Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
..............ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๖...................  

ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=07-2009&date=17&group=16&gblog=1
.....................................................................................................................................................


แง้วววว..... ตะแรกว่าจะเอาไปแปะไว้ในบล็อกที่เดียวแล้วครับ ตะนี้พอมาดูที่ช่องแสดงเรื่องที่อัพในบล็อก ก็ปรากฏว่าสองเดือนกว่าที่ห่างหายไป ช่วงโชว์เรื่องที่อัพในบล็อกแคบลงมากๆๆๆๆ  ดังนั้น...๕๕๕๕.... ถึงจะลงช้า แต่ข้าพเจ้าก็จะลงมันในถนนนี่ละจนกว่าจะจบ  เหอ  เหอ  เหอ....


.....................................................................................................................................................



บทที่ 6


              อีกสามสี่ครั้ง ที่พรสวรรค์ต้องตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ จนเมื่อเรือเคลื่อนตัวออกพ้นจากท่า ห่างฝั่งจนหมดทางจะยับยั้งนั่นแล้ว เขาถึงหันมามอง พร้อมเอ่ยคำแนะนำตัว ราวกับคนเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก

“ผมชื่อปรมัตถ์”

ทำให้เธอยิ่งเดือดจัด จ้องหน้าเขาเขม็ง ที่ตาแดงๆ นั่นคงเพราะยังเมาไม่สร้างละกระมัง แต่พอคนถูกมองหน้า จ้องตาตอบโต้ พรสวรรค์ก็กลับต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคมของเขาเสียเอง ก่อนจะระบายความอึดอัดที่ตามมา ด้วยการตวาดออกไปอย่างไม่พอใจ

“ไอ้บ้า... อย่ามามองกันด้วยสายตายังงั้นนะ”

“ใครกันแน่ที่สติไม่ดี ที่คุณตะโกนๆ อยู่น่ะ มันชื่อใคร ไอ้ปอเต็กตึ๊ง ไอ้ปอประตูผีอะไรน่ะ มันชื่อญาติคุณหรือไง ผมชื่อปรมัตถ์ นี่เห็นคุณอยากจะคุยกับผมจริงๆ หรอกนะ ถึงได้บอกให้เรียกให้มันถูกๆ แล้วยังจะมาด่ากันอีก”

ถ้าเป็นธรรมดา ถ้อยคำเช่นนี้หรือจะทำให้พรสวรรค์เจ็บแสบ แต่นี่เพราะมันออกมาจากปากของอีตาคนนี้ เธอจึงแค้นใจนัก นึกโทษตัวเองไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วในวันนี้ ว่าเป็นเพราะปากของตัวเองแท้ๆ ที่พาความอับจนมาให้

ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปอีกเป็นครู่ ปรมัตถ์นั้นดูไม่ยี่หระกับคำพูดที่ปล่อยออกมาเป็นชุด ส่วนพรสวรรค์ก็กำลังหาทางชวนทะเลาะต่อไปอีก ทว่าเมื่อคิดไปคิดมาจนถ้วนถี่ คิดว่าการจะชวนทะเลาะต่อไปก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ เธอจึงต้องฝืนใจเบี่ยงเบนประเด็นให้พ้นตัว

“นายก็เห็นๆ อยู่ว่าพี่ภากับพี่ภาสเค้าตกเรือ”

“ไม่ได้ตก แค่ยังไม่ได้ขึ้นมา”

คำตอบพรรค์นี้ละ ที่ทำให้พรสวรรค์ต้องนับหนึ่งถึงสิบเป็นรอบที่สิบ

“จะอะไรก็ช่าง!... แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้มากับเรา”

“นั่นสิ...”

“ไอ้... ไอ้บ้า... จะมาเป็นปัญญาอ่อนอะไรกันตอนนี้ล่ะ”

“นี่คุณ คำก็บ้า สองคำก็ปัญญาอ่อน ทำไม... เคยคบกับใครหรือว่าเคยเป็นมาก่อนล่ะ ถึงรู้ดีนักว่าใครบ้าใครปัญญาอ่อน ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะเดือดร้อนอะไร ในเมื่อเราก็ยืนกันอยู่ตรงนี้ดีๆ อยู่แล้ว”

“ไอ้  ไอ้  ...เออ! ก็เพราะนายกับฉันลงเรือมาแล้วนี่ไงล่ะ ฉันถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อน”

พรสวรรค์อยากจะถีบนายตัวโตนี่ให้ตกน้ำไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ

“แต่ผมไม่เดือดร้อน วันนี้แดดไม่แรง ลมก็ดี น้ำก็ใส”

“แต่พี่ภาสกับพี่ภาไม่ได้มากับเราด้วย  เข้าใจไหม!”

