((((อาถรรพ์ป่าดิบ)))) ภาคพิเศ๋ษ
|
|
บทที่1 ตอนเหล็กไหล ถ้ำมรณะ อากาศยามเช้าของฤดูหนาววันนี้ มันช่างหนาวเย็นยะเยือกทะลวงไปจับขั้วหัวใจ ละอองหมอกสีขาวนวลปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน ที่ลานบ้านของผมมีพ่อแม่เพื่อน ๆ และเพื่อนบ้านอีกหลายคน มานั่งล้อมกองไฟเพื่อเอาความอบอุ่น แม้เดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบเขาขึ้นมามากแล้ว ความหนาวเหน็บในปีนั้นก็ดูจะยังไม่สร่างซาลง กลิ่นจากกระบอกข้าวหลามที่ตั้งเผาอิงอยู่ข้างกองไฟ ส่งกลิ่นหอมยวนยั่วน้ำย่อยในกระเพาะให้ไหลออกมา กลิ่นข้าวหลามเผาทำให้ผมหวนคิดไปถึงเรื่องราวอาถรรพ์มรณะ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำใหญ่แห่งภูเขาควาย ที่ยืนทะมึนเสียดฟ้าท้าแดด ท้าลม ท้าหนาว ท้าฝน ท้าแล้ง มานานนับพัน ๆ ปี อยู่ ณ แดนดินถิ่นล้านช้างโพ้น ซึ่งมองจากหมู่บ้านของผมไปเห็นชัดเจนเหมือนมันอยู่ที่ชายหมู่บ้านนี้เอง ภาพเหตุการณ์เรื่องราวอาถรรพ์ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง มันผุดขึ้นมาชัดเจนในมโนสำนึกของผม สามเณรอายุประมาณสัก 18 ปีเนื้อตัวมอมแมม ตามใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยคราบเหงื่อ ตามผ้าจีวรที่ห่มกายยับยู่ยี้ไม่เป็นระเบียบนั้น เต็มไปด้วยคราบด่างดวงของเลือดมนุษย์ ในมือทั้งสองของเณรน้อยถือห่อผ้าจีวรขาดๆ มาสองห่อ หน่อเนื้อเชื้อศาสนามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นัยตาทั้งสองเหมือนคนสติไม่สมบูรณ์มันเหม่อลอยและหวาดหวั่น ท่านเดินโซซัดโซเซมาจากทิศทางของภูเขาควาย ภูเขาที่ผู้คนทั้งหลายเลื่องลือถึงเรื่องอาถรรพ์ดิบทั้งหลาย เอ้า.นั่นเณรน้อยเจ้าไปไหนมานะ และในมือของเจ้ามันห่ออีหยัง (ห่ออะไร) ละหือ? พระที่ดูมีอายุมากกว่าเอ่ยทักถามเณรน้อย ที่กำลังเดินกระหืดกระหอบก้มหน้าก้มตา แทบจะเดินชนกับคณะพระธุดงค์สามรูปที่กำลังเดินสวนทางมุ่งหน้า ไปยังทิศทางเดียวกันกับที่เณรน้อยกำลังเดินจากมา ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยพลังแห่งเมตตา ทำให้เชื้อพระศาสนาตัวน้อยหยุดชะงัก โอ...หลวงพ่อขอรับ ชะ..ช่วยผมด้วย สามเณรผู้มีใบหน้าซีดเผือดเหมือนเพิ่งได้สติ พูดละล่ำลักพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง ไหน..