ดอกเรนโบว์
|
|
ดอกเรนโบว์
เด็กชายรักคำชอบภาษา เพราะภาษาคือสิ่งร้อยเรียงเรื่องราว ที่บ้านเด็กชายรักคำมีหนังสือมากมาย เขาชอบอ่าน และนึกภาพตามตัวอักษรที่อ่าน
ดังนั้น เด็กชายรักคำจึงชอบเรียนภาษาไทย
ขึ้นชั้นเรียนใหม่ปีหนึ่ง เด็กชายรักคำชอบอาจารย์สอนภาษาไทยของชั้นเรียนนั้นตั้งแต่คาบแรก เธอเล่านิยายที่เธออ่านให้เด็กนักเรียนฟัง เป็นเรื่องของเด็กวัดผู้สู้ชีวิตจนเจริญก้าวหน้า ลีลาการเล่าของเธอสนุกสนาน งดงาม เห็นภาพชัด ทำให้เด็กชายรักคำอยากทำให้ได้อย่างเธอ อยากเล่าให้คนเห็นภาพได้เช่นนั้น
ดังนั้น เขาจึงตื่นเต้นมากเมื่อมีกิจกรรมในห้อง
วันภาษาไทย อาจารย์ให้นักเรียนทั้งห้องเขียนกลอนชมดอกไม้ คนที่เขียนได้ดีที่สุดจะได้รางวัล และได้ออกมาอ่านกลอนหน้าชั้น นักเรียนทุกคนนึกถึงดอกไม้ที่ชอบ กุหลาบ มะลิ บัว แก้ว และอีกมากมาย
เด็กชายรักคำนึกดอกไม้ขึ้นมาเอง เป็นดอกไม้ที่มีกลีบสีรุ้ง และมีเกล็ดน้ำค้างบนกลีบ ดอกไม้นั้นผลิบานใต้แสงจันทร์เต็มดวง เรืองแสงราวหิ่งห้อย และมีน้ำหวานสีทองกลิ่นหอมอยู่ภายใน
ดอกไม้นั้นไร้ชื่อ เด็กชายจึงเรียกมันว่า ดอกเรนโบว์ เขาใช้เวลาทั้งชั่วโมง บรรจงเขียนพรรณนาดอกไม้ที่มีอยู่แต่ในหัวใจเขาออกมา เด็กชายคิดว่าดอกไม้นั้นสวยที่สุดสำหรับเขา เขาหวังว่าอาจารย์จะเห็นมันสวยเหมือนกัน เด็กชายชอบเวลาอาจารย์สอน หวังว่าอาจารย์จะเห็นว่ากลอนที่เขาเขียนมาจากหัวใจ และกระตือรือร้นจะได้ความเห็นจากอาจารย์
แต่คาบต่อมา เด็กชายรับงานของตนคืน เห็นเพียงหมึกแดงตัวโตที่หัวกระดาษ
เขียนไว้ว่า "ทำไมเขียนถึงดอกไม้ที่ไม่มีจริง ไม่เขียนดอกไม้ไทย?"
นอกนั้น ไม่มีรอยตรวจใด ไม่มีการแก้ไขแนะนำ ไม่มีคะแนน ไม่มีกระทั่งความเห็นโดยรวมต่อกลอนชมดอกเรนโบว์
นัยน์ตาเด็กชายร้อนผ่าว คอตีบตัน อาจารย์เรียกชื่อคนที่เขียนได้ดีที่สุด กลอนนั้นบรรยายดอกคูน...ราชพฤกษ์ชูช่อทองอร่าม ยืนต้นงามตระหง่านสง่านัก อาจารย์ชมว่าเด็กคนนั้นแต่งได้ดีมาก ซ้ำยังแต่งชมดอกไม้ประจำชาติ เด็กชายรักคำฟังอย่างขมขื่น
หลังเลิกเรียน เด็กชายรักคำร้องไห้เมื่อกลับถึงบ้าน ฉีกกระดาษเขียนกลอนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันแหว่งวิ่นเช่นเดียวกับกลีบดอกเรนโบว์ ย่อยยับ ชอกช้ำ เช่นเดียวกับเนื้อหัวใจ
...อาจารย์พูดโกหก...
...อาจารย์บอกให้แต่งกลอนจากใจ นึกภาพดอกไม้ที่จะพรรณนาให้ชัดเจนก่อนเขียน แต่อาจารย์ไม่ยอมดูภาพดอกไม้ที่เขาเห็นกระจ่างชัดในใจ...