“ก็ใช่ไง ผมเห็นแล้ว แล้วยังไงล่ะ”

“ก็...” คำถามเหมือนซื่อของคนถาม ทำให้คนตอบยากจะหาคำตอบอยู่เหมือนกัน “ก็... ฉันไม่อยากจะไปกับนายสองคน...”

พอฟังคำตอบจนจบ ปรมัตถ์ก็ทำสีหน้าละเหี่ยใจเต็มที่ เขาส่ายหน้านิดๆ ตอนต่อประโยคถัดมา

“สองคนที่ไหน คนออกเต็มเรือ ...คุณแจ่มศรีมณีเด้งขอรับ คุณคิดว่าคนอย่างพี่ภาของคุณ จะทำเรื่องเป๋อๆ เอ๋อๆ อย่างนี้ได้จริงๆ น่ะหรือ”

แล้วหลังจากประโยคแรก ปรมัตถ์ก็หันหน้ากลับไปรับลมแม่น้ำอีกรอบ ท่าทางระรื่นชื่นใจนั้น ทำให้พรสวรรค์ยิ่งหมั่นไส้หนักขึ้น ส่วนท่าเรือที่จากมา ก็ยังเห็นอยู่ลิบๆ ว่ามีสองคนกำลังชูมือสุดแขน โบกไหวๆ อยู่ไกลๆ โน่น

“นี่นายหมายความว่ายังไง”

ขณะตั้งคำถาม พรสวรรค์ก็ภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิด เธอเริ่มจะตามทันแผนการของสองคนบนฝั่งนั่นแล้ว...




ลมแม่น้ำพัดพาละอองฉ่ำชื่นมาแตะผิว ใจของพรสวรรค์เย็นลงได้อีกมาก เมื่อบรรยากาศกลางลำน้ำชวนให้ผ่อนคลาย แว่วเสียงเครื่องสายไทยดังมาจากส่วนจัดเลี้ยง สำเนียงวิเวกหวานนั่น ไพเราะจับใจจนทำให้สองหนุ่มสาวต้องหันมอง

ภายในไม่ถึงกับครึกครื้น แต่ดูรู้ได้ว่าชาวต่างชาติเหล่านั้นคึกคักกันเป็นพิเศษ บ้างยืนเลือกรับอาหารว่าง บ้างเวียนสลับกันถ่ายรูปโดยมีฟากฝั่งเป็นฉากหลัง ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว หรือไม่ก็คู่รัก การเที่ยวชมพุทธสถานริมน้ำครั้งนี้ คงอยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวชั้นดี เพราะคนที่เห็นอยู่นี้ต่างดูรู้ว่ามีระดับ

พรสวรรค์อดไม่ได้ที่จะต้องก้มลงสำรวจตัวเองอีกครั้ง เธอคงประมาทตัวเองเกินไป คิดว่าพวกฝรั่งคงยึดถือลัทธิสบายๆ เหมือนกันไปหมดทั้งโลก เมื่อเปรียบกับชาวถิ่นแถบทะเลใต้ที่คุ้นเคย ที่ติดจะแต่งกายแบบตามใจข้า คนที่แต่งมาแค่กางเกงชาวเขาเป้ายานกับเสื้อยืดแขนเต่อพิมพ์ลายอย่างเธอ จึงไม่อยากจะสืบเท้าเข้าไปในดงแห่งความสุภาพนั่น ให้ใกล้เกินไปกว่านี้เท่าไรนัก

“กินอะไรมาหรือยัง...”

เสียงเรียบดังจากข้างหลัง แต่พรสวรรค์ทำเป็นไม่ได้ยิน ยังยืนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น นึกเปรียบสภาพของตัวกับไอ้คนเจ้ากรรม แล้วก็ยิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวเลยเถิดไปกันใหญ่

“นายใช่ไหม ที่เป็นคนวางแผนให้ฉันต้องมาตกที่นั่งลำบากอย่างนี้”

แล้วเธอก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองคลางแคลงใจอยู่นานกว่าอึดใจ

“ไม่มีใครนั่ง ทุกคนต้องยืน”

ปรมัตถ์ตอบหน้าตาเฉย

“ย่ะ... ทำซื่อทำอื้อ อย่างนี้ให้มันตลอดก็แล้วกัน ฉันหมายถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้หรอกน่ะ มันเป็นคำเปรียบเปรยน่ะรู้จักบ้างไหม”

