมเติมให้ จริงๆแล้วผมไม่ค่อยได้เข้าวัดกับเขาหรอกครับ คงเป็นเพราะกิเลศยังพอกอยู่จนเต็มหัว พูดให้ความเห็นไปอย่างงั้นเอง
เรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นเรื่องจริงนะคุณ ใครทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว แต่มันยังไม่เห็นผลทันที เป็นเหมือนเชื้อโรคที่เริ่มก่อตัวในร่างกาย กว่าจะเห็นผลบางครั้งเป็นสิบๆปี จนลืมไปแล้วว่าได้เคยทำอะไรที่ไม่ดีเอาไว้บ้าง
พระเดินกันมาเป็นแถว 3 องค์จีวรปลิวไสวตามแรงลมยามเช้า แสงแดดอ่อนๆกระทบจีวรขับให้สีเหลืองดูเจิดจ้า เป็นภาพที่มองดูไม่เบื่อตาจริงๆ ท่านเดินก้มหน้าอุ้มบาตร มีเด็กลูกศิษย์ตัวเปี๊ยกๆถือปีนโตต่อท้ายแถว.
ครูชื่นเดินไปหยิบขันใส่ข้าวสำหรับตักบาตรด้วยความเคยชิน แกถอดรองเท้าเหลือแต่เท้าเปล่า ยืนรอพระด้วยอาการสงบเสงี่ยม จนการตักบาตรเสร็จสิ้น..ผมเห็นสีหน้าและแววตาของชายชราดูสดชื่นเหมือนได้รับยาขนานเอก..
ก่อนจะเข้าบ้านแกมองมาที่ผมยืนอยู่ ..
ถ้าไม่มีธุระที่ไหน ? เข้าบ้านผม ไปกินกาแฟสักถ้วย ก่อนดี มั้ย !
ครับๆๆๆ ขอบคุณครับ
************************************ โต๊ะและม้านั่งหินอ่อน วางเรียงเข้าชุดกัน อยู่ใต้ซุ้มเรือนไม้บริเวณข้างบ่อน้ำ ต้นกระดังงาเลื้อยขึ้นจนเต็มเรือนไม้ ดอกเป็นกลีบเหมือนสามง่ามผุดขึ้นจนลานตา กลิ่นของดอกหอมจนฉุน ลมเย็นพัดผ่านผิวน้ำ มากระทบใบหน้าและลำตัว มีความรู้สึกสดชื่นจนบอกไม่ถูก ..
กาแฟ มาแล้วครับ ผมต้องกินทุกเช้า ติดมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ แกวางถ้วยกาแฟที่โต๊ะหินอ่อน ตรงหน้าผม อีกถ้วยถืออยู่ในมือ พร้อมหย่อนก้นนั่งลง ด้านตรงกันข้าม.
กาแฟ หอม ดีจริงๆ ครับ ผมยกถ้วยกาแฟ ซดเข้าปากดังโฮกๆ .
ครูชื่น นั่งท่าสบายๆยกถ้วยกาแฟจ่อที่ปาก ทั้งที่ควันในถ้วยลอยกรุ่นด้วยความร้อน แกคงกินมาจนชิน..จิบกาแฟแล้ว วางถ้วยบนโต๊ะหินอ่อน พลางจ้องหน้าผม..
ขอโทษ นะ คุณเป็นคน ทางจังหวัดไหน แล้วเป็นไงมาไงถึง ย้ายมาที่อำเภอนี้
ผมตอบชื่อจังหวัดหนึ่งทางภาคกลาง พร้อมกับบอกว่าที่ย้ายมาที่นี่ ไม่ใช่ขอมาแต่ผมสอบเลื่อนขั้นได้ ทางการจึงส่งมายังจังหวัดที่มีตำแหน่งว่าง ยังดีที่ได้มาทางเหนือ มีบางคนสอบได้แต่ต้องย้ายไปจังหวัดไกลๆ จนต้องหาแผนที่มากางดู เล่นเอาฝันร้ายไปหลายเดือนกว่าจะปรับตัวได้..
ครูคงเป็นคนที่นี่ มั๊ง ครับ !
ครูชื่นเอามือคลึงอยู่ที่ถ้วยกาแฟ..
ผมเป็นคนทางภาคอีสาน สอบบรรจุครูครั้งแรกที่จังหวัดนี้ และไม่เคยย้ายออกไปที่ไหน อยู่ที่พื้นที่นี้ จนกระทั่งเกษียณ รวมเวลาอยู่ที่นี่เกือบ 40 ปี
อ้อ ! แล้วครอบครัวครูไปไหนกันหมด ผมมาอยู่ที่นี่เกือบเดือนแล้ว เห็นครูอาศัยอยู่คนเดียว หรือพวกลูกๆไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯกันหมด ไม่รู้เป็นบาปหรือเปล่า ? ผมนึกเอาเองว่าเมียแกคงตายจากไปแล้ว
ครูชื่นทำหน้ายิ้มๆ เหมือนเห็นคำถามของผมเป็นเรื่องธรรมดา..