ๆ ค่อย ๆ ตั้งสติให้ดีสิ๊ลูกเณร เจ้าจะให้พวกหลวงพ่อเนี้ย ช่วยอะไรเจ้า เจ้ามาจากไหน และ เป็นอะไรกันแน่ ดูท่าทางเจ้าจะตกใจเอามาก ๆ เลยทีเดียว นักรบแห่งกองทัพธรรมที่มีอายุอ่อนกว่าองค์แรก เอ่ยถามเณรน้อย ต่างรอฟังคำตอบที่ดูว่าน่าจะมีอะไรที่นำความตื่นตระหนกตกใจมาสู่สามเณรแน่ เป็นไปตามความคาดคิดจริง ๆ เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวค่อย ๆ ไหลพรั่งพรูออกจากปากอันสั่นระริกของลูกเณร เอาละ ๆ เณรน้อยเอ๋ย เจ้าหายกลัวได้แล้วเน้อ ตอนนี้เจ้านะ กำลังอยู่ต่อหน้าเฮาหลวงพ่อเสาร์ หลวงพ่อมั่น หลวงพ่อสิงห์ แล้ว เจ้าฮู้จักหลวงพ่อทั้งสามมั๊ยละหื้อ ? จบคำปลอบประโลมและแนะนำตัว หน้า 3 ของพระผู้เป็นหัวหน้าและยังเป็นพระอาจารย์ของพระอีกสององค์ เณรน้อยก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมใจ อาการหวาดกลัวและตื่นตระหนกเหมือนคนจะเป็นบ้าเมื่อสักครู่ ได้มลายหายเป็นปลิดทิ้ง หน่อเนื้อเชื้อพระพุทโธยิ้มทั้งน้ำตา ก้มลงกราบแทบเท้าพระอริยะเจ้าทั้งสามอย่างไม่ต้องคิดอะไรอีก เออนี้ เจ้าเณรน้อย เจ้ายังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่า ในห่อผ้านั้นนะมันคืออะไร หือ? มันคือเศษผ้าจีวร เศษรองเท้า และก็ใบสุทธิของหลวงพี่ทั้งห้าองค์ที่มรณะไปแล้วนั่นแหละขอรับ ผมกำลังจะเอาไปให้ญาติโยมของท่านเพื่อเป็นหลักฐานขอรับหลวงพ่อ อืม..เอายังงี้ หนทางที่เจ้ากำลังจะเดินต่อไปข้างหน้านั้นมันยังอีกไกลนา เจ้าซ่อนห่อผ้าเอาไว้แถวนี้ก่อนเถอะนะ แล้วเจ้าก็นำทางหลวงพ่อกลับไปที่ถ้ำเหล็กไหลอีกครั้งก่อน สามเณรน้อยมีอาการหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้น แต่เมื่อถูกปลอบใจก็คลายความหวาดหวั่นลง แล้วออกเดินนำทางคณะอริยะธุดงค์ตามคำสั่งของหลวงปู่เสาร์ผู้เป็นหัวหน้าคณะ เหตุผลทราบภายหลังว่า ถ้าให้เณรน้อยกลับบ้านเพียงลำพังจะตายด้วยเป็นเหยื่อของเสือร้าย ให้เดินตามหลังก็มีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน และครูบาอาจารย์ทั้งสามก็เล็งแลเห็นด้วยอนาคะตังสะญาณว่า เฌรตัวน้อยๆ รูปนี้จะเป็นขุนศึกแห่งกองทัพธรรมอีกรูปหนึ่งในโลกพระบวรพุทธศาสนา
สู่แดนอาถรรพ์ คืนนั้นสี่เชื้อพุทธวงศ์ต้องปักกลดค้างคืนที่ท้ายหมู่บ้านป่าที่อยู่ระหว่างหนทาง หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ ก็รีบออกเดินทางด้วยหนทางข้างหน้านั้นต้องป่ายปีนเขาเป็นช่วงๆ และเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยตัวทาก ขวากหนามต้นไม้น้อยใหญ่เครือเขาเถาวัลย์อันหนาทึบ ขุนเขาทะมึนที่ยืนตระหง่านเสียดฟ้าอยู่เบื้องหน้านั้น มองดูด้วยสายตาเปล่ามันเหมือนอยู่ห่างเพียงชั่วไก่บินตก แต่ความจริงแล้วต้องใช้เวลาในการเดินทางนับจากหมู่บ้านนี้ไป