คนพูดอยากจะหยิกข่วนหรือทุบถองเสียให้สาใจ คนอะไรยียวนได้ขนาดนี้

“แต่เราพนันกันไว้แล้ว ถ้าใครอดทนไปได้ไม่ตลอดทริป คนนั้นต้องเป็นลูกหมา”

ปรมัตถ์กำลังเท้าความถึงเมื่อประมาณสิบนาทีก่อนหน้า หลังจากเรือสำราญลำสวย ตั้งลำมุ่งสู่ทางเหนือน้ำได้เรียบร้อย แล้วก็เหมือนจะไม่รีบร้อนอะไรอีกต่อไป เครื่องยนต์เดินอ่อยเหมือนหมดแรง จนเสียงการขับเคลื่อนไม่สามารถจะรบกวนการพูดจาของใครๆ ได้อีก

ตอนนั้นกระทั่งเขาเองยังพยายามจับต้นชนปลายอยู่เหมือนกัน ว่าทั้งหมดต้องเป็นแผนการของไอ้เพื่อนจอมสาระแน แส่หาทางมาจับคู่ให้เป็นแน่ เขาก็อยากจะบอกกับเธออยู่หรอก ว่าตัวเองก็โดนหลอกมาเหมือนกัน แต่พอเห็นสีหน้าสีตาเคร่งเครียดจริงจังของเธอแล้ว ก็มีอันต้องเปลี่ยนใจ เพราะนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้

“ก็ไหนว่าเก่งนักยังไงล่ะ  หรือว่าว่ายน้ำไม่เป็น เลยเป็นโรคกลัวน้ำ”

แล้วปรมัตถ์เปิดฉากแผนการเฉพาะของตัวเองไปด้วยข้อความทำนองนี้ จนมาสรุปจากปากของพรสวรรค์เองว่า

“แล้วเราจะได้เห็นกัน ว่าคนอย่างฉัน ฆ่าได้หยามไม่ได้”

อาจเพราะอารมณ์ขุ่นของคนรับคำท้าเองก็เป็นได้ ที่ทำให้พูดออกไปเช่นนั้น แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว จะกลับคำ แววตาระรื่นของเขา ก็คงจะได้เพิ่มความหมิ่นแคลนต่อน้ำใจของเธอมากขึ้นไปอีก

แล้วเรื่องอะไรพรสวรรค์จะยอม ให้คนอย่างปรมัตถ์มาดูถูกได้ว่าใจฝ่อและกลับคำได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

“เออสิ! คนอย่างฉันน่ะพูดแล้วไม่เคยกลับคำ คำไหนคำนั้น นายจะไปสวาปามอะไร ก็เรื่องของนายเถอะนะ”

แล้วพรสวรรค์ก็สะบัดตัวกลับไปตรงด้านหัวเรือ ซึ่งมีเก้าอี้พับตัวเตี้ยและร่มกางวางตั้งไว้เป็นชุดๆ กระแทกตัวนั่งลงบนเบาะนุ่ม แล้วตั้งใจว่าจะไม่สนใจหมอนั่นอีกต่อไป




ขณะที่ปรมัตถ์มองตามหญิงสาวที่พยายามแสดงตัวว่าเจ้าอารมณ์ไปนั้น เขาอดคิดถึงวารินทร์ไม่ได้ หากเป็นเธอ การพากันไปนั่งรับลมที่หัวเรือเช่นนี้ เธอก็จะเตรียมวางท่าทางไว้ เพื่อให้เขาแลมอง แล้วจะต้องรู้สึกคึกคักได้อีกมาก

หากเป็นวารินทร์ เธออาจกระซิบสั่งไวน์แดงรสชาติดี ให้เขาตามไปเสิร์ฟหลังจากที่ไปเธออิงเอน รอรับบริการอยู่กับเก้าอี้ชุดนั่น ด้วยท่วงท่าที่ชวนมองกว่าผู้หญิงตรงหน้าปรมัตถ์คนนี้สักร้อยเท่า

ท้องฟ้าเบื้องหน้าแดดยิ่งร่ม  สายลมเรื่อยที่ล่องลอยมาตามลำน้ำเย็นรื่นชื่นฉ่ำ ด้วยว่าเป็นลมต้นหนาวหรือจะเพราะที่ต้นน้ำลิบๆ เมฆฝนกำลังตั้งเค้าอยู่ก็ไม่รู้แน่ แล้วพนักงานประจำเรือก็ค่อยทยอยเก็บร่มที่กางประดับดาดฟ้าด้านนี้ เมื่อเห็นว่าลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ

ปรมัตถ์ยังไม่ได้ขยับจากที่ ตรงทางเดินระหว่างดาดฟ้ากับภายในส่วนจัดเลี้ยง ส่วนพรสวรรค์ เธอหันมามองที่เขานิดหนึ่ง ตอนร่มที่กางอยู่ตรงเธอถูกหุบเก็บออกไป แล้วก็สะบัดหน้าหันไปสู้กับสายลมเย็นชื่นของเธอเช่นเดิม

ตอนที่เรือนผมวูบสยายเมื่อยามพรสวรรค์หันหน้ากลับไปนั่นเอง ที่ทำให้ปรมัตถ์ถึงกับตะลึง ท่วงทีเช่นนั้นวารินทร์ไม่เคยทำให้เขาเห็น ไม่สิ... ท่าทางอย่างนั้นน่ะวารินทร์ทำออกบ่อย มันเป็นแบบทิ้งสายตาก่อนสะบัดหนี เพื่อยวนยั่วให้แลตาม แต่สำหรับผู้หญิงที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านี่ เธอไม่ได้มีอาการเช่นนั้น

แค่พริบตากลับตรึงเขาไว้ได้อีกเป็นอึดใจ กว่าที่จะได้ผ่อนลมหายใจออก เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกประหลาด ที่ผุดวาบขึ้นมาในห้วงความคิด

ปรมัตถ์เพิ่งเข้าใจถึงเสน่ห์ที่แท้จริงแห่งสตรีเพศ พวกเธอทุกคนคงสามารถสวยงามจับตาจับใจได้ ในยามที่ไร้จริตตบแต่ง แต่จะมีสักกี่คนเล่า ที่กล้าแสดงความไร้เดียงสาเช่นนั้นต่อหน้าใครๆ

ลมคงหวนละอองคลื่น ให้กระเซ็นขึ้นมาใกล้กระทบใบหน้า เขาจึงเห็นเธอเบี่ยงศีรษะหลบไปอีกทาง นั่นเป็นอีกมุมมองที่ปรมัตถ์เพิ่งได้เห็น ดวงหน้าทั้งแก้มซ้ายและแก้มขวา ยามที่สายลมไล่ให้เส้นผมพลิ้วไกลต้นคอ

ด้วยสายตาของช่างศิลป์ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงเค้าโครงความสวยงาม สมตามแบบที่ควร อีกทั้งความงามของหญิงสาวที่ปรากฏให้ปรมัตถ์ได้เห็น ณ ขณะนี้ ก็ยังปราศจากการแต่งแต้ม ทั้งจากเครื่องสำอางหรือเครื่องประดับอื่นใดอีกด้วย

“ผู้หญิงสวยๆ ต้องเป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ แล้วสวยที่แบบวารินทร์เล่า”

ปรมัตถ์พึมพำถามหัวใจตนเอง เขาไม่เชื่อหรอกว่าตอนที่พรสวรรค์หันมามองนิดหนึ่งนั้น คือสัญญาณของการชวนเชิญ เหมือนอย่างที่แฟนเก่าของเขาชอบแสดงออกมา แต่หากไม่ทดลองดูก็คงไม่รู้ ว่าการที่พรสวรรค์ตวัดสายตามองมาเช่นนั้น ไม่ใช่การตกแต่งท่วงท่า อย่างที่ผู้หญิงส่วนมากมักจะกระทำต่อเขา

ปรมัตถ์กลับขึ้นมาจากส่วนจัดเลี้ยงในนาทีต่อมา พร้อมเครื่องดื่มสองแก้ว เมื่อเห็นว่าเธอยังปักหลักอยู่ที่เดิม ก็เดินตรงเข้าไป

บนดาดฟ้าส่วนหน้านี้ยังไม่มีใคร เพราะส่วนใหญ่ยังรื่นเริงอยู่ภายในส่วนจัดเลี้ยง กับอีกบางส่วนที่จับกลุ่มกันตรงดาดฟ้าท้ายเรือ เพราะส่วนนั้นมีบาร์เครื่องดื่มตั้งเตรียมบริการไว้ ให้ความสะดวกสบายมากกว่า

เสียงพื้นรองเท้ากระทบพื้นไม้นั้นไม่เบาเลย แต่พรสวรรค์ก็ยังไม่ได้หันมา เมื่อไร้แดดก็ไร้เงา เดาได้แต่เพียงเสียงนั่นมาหยุดอยู่ที่ริมหู แล้วแก้วน้ำส้มคั้นก็ถูกส่งมาให้จากด้านหลัง แก้วทรงป้อมใสบางและมีเชิงเตี้ยๆ มีมือที่ใช้เพียงสามนิ้วจับเฉพาะตรงก้านแก้วยื่นให้ เป็นมือใหญ่แต่ผิวพรรณสะอ้าน มันทำให้พรสวรรค์ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นอีตานั่น

และแล้วเรียวนิ้วและเล็บมือที่สะอาดเกินกว่าบริกรทั่วไปควรจะเป็น ก็ทำให้พรสวรรค์ต้องยื่นมือออกไปรับ พร้อมกับการหันกลับไปมอง ในใจคิดไปว่าอาจเป็นหัวหน้าบริกรหรือผู้จัดการเรือสำราญลำนี้ก็ได้ ที่นำเครื่องดื่มแก้วนี้มาเสิร์ฟ

แชะ!