ผมไม่มีใครทั้งนั้น ไม่ว่าลูกหรือเมีย ผมไม่มีครอบครัว ไม่เคยแต่งงาน ครูยกกาแฟร้อนๆกินอีก.
หมายถึง ครูเป็นโสดหรือครับ ? ผมนึกไปถึงพวกตุ๊ดแก่ๆ ชักใจคอไม่ดี
ทั้งโสดทั้ง ซิง ผมอยู่คนเดียวมาตลอด ตั้งแต่จำความได้ ดวงตาของครูเริ่มเหม่อลอย
หมายถึงอะไรครับตั้งแต่จำความได้
ก็หมายความว่า ผมไม่มีพ่อ -แม่หรือญาติพี่น้องที่ไหน ผมเป็นเด็กกำพร้ามีพระที่วัดแห่งหนึ่ง เก็บเอามาเลี้ยง ผมคงเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ แกพูดติดตลก แต่ผมไม่ได้ตลกไปกับแก คิดว่าชีวิตครูชื่นมีอะไรให้สนใจมากที่เดียว
ครูเก่งนะครับ อยู่คนเดียว
ใจของผมมันด้านชา ผมคงเกิดมาแค่รอความตาย การใช้ชีวิตที่ผ่านมา ผมระวังตัวเองที่จะไม่ผูกพันกับใคร จะได้ไม่ต้องไปห่วงใคร ผมพยายามขีดความรับผิดชอบต่างๆให้จำกัดอยู่ในวงแคบให้มากที่สุด ผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว ในด้านสังคมผมก็สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ เพียงแต่ผมต้องการแค่การใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นอายุไข ผมสบายใจที่ไม่ต้องไปรับผิดชอบกับใครๆ เพราะผมไม่มีญาติหรือใครทั้งนั้น พระที่เลี้ยงผมมาก็ มรณภาพไปแล้ว ครูชื่นพูดไปเรื่อยๆไม่มีติดขัดคงเป็นคำที่ออกมาจากใจแท้ๆ
ผมนึกถึงพวกที่อาศัยอยู่ตามป่า ใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยว เบื่อสังคมเบื่อผู้คน มองโลกในแง่ร้าย หรือครูชื่น อกหักมาก่อน
ครูคงมีความหลังเกี่ยวกับเรื่องความรัก ความจริงผมไม่อยากพูด แต่อดคันปากไม่ได้
ครูมองหน้าผม เหมือนคำถามเป็นเรื่องตลก
คนอย่างผมไม่เคยผูกพันกับความรัก ความรักไม่มีความสำคัญสำหรับผม พ่อ-แม่ ผมก็ไม่รู้จัก ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเรียกใครว่า พ่อ-แม่ มันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในตัวตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยร่ำร้องเรียกหาผู้ให้กำเนิด ไม่รู้จะเจอไปทำไม ? น้ำเสียงและท่าทางไม่บ่งบอกถึงความน้อยใจ แกคงเป็นอย่างที่พูดจริงๆ
ความรู้สึกของครู เป็นเรื่องที่แปลกมากๆครับ ผมนึกในใจว่าแกจะมีความสุขหรือความทุกข์กันแน่ ในการที่ทำตัวแบบนี้
ครูชื่นยกกาแฟที่เหลือก้นถ้วย ซดเข้าปาก ท่าทางแกยังเหมือนเดิม
คุณเคยเห็นคนแก่ๆที่ได้ทราบข่าวร้ายๆของพวกลูกหลานหรือคนในครอบครัวบ้างไหม ? เดี๋ยวตาย เดียวมีคดีต้องติดคุกติดตะราง เดี๋ยวอ้ายนั่นอ้ายนี่ มีแต่เรื่องสารพัด ทำไมเราต้องไปผูกพันแบบนั้น มันเป็นความทุกข์ที่เราไม่ได้สร้าง รถโดยสารชนกัน ตายกันเป็นสิบ ตรวจรายชื่อพอเป็นญาติเป็นพี่น้องหรือลูกหลาน ก็เกิดการเศร้าโศกเสียใจ แต่พอเป็นคนที่เราไม่รู้จักเราจะรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นเพราะเรามีความผูกพันกับคนที่ได้รับเคราะห์กรรมเหล่านั้น สู้อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ต้องเผื่อใจให้ใคร ใครจะเป็นจะตายก็ไม่ปั่นทอนจิตใจของเรา
ลมเย็นพัดผ่านผิวน้ำเป็นละลอก กลิ่นกระดังงาหอมฉุนแต่ก็ชื่นใจ บรรยากาศช่างเป็นใจจริงๆผมแลมองด้วยความเพลิดเพลิน หูของผมไม่ได้เสียงครูชื่นอีกไม่รู้ว่าแกพูดอะไรออกมาบ้าง หูของผมอื้อ ตาผมกำลังเหม่อลอย ความคิดล่องลอยไปถึงอนาคตอีก 30-40 ปีข้างหน้า ผมคิดว่าผมอยากจะเป็นอย่างครูชื่นหรือเปล่า ? .....
จากคุณ |
:
สวนดอก
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ก.ย. 52 19:00:21
|
|
|
|