ความคิดเห็นที่ 1 |
. . เรื่องสั้น : ฝนชะช่อมะม่วง
เป็นเวลากว่าสามทุ่มแล้ว กระนั้นฝนที่ตกต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเช้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนลง สายน้ำคงโปรยปรายประดุจม่านสีขาวที่บ้างบางเบา อีกบางครั้งหนักหน่วง ในเวลานี้สะท้อนแสงไฟจากยอดเสาสูงดูพลิ้วพราย โดยเฉพาะเมื่อกิ่งซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้ของต้นมะม่วง โบกไกวตัดแสงไฟวูบวาบ ยิ่งทำให้เกิดความเงียบเหงาระคนน่าประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาได้อย่างน่าพิศวง
เก๋งคันเล็กที่ค่อยๆ เคลื่อนตัว หักมุมเข้ามาภายในซอยนั้นค่อนข้างเก่า ตัวกระป๋องยังเป็นโครงเหลี่ยม และสีก็เป็นน้ำตาลชา หาใช่เงางามโค้งมนเช่นสมัยนิยม แสงไฟหน้ากราดผ่านเข้าไปยังซอยเล็กแคบ...ซึ่งเล็กชนิดที่รถเก๋งเพียงคันเดียวก็แทบเต็มพื้นที่แล้ว
เพราะซอยนี้เป็นซอยเก่า เขาจำได้ว่าสมัยเด็กๆ นั้นพื้นที่แถบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรือกสวนทั้งสิ้น ผืนดินค่อนข้างชื้นแฉะชุ่มฉ่ำตลอดเวลาเพราะไม้ใหญ่รอบอาณาคายละอองน้ำ สายน้ำเล็กๆ ไหลระเรื่อยอยู่ริมตลิ่งซึ่งเต็มไปด้วยกอกก กอบอน ข้างกันมีกอกล้วย และต้นหมากต้นมะพร้าวสูงชะลูดจนเด็กตัวเล็กๆ อย่างเขาต้องแหงนคอตั้งบ่า แลละลิบขึ้นไปบนฟ้าสูงโน่น สีเขียวตะคุ่มครอบคลุมอยู่รายรอบ เช่นเดียวกับสรรพสำเนียงของสิ่งมีชีวิตที่หากไม่สังเกตก็คงมองกันไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นหรีดหริ่งเรไร กบ เขียด ปลาฮุบน้ำ เรื่อยเลยไปถึงอสรพิษชนิดต่างๆ ที่ไม่มีใครคาดหมายจะได้พบ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความร่มรื่นจนติดจะรกเรื้อของต้นไม้นานาพันธุ์ ที่โปรดปรานของรักลิขิตมากที่สุดเห็นจะเป็นต้นมะม่วง
เพราะลำต้นของมันค่อนข้างแข็งแรง พอพ่อกับแม่เผลอๆ เด็กชายจึงมักได้หายขึ้นไปป่ายปีนจนต้องตะโกนเรียกกันไม่รู้แล้ว
ครั้นถึงฤดูกาล...มันก็กำเนิดผลออกมาเพียบ เด็ดลงมาปอกกินกับพริกน้ำปลาหวานรสชาติฝีมือแม่เด็ดดวงนักหนา
วัยเด็กช่างเป็นคืนวันอันแสนสุข สนุกสนาน
ผ่านไปไม่กี่ปี ความเจริญก็คืบคลานเข้ามาครอบคลุมอาณา ต้นไม้เริ่มถูกโค่นล้ม แผ่นดินที่เคยเป็น ดิน จริงๆ ถูกแปรสภาพตัดกลายเป็นถนนคอนกรีต เรือนไม้หลายหลังคุ้นตาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเป็นบ้านก่ออิฐ
นับประสาอะไรกับอีกเกือบสิบปีหลังจากนั้น...ครั้นรักลิขิตเรียนจบแล้วกลับมา...