...อาจารย์ไม่เห็นความงดงามของมัน...เพียงเพราะมันไม่ใช่ดอกไม้ไทย และไม่มีจริง...
นับจากวันนั้น เด็กชายรักคำยังนั่งเรียนกับอาจารย์ ทำงานที่อาจารย์สั่ง งานเขาไม่เคยดี ไม่เคยเลว ก็แค่พอผ่าน อาจารย์ไม่เคยสังเกตเขา ไม่เคยสังเกตว่าเด็กชายรักคำไม่ยกมือตอบคำถามเหมือนวันแรก ผลการเรียนภาษาไทยของเด็กชายรักคำผู้ชอบภาษาไทยตกลงในปีนั้น จากสี่เป็นสามจุดห้า และจากสามจุดห้าเป็นสามในปีถัดมา
มันไม่เคยกระเตื้องขึ้นอีกเลย
เด็กชายรักคำหันไปทุ่มเทให้สิ่งอื่น สิ่งซึ่งผู้ใหญ่เห็นว่าใช้การได้มากมายกว่าภาษาไทย เขาเรียนวิชาเหล่านั้น วิชาอันเต็มไปด้วยตัวเลข และศัพท์เฉพาะยุ่งยากวุ่นวาย เด็กชายรักคำเรียน...เรียน...เรียนจนกระทั่งเขารู้ว่าเขาไม่ได้รักคำเหล่านั้น แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็สายไป เด็กชายรักคำกลายเป็นนายรักคำ สายเกินกว่าจะเปลี่ยนเส้นทาง เขายังคงเดินต่อไปบนทางสายนั้น เดิน...เดิน...แม้เจ็บปวดกังขา เส้นทางล้วนเต็มด้วยขวากหนาม เร่งรีบ ไร้ดอกไม้ ไร้การหยุดพักชมสิ่งใดก็ตาม เขาคงเจ็บปวดเกินกว่าจะนึกถึงดอกไม้อีก เขาเรียนจบ และทำงาน แล้ววันหนึ่ง ก็มีข่าวว่าอาจารย์ท่านนั้นกำลังจะเกษียณ รักคำลังเล ไม่รู้เลยว่าควรไปพบท่านอีกหรือไม่ อย่างไร
ตอนนั้น นายรักคำได้พบผู้สร้างดอกไม้
มิใช่ดอกไม้จริง แต่งามเหลือเกิน ในห้างสรรพสินค้ายังมีสวนย่อมๆ รักคำหยุดหน้าร้านที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้เล็กใหญ่ และถาดอาหารกับขนมเล็กจิ๋ว หญิงคนหนึ่งกำลังสร้างดอกไม้เหล่านั้น เธอนำดินมาผสมสี คลึง ปั้น รีดให้เรียบ ใช้แผ่นเหล็กตัดมาประทับพิมพ์ลายเส้นสายบนกลีบ ดัดปลายกลีบให้โค้ง พริ้วไหว รักคำหยุดยืนมองเธอ ดอกไม้ที่เธอทำเป็นดอกไม้ปลอม
แต่ถึงจะเป็นดอกไม้ปลอม มันก็ยังงดงาม
บางที อาจเป็นตอนนั้นเอง...ที่รักคำตระหนักได้ว่าดอกเรนโบว์ยังอยู่ในใจเขา ถึงเคยชอกช้ำ กลีบหลุดร่วงแหว่งวิ่น มันก็ไม่ได้ป่นสลายไปเหมือนกระดาษที่ถูกฉีก ยังคงผลิบาน งดงาม ในใจที่มีแผล รักคำนึกถึงอาจารย์ ครั้นแล้วเขาก็ก้าวเข้าไปในร้าน
เขาถามหญิงสาวว่ารับทำดอกไม้ตามสั่งไหม
เธอรับ ถามกลับว่าเขาต้องการดอกไม้ใด
รักคำยิ้มเฝื่อนๆ มีคำตอบในใจ แต่ลังเล...ละอาย เขาพูดเชื่องช้า ตะกุกตะกัก ...มันอาจไม่ใช่อย่างที่คุณคิด...ผมคิดไว้...แต่มันไม่มีจริง...
หญิงสาวกลับยิ้มตอบ
...ลองดูสิคะ ฉันก็อยากทำดอกไม้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ให้มันมีขึ้นมาเหมือนกัน...