และในช่วงเพลาดวงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นเหลี่ยมเขาเพียงไม่กี่อึดใจ จะถึงจุดหมายปลายทางอย่างเร็วก็ช่วงก่อนเพลนิดหน่อย สี่หน่อพุทธางกูร มาถึงจุดหมายปลายทางตอนตะวันตรงศีรษะพอดี ช้ากว่าคาดคะเนหนทางด้วยสายตา ภาพเหตุการณ์ที่พรั่งพรูออกจากปากของสามเณรน้อยเมื่อวานนี้ ได้ปรากฏชัดขึ้นในทิพย์จักขุของสามหน่ออริยะเจ้า พระหนุ่มวัยประมาณ สัก 30 เศษ ๆ ถึง 40 ปี จำนวน 5 รูป กำลังเดินออกจากถ้ำ เสียงสวดมนต์บทพุทธคุณต่าง ๆ สลับกับสวดคาถาภาษาแปลก ๆ ดังก้องกังวานสะท้านป่า พระรูปที่เดินนำหน้าในมือถือขันบรรจุน้ำผึ้งป่า ปากก็สวดคาถาไปด้วย รูปที่สอง ถือมีดหมอยาวประมาณเกือบศอกขาววาววับเมื่อต้องแสงวตะวันยามใกล้เที่ยง อีกสามรูปที่เดินตามหลังก็พนมมือสวดพุทธมนต์และคาถาเสียงก้องกังวานสะท้อนหุบเขา ฟังแล้วชวนขนพองสยองเกล้า แต่สิ่งที่น่าตื่นตะลึงและน่าขนพองยิ่งกว่าก็คือ สายแร่เหล็กสีดำ หน้า 4 ปนเขียวปีกแมลงทับมันแวววาวพราวพรายระยับยามต้องแสงตะวัน ที่สาดแสงส่องลอดกิ่งไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนา แน่นอยู่ที่บริเวณปากถ้ำ มันยืดตัวออกมาจากถ้ำตามดูดกินน้ำผึ้งในขันที่พระถืออยู่ในมือ มันมีลักษณะลำตัวกลมเกลี้ยงเหมือนลำตัวของอสรพิษยักษ์ที่มีขนาดลำตัวเท่ากับต้นตาลต้นใหญ่ที่สุด แต่ไม่มีสีสันอื่นๆ เหมือนงู มันไม่มีลูกนัยน์ตาแต่มันสามารถยืดตัวตามแหล่งอาหาร ที่พระผู้ปรารถนาในตัวของมันถือเดินล่อออกมาจากในถ้ำได้อย่างไร น่าแปลกประหลาดนัก หัวของมันจุ่มลงในขันน้ำผึ้งเหยื่อล่อโดยไม่ยอมถอน สมดังพุทธภาษิตที่ว่า ผู้ที่ตกเป็นทาสของความอยาก ย่อมพินาศทั้งในโลกนี้แหละโลกหน้า พระจอมขมังเวทย์ทั้งห้า เดินออกห่างจากปากถ้ำราว ๆ สัก 30 วา ก็เดินวนรอบต้นไม้ใหญ่ขนาด 5 คนโอบต้นหนึ่ง เดินวนอยู่หลายรอบ สายแร่เหล็กอาถรรพ์ที่หลงใหลในรสชาติอันโอขะของน้ำผึ้งป่า ได้พันโอบรอบต้นไม้ใหญ่นั้น ดั่งพญางูเหลือมยักษ์กำลังพันรอบรัดเหยื่อตัวมหึมาฉะนั้นแล เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ภิกษุผู้เรืองเวทย์ทั้งห้าก็หยุดเดิน เพื่อกระทำสุดยอดพิธีช่วงสุดท้ายให้เสร็จทันฉันเพล มุมหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดประกอบพิธีกรรมอาถรรพ์ประมาณสัก 20 วา เณรน้อยรูปหนึ่งกำลังนั่งเผาข้าวหลามตามคำบัญชาของพระอาจารย์ทั้งห้า ข้าวหลามที่อิงผิงเปลวไฟอยู่ขณะนี้มันคืออาหารมื้อเพลในวันนี้ เณรน้อยเบิกตาโพลงตะลึงค้างเป็นเวลาหลายนาทีแล้ว