 |
หิมพานต์แฟนตาซี ตอน 2
|
|
นางในนิมิต
สายลมเย็นพัดผ่านม่านประกายหินฟ้าแรพลิ้วไหวไปมา แสงไฟในพลับพลาชัยนั้นก็ได้วูบดับลง สายลมที่วูบไหวเช่นนี้ คงมิใช่เหตุปกติวิสัยเป็นแน่
ภาคีลุกขึ้นจากที่นอนหนานุ่ม เขามองออกไปภายนอก แสงไฟสลัวในยามค่ำคืนก็ได้ส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง ภาคีตัดสินใจเดินออกมาหน้าพลับพลาชัยที่ลอยอยู่ในอากาศเหนือพื้นดิน ล้อมรอบพลับพลาชัยแห่งนี้มีต้นพุทธชาตออกดอกเบ่งบานส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ภูฟ้าก็ยังคงนอนหลับใหลอยู่ใกล้ ๆ บริเวณหน้าพลับพลาชัยของเขา ภาคีมองเห็นแต่เพียงแสงไฟริบหรี่จากพลับพลาชัยมากมายที่อยู่ห่างจากกันเป็นระยะที่พอเหมาะ ใครจะมาที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้ได้เล่า ภาคีหันหลังเดินกลับไปยังพลับพลาชัยของเขา เขาหยุดยืนอยู่เพียงครู่ เขารู้สึกได้ถึง บางสิ่งที่อยู่เบื้องลึกในใจเขา ภาคีตัดสินใจหันกลับมาอีกครั้ง แล้วภาคีก็ได้พบกับ เทพธิดาที่แสนงดงามนัยน์ตาหวานซึ้งที่สุดเท่าที่ภาคีเคยได้พบมา
ภาคียืนนิ่งอึ้งด้วยตกตะลึงอยู่อย่างนั้น แต่นางมาที่นี่ได้เช่นไรในยามวิกาลเช่นนี้
เราฝันไปหรือนี่ มันคงเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด คือเขาฝันไปแน่ ๆ
เราหลงมาที่นี่ด้วยแรงอธิษฐานจิตจากท่านต่างหากเล่า นางหลบสายตาของเขา หรือเพราะนางคงไม่อยากให้เขาจ้องมองใบหน้างามของนางนานเกินไปโดยไม่ละสายตาจากนางเลย
นี่ ฟ้าอาจผ่าท่านได้นะ นางยิ้มให้ภาคี เสียงของนางช่างไพเราะจับใจเขาเหลือเกิน
เมื่อนางหันไปมองสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบเป็นทางยาว
เราต้องไปแล้ว เรามิควรอยู่ที่นี่นานเกินเวลา นางแหวกม่านอากาศหายไปก่อนที่ฟ้าจะผ่าลงมาหน้าพลับพลาชัยของภาคี เขายกมือขึ้นป้องแสง ต่อเมื่อแสงสว่างจางหายไป
เดี๋ยวก่อน ได้โปรดเถิด มาคี
ภาคีเผลอเรียกชื่อมาคีออกมา สายลมแรงได้พัดม่านพลิ้วไหวไปพร้อม ๆ กับกลีบดอกพุทธรักษาที่ร่วงหล่นลงมาส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วในยามที่หัวใจของเขาก็สั่นไหวเช่นกัน
มาคีรึ ฤานางเป็นเพียงความฝัน
หากเป็นเช่นนั้น ขอนางอยู่ในฝันของเราตลอดไปได้หรือไม่ ภาคีเผลอมองแสงจันทร์ที่ส่องแสงเพียงครึ่งเสี้ยวในค่ำคืนแห่งความฝันอันสวยงามของเขา
รุ่งสางของวันใหม่ ณ ชายป่าทิศอุดร ใต้ต้นไม้นอกเขตชายป่า เหล่าเทพบุตรมากมายกำลังนั่งหลับตาสงบอยู่ในสมาธิ ทิศธาราธรณ์แอบลืมตาขึ้นมามองวาฬิต วาฬิตดูเหมือนว่าจะรู้ เพราะเขาเองก็แอบลืมตามามองเพื่อน ๆ เหมือนกัน