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว เรือกสวนกว้างใหญ่ที่เคยเปิดกว้าง ผู้คนต่างๆ สามารถเดินทะลุกันโดยตลอด ถูกกางกั้นด้วยกำแพงปูน สูง หนา บ่งบอกถึงสภาพสังคมที่ย่อมแปลงเปลี่ยนไปเช่นกัน ความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างเพื่อนบ้านไม่มีวันหวนกลับ
ฝั่งซ้ายคือกำแพงยาวตลอดเพราะเป็นบ้านพักของอดีตนักการเมืองเขื่องอำนาจ ฝั่งขวาจึงเป็นบ้านหลังเล็กหลังน้อยของผู้เข้าอาศัย ที่ทยอยเปลี่ยนหน้าจากคราเก่าๆ ไปจนแทบไม่เหลือเค้าคนเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว
กระนั้น ตลอดสองข้างซอยคอนกรีตแคบๆ แห่งนี้ก็ยังคงร่มครึ้มไปด้วยเงื้อมเงาของกิ่งมะม่วงใบหนา
ในคืนฝนโปรย สายฝนหล่นพรูลงลู่มาตามปลายใบ บางครั้งมองจากที่ไกลๆ คล้ายคนกำลังก้มหน้าโศกเศร้า ผงกเคล้าไปตามจังหวะคำรณคำรามของกระแสฟ้า
น่าแปลกเหมือนกัน ตอนแรกเหนื่อยสายตัวแทบขาด แค่ลงจากออฟฟิศมาขึ้นรถที่แทบจะจอดโดดเดี่ยวอยู่กลางลาน รักลิขิตก็แทบจะสลบเหมือดไปบนเบาะแล้ว หากครั้นขับมาถึงซอยแห่งนี้ ไม่รู้เป็นเพราะความเขียวชอุ่มชวนสดชื่นของบรรยากาศ หรืออาจเพราะความอบอุ่นอันลึกซึ้งซึ่งถูกบ่มเพาะอยู่ภายใต้จิตสำนึกกันแน่ ความปรารถนาที่อยากจะกลับไปทิ้งตัวลงบนเบาะนุ่มภายใต้ผืนนวมหนานั้นจึงแปลงเปลี่ยนไป
เท้าที่แตะคันเร่งแทบจมมิดมาตลอด กลับถูกปล่อยว่าง ให้รถค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปในซอยอย่างเชื่องช้า ราวกับสารถีหนุ่มจะพยายามเก็บเกี่ยว ซึมซับทุกบรรยากาศรายรอบ...
บ้านน้าแมวตรงปากซอย...จากที่เคยเป็นเรือนใต้ถุนสูงสมัยนู้น บัดนี้เมื่อเพ่งผ่านพุ่มมะม่วงหนาไปจะเห็นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นที่หากเป็นตอนกลางวันจะพบว่าทาสีส้มนวลสดใสที่สุดในซอย
แน่นอน...คนอยู่คงไม่ใช่น้าแมวแล้ว รักลิขิตจำได้ว่าเจ้าของบ้านคนเก่าไม่ชอบสีส้ม เพราะไม่ถูกโฉลกกัน
ไม่รู้เจ้าของบ้านรายใหม่เป็นใคร สภาพบ้านกับการเป็นอยู่ที่แทบจะต้องวิ่งตามเข็มนาฬิกา ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาแม้จะมาทักทายในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงเช่นสมัยกระนู้น
บ้านถัดมายังคงสภาพเดิมไว้ได้ กระนั้นเรือนใหม่ก็กลายเป็นกึ่งไม้กึ่งตึก รายนี้เจ้าของบ้านที่แท้จริงยังเป็นรายเก่า ทว่าคนที่อยู่ไม่ใช่...ได้ข่าวว่าไอ้แกละลูกชายป้าจวงให้พวกนักศึกษาต่างจังหวัดมาแชร์เช่าอยู่กันเป็นรายเดือนแทน ส่วนตัวเองต้องระเห็จไปเช่าคอนโดอยู่ เพราะสู้เหนื่อยถ่อขับรถไป กลับระหว่างสถานที่ทำงานกลางเมือง กับบ้านฝั่งธนแห่งนี้ไม่ไหว
แปลกดี...นักศึกษาบ้านนี้น่าจะกลับมาก่อนบ้านอื่น และน่าจะมีโอกาสเข้านอนก่อนบ้านอื่นด้วยซ้ำ กระนั้นทุกคืนค่ำรักลิขิตกลับมักพบว่า จะคงมีเสียงเพลงแว่วๆ ลอยออกมาจากตัวบ้าน ซึ่งคงเปิดไฟสว่างจ้าอยู่เป็นหลังสุดท้าย
ก็อย่างว่าล่ะมั้ง...