ตั้งแต่กลุ่มหลวงพ่อหลวงพี่เดินสวดมนต์สวดคาถาพาสายเหล็กสีดำมะเมื่อมออกมาจากถ้ำ ขนาดไฟโหมลุกไหม้กระบอกข้าวหลามที่กำลังหอมกรุ่นกำลังได้ที่ดีแล้ว เจ้าเณรก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย ก็ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเพียงชั่วไม่กี่วาชีวิตทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่สามารถจะหาดูได้ที่ไหนแน่นอน มันน่าตื่นเต้นน่าสะพรึงกลัว น่าขนพองสยองเกล้าเกินจะคณาได้
เหล็กกายสิทธิ์ เปรี้ยง.....เฟี้ยว....บึ้ม สวบ.....สามเณรผู้ทำหน้าที่เตรียมภัตตาหารเพล เกิดอาการช๊อค ตาค้างเติ่ง สติเตลิดเปิดเปิงหายไปในบัดเดี๋ยวนั้น ฉับพลัน..เมื่อพระรูปที่สองผู้รับหน้าที่ตัดเหล็กอาถรรพ์ เงื้อมีดลงอาคมวาววับที่เตรียมมายกขึ้นสุดแขน แล้วฟันฉับลงไปที่ลำตัวของสายแร่เหล็กผีสิงนั้น หวังให้ขาดสะบั้นด้วยมีดเดียว และสายแร่เหล็กมหัศจรรย์ที่พันรอบอยู่ที่ต้นไม้นี้ มีน้ำหนักนับหลายร้อยกิโล หากนำออกไปแลกเป็นเงินแล้วคงจะเป็นจำนวนเงินนับแสนล้านเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติของมันใคร ๆ ก็แสวงหาอยากได้ไว้ครอบครอง เมื่อคมมีดอาคมกระทบกับลำตัวของเหล็กกายสิทธิ์ พลันก็เกิดเสียงกัมปนาทสะท้านไปทั่วขุนเขาอันสลับซับซ้อน สะท้อนสะเทือนเหมือนเทือกภูเขาที่ยืนทะมึนซับซ้อนนั้นจะถล่มทะลายเป็นจุนมหาจุน ก่อนที่สติของเณรน้อยผู้เป็นอุปัฏฐากเหล่าภิกษุจอมเวทมนต์จะเตลิดเปิดเปิง ได้มองเห็นแสงสีประหลาดปรากฏเจิดจ้า หน้า 5 ไปทั่วผืนป่าทึบ มันฟาดเปรี้ยงลงมายังจุดกระทำพิธีนั้น มันเหมือนสายฟ้าขนาดยักษ์ฟาดลงมาจากเบื้องบนนภากาศ ฝุ่นผงสีขาวขุ่นปนสีแดงฉานปลิวคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ สิ้นเสียงแผดก้องกัมปนาทนั้นสิ่งที่เห็นเต็มตา ทำให้เณรน้อยผู้อุปัฎฐากเกือบจะเป็นบ้าตาย เศษเนื้อ เศษจีวรกระจัดกระจาย และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นและอีกมากมายที่ขึ้นหนาแน่นอยู่บริเวณหน้าถ้ำใหญ่นั้น กลับไม่มีอันตรายใดๆ ทุกต้นยังยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เสียงระเบิดกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านป่าไม่ผิดอะไรกับเสียงระเบิดนับหมื่นๆ ตัน ในมหาสงครามโลกที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบินเพื่อถล่มทลายมวลมนุษย์ด้วยกัน มีแต่หยดเลือดสดๆ ที่สาดกระจายตามพื้นดินและบนต้นไม้ เลือดสดๆ ของห้าภิกษุผู้ละโมบไหลรินหยดติ๋งๆ ลงมาจากใบไม้อาบนองพื้นแม่พระธรณี เศษเนื้อติดมันและเลือดสด ตับไตไส้ปอดกระจุยกระจายห้อยต่องแต่งอยู่ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ เสียงดัง..