เสียงสั้นดังในเสี้ยววินาที แต่ราวกับทำให้เวลาหยุดไปชั่วกาล ภาพที่ถูกบันทึกไปนั้น เป็นภาพของคู่รักหวานชื่น ที่ฝ่ายชายกำลังค้อมกายบริการ ยื่นส่งเครื่องดื่มให้หญิงสาวในดวงใจ ท่วงท่าของฝ่ายชายที่มาดแมนและแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอยู่นี้ ช่างรับกับท่วงทีของฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นหญิงสาวที่สวยสดด้วยผิวพรรณอันสดใส จากมุมที่เก็บภาพของเขาและเธอเอาไว้ได้ ช่างภาพย่อมรู้ชัดว่า คนคู่นี้ สมบูรณ์แบบ

“ทำอะไรคะ!”

พรสวรรค์ถามเสียงขุ่น มองผ่านเลยคนกำลังเสิร์ฟน้ำส้มคั้นไปด้านหลัง ตากล้องท่าทางเจ้าเล่ห์นั่นเดินเข้ามาใกล้ เขายักคิ้วให้เธอแค่นิดหนึ่ง แต่ทำท่าทางยิ้มย่องอยู่กับอีกคนที่ยืนอยู่ก่อน

“เสียมารยาทนะคะ มาแอบถ่ายรูปกันอย่างนี้ได้ยังไง”

คนถามยังเสียงแข็ง ขณะที่คนถูกถามก็ยังคงทำเป็นไม่เห็นเธออยู่ในสายตาอยู่เช่นเดิม

“สวัสดีครับคุณปรมัตถ์ จำผมได้ไหม ตอนนั้นที่ผมตามข่าวของคุณไงล่ะครับ ที่จริงตอนคุณได้รางวัลวิจิตรศิลป์อะไรนั่น ผมก็ตามไปทำข่าวนะ แต่บอกอแกไม่ได้ให้เอาลงหรือยังไงก็ไม่ทราบ แต่ภาพเด็ดวันนี้พี่รับรองว่า แฟนๆ ของคุณจะต้องฮือฮา แล้วนี่แฟนหรือครับ สวยกว่าคุณวารินทร์อะไรนั่นอีกนะนี่ คุณปรมัตถ์นี่ตาถึงจริงๆ เลือกสาวๆ แต่ละคน ไม่เคยทำให้พี่ๆ ผิดหวังเลยสักคน”

ผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นนักข่าวพล่ามยืดยาว ซึ่งทั้งหมดล้วนไม่เข้าหูพรสวรรค์เลยสักนิด เธอผุดลุกขึ้นจนปรมัตถ์ต้องเบี่ยงตัวหลบวูบ เครื่องดื่มในแก้วกระฉอกไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กระเซ็นมาทางคนทั้งสาม

“นี่นาย นายอยากจะเด่นจะดังยังไง ก็อย่าเอาฉันเข้าไปเกี่ยวข้อง สั่งให้เขาลบภาพนั่นออกไปเดี๋ยวนี้”

นี่ก็ผิดกันเหลือเกิน ในความคิดเห็นของปรมัตถ์ เพราะถ้าเป็นวารินทร์ เธอจะยิ่งขอให้เขาถ่ายซ้ำ ไม่ใช่เอ็ดตะโรให้ลบภาพทิ้งอย่างนี้

แล้วปรมัตถ์ก็นึกขัน นึกถึงคำพูดของภาสกร ที่เคยคุยกันตั้งแต่เมื่อวันแรก ที่เขาประกอบวีรกรรมโอบอุ้มเธอให้พ้นจากการเสียหลักในวันนั้น เขาไม่อยากจะเชื่อว่าพรสวรรค์จะยังบริสุทธิ์และไร้เดียงสาได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ก็ได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาตั้งนาน โดยเฉพาะที่เมืองนั้น เมืองที่คนอย่างวารินทร์เลือกที่จะไปอยู่โดยทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ปรมัตถ์ก็ยังนึกถึงสิทธิส่วนตัวของพรสวรรค์อยู่บ้าง เพราะความผิดกันในปฏิกิริยานั่นเอง ที่ทำให้เขาต้องเอ่ยปากขอกับนักข่าวผู้ถือวิสาสะ

