อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ : ซ่อน
|
|
อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ 13ซ่อน
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการจัดกิจกรรมวันแรงงานเมื่อหลายปีมาแล้ว ในครั้งนั้นมีการลงคะแนนเสียงในหมู่ตัวแทนพนักงานว่าจะเดินทางไปพักผ่อนที่ทะเลเป็นระยะเวลาสองวันหนึ่งคืน ส่วนเรื่องสถานที่นั้นผมเองจำไม่ได้เสียแล้วว่าอยู่ที่ไหนจังหวัดอะไร
เมื่อวันออกเดินทางมาถึงและผู้ร่วมเดินทางประมาณสามร้อยคนมากันพร้อมเพรียงแล้ว ขบวนรถก็เริ่มเคลื่อนที่ออกจากโรงงานโดยที่ระหว่างการเดินทางนั้นก็จะมีการแวะไปยังสถานที่ต่างๆ ตามรายทาง ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยความสนุกสนานดังเช่นปีก่อน
เวลาสี่โมงเย็น อากาศกำลังสบาย แดดร่มลมตก พวกเราก็เดินทางมาถึงที่หมาย ผมและผู้ร่วมห้องรวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของยังห้องพักของตัวเองก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันทำกิจกรรมที่ชายหาดกันอีกหนหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
ระหว่างที่พวกผมกำลังจะเดินไปทำกิจกรรมที่ชายหาดก็แวะคุยกับเพื่อร่วมคณะบางคนที่ผมเห็นว่ายังคงยืนรออยู่หน้าห้อง ไม่ได้เข้าไปเก็บข้าวของเหมือนห้องอื่นๆ
ห้องมันยังไม่ได้ทำความสะอาดเลย สกปรกมาก เข้าไม่ได้ เนี่ยให้แม่บ้านทำให้อยู่
ตอนนั้นได้ฟังก็รู้สึกแปลกเหมือนกันที่ทางรีสอร์ทรู้ว่าจะมีแขกเข้ามาพักแต่ก็ไม่ได้จัดการเรื่องการทำความสะอาดแต่อย่างใดสำหรับบางห้อง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะก็เข้าใจว่าบางทีเค้าอาจจะทำไม่ทันก็ได้
ระหว่างที่กำลังเดินไปชายหาดนั้น ผมสังเกตเห็นว่าบริเวณรีสอร์ทที่เรามาพักในคืนนี้มีอาณาบริเวณที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ทีเดียว
พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นสนามหญ้าที่แซมไปด้วยไม้น้อยใหญ่จำนวนหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาเย็นเช่นนี้ก็ถือได้ว่าร่มรื่นพอสมควร ส่วนห้องพักที่นี่จะมีลักษณะเป็นหลายรูปแบบด้วยกัน คือมีทั้งที่เป็นแบบบ้านเดี่ยวชั้นเดียว สองชั้น หรือแม้กระทั่งที่มีลักษณะแบบหอพักหรือคอนโดเหมือนห้องที่ผมพักอยู่
หากให้เดาผมคิดว่าแขกที่นี่ไม่มากเท่าไหร่ เพราะหลายๆ ห้องที่พวกผมเดินผ่านหรือแม้แต่ห้องที่พวกผมจะต้องอาศัยหลับนอนกันในคืนนี้ดูเหมือนกับจะไม่มีผู้มาพักอาศัยกันนานมากแล้ว คือห้องจะสกปรกและมีกลิ่นเหม็นอับค่อนข้างรุนแรง
บ้านหลายหลังที่เดินผ่านมาก็ดูเหมือนกับว่ามันขาดการทำนุบำรุงรักษามานานแล้ว บางหลังก็หลังคาผุ บางหลังก็สีหลุดร่อนจนน่าเกลียด บางหลังถึงขนาดที่ผมคิดว่าถ้ามีใครเลือกอยู่ห้องนี้ก็คงแปลกเต็มที