เขาพรรณนาดอกไม้ให้เธอฟัง
เธอวาดภาพดอกไม้ให้เขาดูสองสามภาพ และถามเขาว่าเป็นเช่นนี้ใช่ไหม
มีรายละเอียดที่ไม่เหมือน มีรายละเอียดที่รักคำจำไม่ได้ เนิ่นนาน แต่ความเป็นดอกไม้นั้นยังอยู่ มิจำเป็นต้องให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว มิอาจเป็นเช่นนั้น
รักคำกับหญิงสาวลงมือทำดอกไม้ พวกเขานำดินสีขาวมานวด คลึง ปั้น และกดลงบนพิมพ์ ทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งแล้ว มันก็กลายเป็นกลีบดอกไม้
หญิงสาวบรรจงประกอบกลีบดอกไม้แต่ละกลีบกับก้านลวด นำพู่กันมาระบายสีรุ้งบนกลีบ หยดน้ำค้างเทียม และเหยาะน้ำหอมเล็กน้อย
มันอาจมิใช่ดอกเรนโบว์ในตอนนั้น อาจมิใช่ดอกเรนโบว์ดอกเดียวกับที่อยู่ในใจรักคำ บางทีมันอาจเป็นความพยายามที่ไร้ค่า แต่รักคำก็ยังอยากทำ วันต่อมา รักคำเลิกงานเร็วและรีบไปที่โรงเรียน พร้อมกับดอกเรนโบว์
อาจารย์มีสีหน้างุนงงเมื่อพบเขา ชายหนุ่มคุกเข่า ส่งดอกเรนโบว์ในกระถางใบย่อมให้ท่าน และอวยพรตามธรรมเนียมโดยไม่ทันแนะนำตัว ครั้นอาจารย์ถามชื่อเขาทั้งๆ ที่ยังดูไม่หายงง รักคำก็ตอบโดยเร็ว ก่อนขอตัวไปทันที เขาพยายามลืมเรื่องดอกเรนโบว์ แม้หญิงสาวจะถามว่าอาจารย์ว่าอย่างไรกับดอกไม้ รักคำก็ตอบอ้อมแอ้ม แค่ว่าท่านไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ
แต่แล้ว สองสามวันต่อมา ก็มีจดหมายมายังบ้านของรักคำ จ่าหน้าจากอาจารย์คนนั้น
รักคำน้ำตาไหลเมื่อได้อ่าน
อาจารย์เขียนกลอนชมดอกเรนโบว์
มันมิใช่กลอนบทเดิม ไม่มีทางเป็นกลอนของรักคำไปได้ แต่ก็เป็นกลอนชมดอกเรนโบว์ ลายมือของอาจารย์สั่นขึ้น เส้นไม่มั่นคงเหมือนแต่ก่อน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอุตสาหะยิ่งในการบรรจงเขียนขึ้นมา อาจารย์ท่านเห็นแล้ว ดอกเรนโบว์ที่ท่านไม่เคยเห็น ดอกเรนโบว์ที่กลั่นกรองด้วยภาษาไทย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ดอกไม้ไทย ไม่ใช่ดอกไม้ที่มีอยู่จริงใดๆ เลย มันอาจไม่ใช่ดอกเรนโบว์ดอกเดียวกับในใจรักคำ แต่มันก็คือดอกเรนโบว์ที่ท่านสัมผัสได้
มันคือดอกไม้ซึ่งเพิ่งจับต้องได้เป็นรูปร่าง แต่ที่จริง คงอยู่มานานก่อนหน้านั้นแล้ว และจะคงอยู่ตลอดไป
รักคำเริ่มเขียนกลอนอีกครั้ง แม้จะยังมีสิ่งต้องขัดเกลาอีกมาก เขาเขียน และเขียนมากกว่านั้น ด้วยใจที่มีดอกเรนโบว์อยู่ภายใน * * * * *
เมื่อวานมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น จึงได้เขียน และล้มลุกคลุกคลานไปกับมันหลายครั้ง
บางที...อาจอยากตั้งคำถามและมอบดอกเรนโบว์ให้ใครสักคน บางที อาจอยากปล่อยบางสิ่งที่ติดไว้ให้ออกไป บางที อาจระทมกับดอกเรนโบว์ของตนเอง แต่มันก็ยังอยู่ รอวันฟื้นตัวและงอกงาม
บางที อาจอยากเล่าถึงดอกเรนโบว์เท่านั้นเอง
ปล. ขอบคุณพี่เคียวที่ให้คำแนะนำครับ สิ่งที่เขียนอาจไม่เหมือนตอนนั้น แต่ก็คิดว่าใจกลางคือ "ดอกเรนโบว์" เหมือนกัน
แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 52 10:51:02
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ก.ย. 52 02:13:49
|
|
|
|