“ก็พี่กำลังขออนุญาตอยู่นี่ไงครับน้องคนสวย รูปร่างหน้าตาอย่างน้อง ถ้าคิดจะเขาวงการ พี่จะช่วยดันให้สุดๆ ไปเลย โทษทีครับ ไม่ทราบว่าน้องชื่ออะไร พี่จะได้ไปพาดหัวถูก”

ถ้อยคำเหล่านี้เขาหันมาพูดกับพรสวรรค์ เพราะรู้ดีว่าปรมัตถ์ไม่เคยปฏิเสธการเป็นข่าวมาแต่ไหนแต่ไร แต่ในถ้อยคำที่แฝงนัยไปทางอนาจารนั้น ไม่ใช่แค่พรสวรรค์ที่รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอีกมาก กระทั่งปรมัตถ์เองก็ยังรู้สึกไม่ดีกับถ้อยคำโลนๆ ของนายคนนี้

“เอาเป็นว่าผมขอได้ไหมครับพี่ เธอคงยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้”

“แต่มันอาจจะเป็นข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์เลยก็ได้นะครับ พี่รับรองเลยว่า ถ้าให้เล่มพี่เปิดประเด็น รับรองว่าอีกหลายฉบับต้องวิ่งตามข่าวนี้ด้วย”

อาจเป็นเพราะเขามีรูปอยู่ในมือก็เป็นได้ ถึงทำให้ยังกล้าต่อรอง จากนั้นก็มีอีกหลายเหตุผลที่ปรมัตถ์ยกมาร้องขอ แต่นายนักข่าวก็หาข้อมาหักล้างได้เสมอ พรสวรรค์เมินหน้าไปเสียทางอื่น ทั้งที่ยังตั้งใจฟังอยู่ว่า เรื่องราวจะลงเอยกันอย่างไร

วูบหนึ่งของความคิด พรสวรรค์ก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่เขากำลังปกป้องเธออยู่หรือเปล่านะ ครั้นพอมาถึงอีกประโยคหนึ่ง ความคิดดังนั้นก็พลันต้องดับวับไป

“ถ้าพี่จะเอาไปลงจริงๆ ผมว่ายัยนี่ต้องฟ้องร้องหนังสือของพี่แน่ๆ”

พรสวรรค์หันขวับกลับมา เธอไม่ได้มองหน้านักข่าวนั่นเลยสักนิด จ้องเขม็งมาที่ปรมัตถ์คนเดียวเท่านั้น

“ใช่สิ มันสิทธิของฉัน ถ้านายทำอะไรไม่ได้ ฉันก็จะจัดการเอง!”

เธอแทบตวาดใส่

“ยิ่งฟ้องก็ยิ่งดังนะครับน้อง เดี๋ยวนี้พวกอยากดังมีวิธีแปลกๆ เยอะไป อย่างที่น้องกำลังทำเป็นเล่นตัวนี่พี่ก็เคยเห็น เอาน่ะ...นะครับ ไว้ให้น้องเห็นรูปตัวเองได้ลงปกเสียก่อน แล้วน้องจะต้องขอบคุณในความปรารถนาดีของพี่”

ทว่านักข่าวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะความเชี่ยวกรำกับอาชีพของเขา ทำให้สามารถปั้นแต่งแง่มุมต่างๆ ให้เป็นเรื่องเป็นราว ที่เป็นประโยชน์แก่ตนได้ทั้งสิ้น

พรสวรรค์อยากจะเอากำปั้นทิ่มหน้านายคนนี้สักหลายๆ ที อยากจะกระชากกล้องรุ่นเทอะทะนั่น เหวี่ยงลงน้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอด ภาพที่ติดลบกับนักข่าวสายบันเทิงประเภทนี้ที่มีอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งเพิ่มดีกรีความรังเกียจขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่า

“ไอ้...  ไอ้พวกไม่มีจรรยาบรรณ ทำงานสื่อมวลชนประสาอะไร วันๆ ได้แต่ส่องเสือกเรื่องของชาวบ้าน อย่างงี้นี่เล่า ประเทศชาติมันถึงไม่ได้เคยมีข่าวสร้างสรรค์อะไรให้เห็น อยากจะเอาไปลงก็ตามใจ แล้วไปเจอกันในศาลก็แล้วกัน”