วัยเด็ก...ยังเป็นวัยแห่งความสุขสันต์หรรษา ยังไม่ต้องเหนื่อยกับการแบกรับภาระแห่งการงานทั้งหลาย...
บ้านถัดไป ในอดีตเป็นกระท่อมของลุงหมูที่เป็นเจ้าพ่อไก่ชน หวย ถั่วโป ไพ่ป๊อก และอีกสารพัดสารพัน จนบ้านของแกกลายเป็นที่มั่นของเซียนพนันทั้งหลาย เมื่อก่อนเสียงบ้านนี้จะดังที่สุด โดนด่ามากที่สุด และชุลมุนชุลเกที่สุดเวลาตำรวจเยี่ยมเยือนมา ทว่าบัดนี้...กระท่อมหลังเดิมกลับเป็นกระท่อมที่เงียบเหงา ลูกหลานของลุงหมูกระจัดกระจายไม่ไยดี ที่จริงจะเรียกว่ากรรมก็ได้ สมัยยังเป็นหนุ่มใหญ่ ลุงแกไม่เคยแยแสลูกหลานหน้าไหน ใส่ใจอยู่แต่กับไพ่กับถั่ว พอพวกเจเนอเรชั่นใหม่โตมา...ทั้งที่ไปได้ดีและตกต่ำปานไหน แต่ทุกรายก็ไม่เคยเหลียวกลับมาแลแกอีก ปล่อยให้กลายเป็นตาแก่หงำเหงอะนอนเฝ้าและรอวันตายอยู่ในบ้านเก่าอย่างนั้น
วันแรกๆ ที่กลับมา หลังจากเที่ยวตามหาเพื่อนบ้านหน้าคุ้นๆ จนแทบถอดใจว่าคงไม่พบใครอีกแล้ว ชายหนุ่มกลับเผอิญได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากกระท่อมเก่าๆ หลังนั้น ครั้นหลงเดินเข้าไปก็พบว่าเป็นลุงหมู ที่แก่หง่อมจนเข้าขั้นตาเฒ่า ไม่เหลือเค้าราศีนักเลงตัวใหญ่บะเอ๊กจนใครๆ เกรงอย่างแต่ก่อน
ลุงหมูพึมพำจำความอะไรแทบไม่ได้แล้ว ต้องแนะนำกันอยู่เป็นนานสองนานกว่าจะรู้ว่าเขาคือไอ้รัก เด็กตัวกระเปี๊ยกบ้านท้ายสวนที่เคยวิ่งผ่านมาแอบดูตะแกเล่นพนันกันอย่างอยากรู้อยากเห็น จนเป็นเหตุให้โดนไม้เรียวพ่อไปหลายระลอก
กระนั้นสมองของแกเหมือนเป็นอัลไซเมอร์ไปแล้วหรือไรก็สุดรู้ แกทำหน้าทำตาพยักเพยิดเหมือนมีอะไรจะบอก หากนอกจาก
...รอ...รออยู่...