หลังเล่นกิจกรรมที่ชายหาดก็จะมีเวลาว่างประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนงานเลี้ยงในช่วงกลางคืน ซึ่งสถานที่จัดเลี้ยงอยู่ริมทะเล ดังนั้นบรรยากาศในงานเลี้ยงจึงค่อนข้างน่ารื่นรมทีเดียว แต่พองานเพิ่งจะเริ่มลมเย็นกรรโชกก็หอบเอาฝนห่าใหญ่มาด้วย ทำเอาพวกเราต้องยกโต๊ะหนีฝนกันแทบไม่ทัน
ถึงแม้จะขลุกขลักอยู่บ้างแต่งานเลี้ยงก็ยังคงสนุกสนาน และแน่นอนว่าขึ้นชื่อว่างานเลี้ยงก็ย่อมต้องมีของมึนเมาเป็นธรรมดา ซึ่งนั่นก็ทำให้พอยิ่งดึกมากขึ้นงานเลี้ยงก็ยิ่งมีสีสัน แต่ละคนยิ้มแย้มกันหน้าชื่นตาบานทั้งจากความสนุก และจากฤทธิ์ของสิ่งที่ดื่มเข้าไป
เมื่อเวลาอันสมควรมาถึงการแสดงดนตรีบนเวทีก็ปิดม่านลง แสงสว่างจะหลอดฟลูออเรซเซนพร้อมใจกันติดขึ้นแทนไฟหลากสีบนเวที บางคนที่เริ่มง่วงหรือมีกิจกรรมอื่นๆ ก็เริ่มเดินกลับห้องพัก หลายคนยังคงอยู่กินข้าวต้มรอบดึก
และในเวลาที่ผู้คนเริ่มบางตาแล้วนั่นเองจึงมีผู้เริ่มสังเกตความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น เพื่อนของเราคนหนึ่งในคณะทัวร์หายไปจากงานเลี้ยง
ผมไม่ได้รู้จักสนิทชิดเชื้อกับแกเป็นการส่วนตัว กะเอาจากสายตาคาดว่าอายุแกน่าจะสักสี่สิบห้าปี ข่าวที่ผมได้รับมาก่อนหน้านี้คือแกเป็นคนที่ดื่มหนักมาแต่ไหนแต่ไร และในช่วงพักหลังๆ เวลาแกเมาก็มักจะทำอะไรเพี้ยนๆ และออกจะแสดงอาการป้ำๆ เป๋อๆ ออกมาให้เห็น
และด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้เองทำให้พวกเราหลายคนเป็นห่วงเพราะกลัวว่าแกอาจจะไปทำอะไรที่ไหนแล้วพลาดท่าเกิดอันตรายได้
พวกเราใช้เวลาค้นหาอยู่ประมาณกว่าหนึ่งชั่วโมงจนคิดว่าทั่วบริเวณรีสอร์ทแล้วก็ยังไม่พบวี่แววของแกแม้แต่น้อย ทางสุดท้ายที่พวกเราพอจะนึกออกคือการถามพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางรีสอร์ทซึ่งประจำอยู่ที่ประตูทางเข้าออกนั่นเอง
พี่คะ เห็นคนเดินมาแถวนี้มั้ยคะ
มีคนนึงครับ ช่วงประมาณสามทุ่มกว่าๆ คนที่หน้าตา
รูปร่าง
ทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจากรีสอร์ท ผมก็เลยถามว่าเค้าจะไปไหน เค้าก็บอกว่าเค้าจะกลับบ้าน
พนักงานรักษาความปลอดภัยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวให้ฟัง พวกเราเองเริ่มใจคอไม่ดีกันถ้วนหน้า
ผมเลยถามเค้าไปว่าบ้านพี่อยู่ไหน เค้าก็บอกว่าอยู่ที่
(ซึ่งถูกต้องตามที่เค้าบอกทุกประการครับ) ผมเห็นว่ายังคุยกันรู้เรื่องก็เลยปล่อยให้เค้าไป
ออกไปตั้งแต่สามทุ่ม งั้นตอนนี้ก็สองชั่วโมงแล้ว แล้วเค้าไปยังไงคะ
เดินไปครับ เนี่ยไปตามทางเนี้ย
พนักงานรักษาความปลอดภัยกล่าวพร้อมชี้มือไปทางที่ถูกโอบล้อมไปด้วยความมืดมิด และเมื่อได้ยินดังนั้นพวกเราจึงจัดรถออกตระเวนตามเส้นทาง
ในบริเวณนั้นเป็นถนนใหญ่ตลอดเส้นไม่มีซอกซอยเลยแม้แต่ซอยเดียวแต่จนแล้วจนรอดพวกเราก็หาเค้าไม่พบ