แล้วพรสวรรค์ก็สุดจะระงับอารมณ์ เธอถึงขั้นผวาเข้าไปจะทิ่มนายนั่นด้วยกำปั้นด้วยซ้ำ ยังดีที่ปรมัตถ์เข้ามากันไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นการทำร้ายร่างกายกันอย่างที่นายนักข่าวรอท่าอยู่แล้ว อาจทำให้เรื่องราวไม่จบสิ้นลงง่ายๆ

การเข้ามาแทรกกลางอย่างกะทันหัน ทำให้หมัดของพรสวรรค์กระแทกดังปึกเข้าที่สีข้างของปรมัตถ์ คนต่อยแอบสะใจเล็กน้อย ที่อย่างน้อยก็ได้ระบายอารมณ์ไปบ้าง แต่ตัวใหญ่ๆ ของนายนี่ ก็บดบังจนไม่ทันเห็นว่า ทำไมคนที่สมควรจะโดนจริงๆ ถึงโวยวายขึ้นมา

“เฮ้ย!...ฉิปหายแล้วไงล่ะ”

แล้วพอพรสวรรค์ตั้งใจดูให้ดี เธอก็เริ่มหัวเราะ แล้วก็หัวเราะอย่างหยุดไม่ได้ มันเป็นเสียงหัวเราะในแบบทั้งเย้ยหยันทั้งเหยียดหยาม และทั้งสมน้ำหน้าจากใจจริง แบบที่เธอไม่เคยหัวเราะได้สะใจเท่านี้มาก่อน

เพราะเครื่องดื่มทั้งสองแก้วเปียกชุ่มอยู่บนตัวของนายนั่น กล้องนั้นเหมือนถูกแก้วใบหนึ่งกระแทกด้วยซ้ำ เพราะเจ้าของเริ่มลูบคลำเลนส์ซูมหน้ากว้างที่แตกร้าว

ตอนที่ปรมัตถ์รีบวางแก้วลงบนโต๊ะ พรสวรรค์ทันได้เห็นว่าเขาหันมายิ้มให้เธอนิดหนึ่ง พร้อมกับการยักคิ้วอีกหนึ่งที ที่ทำให้เธอเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

“ผมต้องขอโทษพี่จริงๆ ครับ ยัยคนนี้เขาเป็นยังงี้ละครับ แค่คนรู้จักไม่ได้มีความหมายอะไร พี่อย่าใส่ใจเลย เรื่องกล้องเรื่องเสื้อผ้าพี่ ไว้ผมจัดการให้เองนะครับ ไปครับ... ผมว่าเราไปจัดการเรื่องเสื้อผ้าพี่ก่อนดีกว่า”

แล้วปรมัตถ์ก็ต้อนหน้าต้อนหลัง พาคนที่เพิ่งได้อาบน้ำส้มคั้นผสมกับยินโทนิค เดินกลับไปทางกลุ่มพวกพนักงานประจำเรือ

พรสวรรค์มองตาม ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า ทั้งหมดที่เขาทำลงไป ก็เพื่อที่จะปกป้องเธอ เธอเผลออมยิ้มอยู่คนเดียว กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่บริกรตัวจริงคนหนึ่งเดินมาเสิร์ฟน้ำส้มคั้นอีกแก้ว

“คุณผู้ชายท่านนั้นให้นำมาเสิร์ฟครับ”

เขาผายมือไปทางปรมัตถ์ ซึ่งเห็นอยู่ว่ากำลังยืนคุยอยู่กับผู้จัดการเรือ คงกำลังจัดการเรื่องเสื้อผ้าของนายนักข่าวนั่นอยู่กระมัง

พรสวรรค์รับแก้วเครื่องดื่มมาแต่โดยดี ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นุ่มตัวเดิม เมื่อนึกถึงความซวยซับซวยซ้อนของตัวเองแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ ทั้งหมดมันผิดตั้งแต่ตอนรับปากจะมากับพี่นภาด้วยกันนั่นทีเดียว




เรือลอยลำไปช้าๆ เหมือนไม่ได้แล่น เครื่องยนต์เดินเบาเหมือนลืมไปแล้วว่าหน้าที่ของมันคืออะไร ผ่านมาครึ่งชั่วโมง ก็ยังไปไม่ถึงที่หมาย ทั้งที่เห็นวิหารใหญ่ของวัดแรกที่จะไปนมัสการ นั้นอยู่ลิบๆ มานานเป็นสิบกว่านาที

เสียงเครื่องสายไทยหยุดเห่กล่อมไปแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นเสียงเปียโนเพราะพริ้ง เธอไม่แน่ใจว่าเป็นการแสดงสดหรือจากเสียงที่บันทึกเอาไว้ ท่วงทำนองเพลงนั้นอ่อนหวานชื่นเย็น แล้วก็ตามมาด้วยเนื้อร้องที่อ่อนหวานเสียยิ่งกว่า

          ...ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง... เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน...