นี่ท่าน รู้มั๊ยว่าเราไปพบใครมา นางฟ้าที่แสนงดงาม นางนัดพบกับเราที่งานชมดอกปาริชาต
ออกดอก ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์โน่นแนะ
นี่ท่าน พระอาจารย์ให้เราฝึกสมาธิก่อนเล็งคันธนูนะท่าน มิใช่ฝึกตามจิตนางฟ้า
วาฬิตกล่าวเตือนเขา เขาลุกขึ้นจากสมาธิ เมื่อเทวดาพี่เลี้ยงร้องเรียกให้เหล่าเทพบุตรไปรวมตัวกันที่ลานธนูโล่งกว้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาสูงตระหง่าน มองเห็นยอดเขาน้ำแข็งสีขาวโพลน
ยิงลูกธนูให้พ้นเส้นเขตที่ขีดไว้ หากเทพบุตรผู้ใดยิงลูกธนูได้พ้นขีดแล้วให้ไปรอเพื่อนที่ลานศิลาได้ทันที เทวดาพี่เลี้ยงออกคำสั่งก่อนที่จะเดินจากไป
โอ้โห เขตแดนที่ขีดขั้นไว้มันช่างไกลสุดลูกหูลูกตาซะจริง ก่อนพลบค่ำเราจะยิงได้ถึงหรือนี่
การยิงธนูให้ไกลคงไม่ใช่ปัญหาของภาคี เวฬุต วาฬิต พวกเขายิงเพียงครั้งเดียว ลูกธนูก็พุ่งไกลเลยเส้นที่ขีดขั้นไว้ไปไกลจนเกือบจะถึงตีนเขา พวกเขาวางคันธนูลง แล้วมุ่งไปที่ลานศิลาตามคำสั่งของเทวดาพี่เลี้ยง ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อน ๆ เทพบุตรด้วยกัน
ใยเทพบุตรทั้งสาม จึงมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้ นี่ถ้าฝึกยิงอีกไม่นานอาจยิงไกลได้ถึงยอดเขาเป็นแน่ เทวดาพี่เลี้ยงกล่าวขึ้นลอย ๆ
เราชักอยากไปที่ลานศิลาเร็ว ๆ ซะแล้วสิ ได้ยินว่าที่นั่นจะได้ฟังมโหรีแถมยังได้ฝึกประชันขันแข่งแต่งโคลงกวีอีกด้วย เฮ้อ ทิศธาราธรณ์บ่นพึมพัม
งั้นก็ตั้งใจยิงสิท่าน ภูทัศสรเร่งทิศธาราธรณ์เพราะเกรงว่าเขาจะทำให้เหล่าเทพบุตรต้องเสียเวลานานกว่านี้ เพราะเขาได้ยินมาว่า จะมีการจัดงานรื่นเริงต้อนรับเทพบุตรใหม่ซะด้วยสิ
เมื่อคืนเราได้กลิ่นหอมประหลาดแล้วยังได้ยินเสียงแปลก ๆ
เสียงอะไรเล่า วาฬิต
เสียงลมพัดแปลก ๆ ที่พลับพลาชัยของภาคี
ไม่ใช่แค่นั้น ตอนที่เราแหวกม่านไหมทองออกมามอง เรายังเห็นแสงประหลาดอีกด้วย มันเป็นแสงแปลบปลาบอยู่เหนือพลับพลาชัยของท่านน่ะภาคี
จริงรึ วาฬิต ภาคีกล่าวออกมาพร้อม ๆ กับเวฬุต
ท่านไม่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าหรอกรึภาคี วาฬิตทำหน้าสงสัย ภาคียิ้มออกมาโดยที่เขาไม่ตอบสหายของเขาเลยสักคำเดียว
ว่าแต่กลิ่นหอมประหลาดนี่น่ะ มันหอมอย่างไรหรือวาฬิต เวฬุตถามด้วยความสงสัย
* แก้วฟ้าแร หินแก้วสีฟ้าใส,
แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 10:33:36
| จากคุณ |
:
เขาพนมรุ้ง
|
| เขียนเมื่อ |
:
28 ก.ย. 52 18:56:06
|
|
|
|  |