สวบ..เฟี้ยว...กังวานสะท้านถ้ำนั้นคือเสียงหดตัวกลับเข้าสู่คูหาถ้ำของสายแร่เหล็กจอมมรณะนั้นเอง สามเหล่ากอหน่อพุทธวงศ์ผู้สำเร็จแล้วซึ้ง วิชาสาม วิชาว่าด้วย หูทิพย์ ตาทิพย์และ วิชารู้ใจผู้อื่น ได้ยกมือพนมขึ้นพร้อมกัน เพื่อสวดมนต์บทพระธัมมะสังคินี หรือพระอภิธรรมเจ็ดบท แล้วปิดท้ายด้วยบังสุกุล และอุทิศบุญส่งดวงวิญญาณห้าภิกษุ ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นผีเปรตเดินวนเวียนด้วยความทุกข์เวทนา อยู่ตรงสถานที่แห่งนั้นเอง ไปสู่สุคติโลกสวรรค์เถิด เจ้าผีเปรตผู้ละโมบเอย พวกเราขออุทิศบุญให้ จงพากันอนุโมทนาเอาเถิด พวกเราขอปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากความเป็นผีเปรต ณ บัดนี้ สิ้นเสียงสวดมนต์ และคำแผ่เมตตาของสามอริยะ ก็เกิดลมผันผวนหมุนขึ้นมาในบัดดลนั้น ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น พัดสะบัดใบและโยกต้นไปมาจนเกิดเสียงเสียดสีกัน ฟังเป็นเสียงหวีดหวิวโหยหวนคล้ายเสียงของผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกขเวทนาอันแสนสาหัส แล้วพลันก็เปลี่ยนเป็นเสียงระเริงคล้ายเสียงของคนที่เพิ่งพ้นจากความทุกข์อันแสบร้อน แล้วพลันได้พบกับความสุขอันน่าพึงใจที่สู้เฝ้ารอคอยมาแสนนาน เพียงชั่วไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เข้าสู่สภาวะปกติ กลิ่นดอกไม้ป่าในฤดูเหมันต์ที่ขึ้นดาษดื่นหลากสีหลากสายพันธุ์มีมากมาย โชยกลิ่นหอมกรุ่นเคลียเคล้ามากับสายลมอ่อนยามตะวันบ่าย ทั่วบริเวณกลางหมู่ขุนเขาอันสูงชันและลึกลับซับซ้อน อากาศช่างปลอดโปร่งบริสุทธิ์ดีเหลือเกิน เสียงวิหคนกป่านาๆ ชนิด ร้องประสานเสียง กิ่งไม้โยกไปมาใบเสียดสีกันยามต้องสายลมฟังแล้วแสนไพเราะดุจเสียงดุริยางค์แห่งแมนสรวง บางครั้งก็ฟังคล้ายเสียงของหมู่มนุษย์มากมายพูดคุยกันทักทายกัน ระหว่างมาคอยต้อนรับแขกพิเศษสุดที่มาจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อให้สิ่งของที่มีค่าที่สุดที่พวกตนอยากได้และเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน ตัดเหล็กไหล หลังจากบอกกล่าวเหล่าเทพาอารักษ์ที่ปกปักรักษาถ้ำอาถรรพ์เสร็จแล้ว พระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นอาจารย์
จากคุณ |
:
นคร พนมรุ้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.ย. 52 17:42:42
|
|
|
|