           น้ำไหลไป มักไม่ไหลทวน.. ชีวิตเรา ไม่มีหวน...ไม่กลับทวนเหมือนกัน...*


เนื้อเพลงพาให้เธอได้ฉุกคิด แม้ไม่รู้ว่าตนเองจะผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากพอแล้วหรือยัง แต่กับประสบการณ์แห่งความรัก เธอเคยได้รับเต็มอิ่มมาแล้ว มันเป็นทั้งความดื่มด่ำล้ำลึกของความชื่นสุข และทั้งความระทมตรมทุกข์ เมื่อยามที่รักนั้นร้างลาจากไป

บางสายน้ำ อาจไหลไปไม่หวนคืนดั่งเนื้อเพลงที่ขับร้อง แต่กับลุ่มเจ้าพระยา แม้จะมีเวลาไหลทวนกลับ ก็แน่ใจได้เลยว่าอะไรสารพันในน้ำนั่นจะไม่เหมือนเดิม ความเป็นจริงดังนี้ ทำให้พรสวรรค์จำเป็นต้องคิด หากเขาของเธอคืนกลับมา เขาจะเป็นดั่งสายน้ำเจ้าพระยานี้หรือเปล่าหนอ

แล้วอีกหนึ่งวรรคทอง ก็หวนกลับเข้ามาในความทรงจำ กลบเสียงเนื้อร้องท่อนถัดมาจนแทบไม่ได้ยิน

          ...แล้วว่าอนิจจาความรัก
           พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล
           ได้แต่ไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไป
            ที่ไหนจะหวน...กลับคืน**


ข้อความนั้นมาจากถ้อยคำตัดพ้อในรักแรกของคนคู่หนึ่ง ที่สุดท้ายแม้จากความพลัดพรากจะได้กลับมาเป็นการพานพบ แต่ความสมรักสมหวังนั้นกลับไม่สมสุข ต่างคนต่างได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ไว้ในหัวใจ

“ไหว้พระสักหน่อยก็ดี เผื่อจะได้ลืมๆ อะไรๆ ไปซะบ้าง”

จังหวะที่พรสวรรค์คิดได้ดังนี้ ช่างพอดีกับบทเพลงที่เวียนซ้ำ

            ...เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า...เพราะว่าชีวา แสน สั้น
             ...เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน ...ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ...


นั่นสินะ ชีวิตของคนเรา แม้ไม่ได้รัก ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งแง่โกรธเกลียดกันเลยนี่นา นายนั่นก็คงไม่ได้เลวร้ายเหมือนอย่างที่พาลคิด ไม่แน่หรอก ภาวะจำยอมจำเป็นในวันนี้ อาจจะทำให้ได้รู้จักตัวตนของเขามากขึ้นก็เป็นได้...

เสียงเครื่องยนต์เริ่มครางดังขึ้น ลำเรือเริ่มบ่ายหน้าสู่ที่หมายพร้อมเร่งความเร็ว แต่นั่นยังไม่ได้ดังพอจะกลบเสียงเพลงท่อนสุดท้ายให้จางหายไป

            ...อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น... ...จงผูกพันรักกันด้วยใจ
             ...ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร... ที่เหินบินคู่กันไป... หัวใจ...คู่กัน


“พร้อมหรือยัง วัดแรกนี่สำคัญกับคนอย่างคุณมากเลยนะ”

แต่เป็นเสียงของนายปรมัตถ์นี่ต่างหาก ที่ทำลายความคิดฝันทั้งหมด

วิหารหลังใหญ่อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แถมยังได้บรรยากาศรวยรื่นชวนเย็นใจ ทั้งสายน้ำและสายลมก็ล้วนชื่นฉ่ำ จะมีก็แต่น้ำคำของนายปอประตูผีนี่แหละ ที่คงไม่คิดเปิดโอกาสให้ตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่นบ้างเลย

“คนไม่มีใครคบอย่างคุณ ไหว้หลวงพ่อโตวัดกัลยาณมิตรนี่แหละดีที่สุด”

“อีตาบ้า!!!”


                                     ***************


* เพลง ลุ่มเจ้าพระยา ประพันธ์เนื้อร้องโดย นารถ ถาวรบุตร
** อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ตอนนางจินตะหราตัดพ้อ เมื่ออิเหนาจะจากเมืองหมันหยา


แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 52 23:48:41

แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 52 23:32:58

แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 52 23:31:37

แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 52 23:30:23

แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 52 22:56:27

จากคุณ : SONG982
เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 52 22:56:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com