ในคืนนั้นทุกคนจึงได้แต่หวังว่าแกอาจจะไปนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพราะฝนที่ตกตลอดคืนแบบนี้คงจะทำให้แกเดินไปไหนไม่ได้ไกลนัก
เช้าวันถัดมามีการออกตามหากันอีกรอบแต่ก็ยังไม่มีใครพบตัวแกจนถึงเวลาที่พวกเราต้องเดินทางกลับ โทรศัพท์มือถือที่แกมีก็ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ขากลับเกิดเสียงโจษจันกันไปต่างๆ นานา แต่กระนั้นบรรยากาศบนรถก็เงียบหงอยไปพอสมควรทีเดียว
จบจนเวลาก่อนเที่ยงเล็กน้อยเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นที่จู่ๆ เบอร์โทรศัพท์ของแกก็แสดงขึ้นที่เครื่องๆ หนึ่งของคนบนรถ แกบอกมาจากปลายสายว่าตอนนี้กำลังนั่งรถจักรยานยนต์ตามขบวนของเรามา
และหลังจากอาหารมื้อเที่ยงไปแล้วแกก็มาปรากฏตัวให้พวกเราเห็นจริงๆ พวกเราเข้าไปถามแกว่าไปไหนมาแล้วไปทำอะไร สิ่งที่แกเล่าทำเอาผมจำไม่ลืมเลยทีเดียว
แกเล่าว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาขณะที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไปด้วยความสนุกสนานนั่นเอง แกเกิดปวดท้องก็เลยเดินออกมาเข้าห้องน้ำ และพอทำธุระส่วนตัวเสร็จกำลังจะกลับเข้างานเลี้ยงแกก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง
แกเล่าต่อว่าผู้หญิงคนนั้นชวนแกไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ตั้งหลายที่จนแกคิดว่ามานานพอดูแล้ว จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยปากว่าจะให้แกไปอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นแกก็ตกปากรับคำไปเรียบร้อย และหลังจากนั้นแกก็วูบไปจำอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งสิบโมงเช้ากว่าๆ นี่ล่ะที่แกมารู้สึกตัวอีกที
พอตื่นมาแกก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่ใต้ศาลพระภูมิในอาณาเขตของรีสอร์ทนั่นเอง
พวกเราเองก็งงกับคำบอกเล่าของแกอยู่เหมือนกันเพราะศาลพระภูมิอยู่ในบริเวณรีสอร์ทที่พวกเราช่วยกันหานานนับชั่วโมงและพวกเราก็มั่นใจว่าแกไม่ได้อยู่ที่นั่นแน่ๆ
แล้วอีกอย่างก็คือ พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นคุยกับใครกันแน่ แล้วใครกันที่เดินออกไปจากรีสอร์ทตอนสามทุ่มกว่าๆ นั่น
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ได้รับการเล่าขานต่อกันมาเรื่องหนึ่งของพวกเราในช่วงนั้นเลยทีเดียว และสำหรับเรื่องนี้แล้วก็คงจะเป็นอีกเรื่องที่เมื่อได้รับฟังทีไรก็ยังขนลุกและก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้อยู่นั่นเอง
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 17:07:27
จากคุณ |
:
KTHc
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.ย. 52 22:18:29
|
|
|
|