รักลิขิตก็จับความอะไรไม่ได้อีก พอถามมากๆ เข้า คราวนี้กลายเป็นจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร
ในเขตรั้วอีกสามสี่หลังถัดมาก็ไม่ต่างไปจากสองหลังแรก คือเจ้าของบ้านที่อยู่จริงๆ ในปัจจุบัน หาใช่เจ้าของบ้านคนเก่าอีกต่อไปแล้ว สภาพบ้านก็ถูกตกแต่ง ต่อเติม หรือสร้างใหม่จนจำแทบไม่ได้
นี่ถ้าเพียงแต่ชื่อซอยถูกตั้งใหม่ หรือไม่ก็ไม่มีป้ายบอกตรงด้านหน้า ตอนที่เขาเดินทางเข้ามาวันแรก รักลิขิตต้องไม่เชื่อตัวเองแน่ๆ ว่าเขาเข้ามาถูกที่แล้ว
ชายหนุ่มคงปล่อยให้รถค่อยๆ เลื่อนตัวต่อไป นิ้วมือเคาะบนพวงมาลัยตามจังหวะเพลง Raindrop Keep Falling On My Head ที่คงเปิดคลออยู่พอได้อารมณ์เพลินๆ
แสงไฟสาดจ้าไล่ความมืดด้านหน้า ลิบเรื่อยเข้าไปจนเริ่มเห็นเงากำแพงตันอันเป็นจุดสิ้นสุดของซอย
แน่นอน...ด้านขวามือคือบ้านของเขา
กระนั้น กำลังจะจบการเดินทางอันแสนสุขแล้วแท้ๆ อารมณ์กลับต้องสะดุดลง
จู่ๆ เสียงเพลงก็เริ่มตะกุกตะกัก ยานคาง แหบแหลมสลับกับกลับมาเป็นปกติ
และ...ถ้าเป็นครั้งแรกก็คงไม่ได้สังเกตนัก หากเมื่อมีครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่...ตามมา รักลิขิตจึงเริ่มจับใจความได้ว่า เหตุการณ์ประดุจรอยขูดบนแผ่นเสียงนี้ จะบังเกิดขึ้นทุกครั้ง...ทันทีที่รถเริ่มแล่นผ่านบ้านหลังที่สองรองจากสุดท้าย...บ้านที่ยังคงรักษาสภาพตามเก่าไว้ได้มากที่สุด
บ้าน...ที่อยู่ติดกับบ้านของเขามากที่สุด
ร่ำเรียนมามากนัก รักลิขิตจึงอ้างอิงสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์สำหรับเป็นเหตุผล
บางที...บ้านหลังนี้อาจเป็นจุดอับสัญญาณอะไรทำนองนั้นก็เป็นได้...
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองคิดสนุกๆ คิดเล่นๆ ชายหนุ่มกลับเห็นว่ามันเหมือนเป็นสัญญาณเรียกจากบ้าน...หรือใครบางคนในบ้านหลังนั้น...ให้เขาต้องหันไปมองมันทุกครั้งที่ขับรถผ่าน
บ้านไม้หลังเล็ก...เก่า... โดดเดี่ยวเดียวดายละม้ายผู้ เคย เป็นเจ้าของ
สงบเงียบ เยือกเย็น หากชณะเดียวกันก็แฝงเร้นด้วยความลึกลับน่าค้นหา
บ้าน...ที่บัดนี้ถูกบดบังด้วยสุมทุมพุ่มไม้ โดยเฉพาะเงาครึ้มของต้นมะม่วงจนแทบมองผ่านไปไม่เห็น
กระนั้นก็ยังได้รู้ได้ยินว่ามันกลายเป็น บ้านร้าง ไปแล้ว
..............
แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 52 20:33:03
จากคุณ |
:
ปราปต์ (งี่เง่าบอย)
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ต.ค. 52 20:21:28
|
|
|
|