Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
((อาถรรพ์)) ตอน **ขวานอสูร** โดย ฟ้า พนมฉัตร  

ขวานอสูร  
อีกห้าวันก็จะหนึ่งเดือนแล้ว   คณะธุดงค์โดยการนำของหลวงปู่แพงตา ยังเดินรอนแรมกันอยู่ในท่ามกลางป่าดิบดงทึบ ขุนเขาสลับซับซ้อนสูงเสียดฟ้า ฉันผลไม้ป่า ใบไม้ป่าบางชนิด อาหารทิพย์จากเทวดา
ดื่มจากสายธารน้ำตก พอจะป่วยอาพาธก็ขบฉันสมุนไพรแก้ไข้แก้ปวด ซึ่งหลวงปู่ผู้ชำนาญไพรช่ำชองเรื่องสมุนไพรเป็นเยี่ยม การได้อยู่ในป่านานๆทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก คงจะเป็นด้วยอากาศที่บริสุทธิ์ กินของป่าที่ไร้สารพิษ ดวงจิตที่สงบเย็น วันๆก็เห็นแต่ดอกไม่ป่านาๆพันธุ์ สัตว์ป่านาๆชนิดเพลิดเพลินในสวนสัตว์ธรรมชาติ ที่แสนจะอัศจรรย์เหนือชั้นกว่าสวนสัตว์ที่หมู่มนุษย์สร้างขึ้นมาหลอกสัตว์หลอกเอาสตางค์คนเมืองที่ไม่เคยเห็นป่าจริงๆ โดยพากันออกล่าพรากลูกพรากแม่พรากครอบครัวของเหล่าสัตว์ป่า เอาไปคุมขังไว้ในกรงในป่าที่จำลองจำแลงกันขึ้นมา  และการที่ได้เดินทางไกลๆ ขึ้นเขาลงห้วยบุกป่าฝ่าดงนั้นเป็นการออกกำลังกายชั้นสุดยอดเลยหละ
ดวงตะวันบ่ายหน้าสู่เบื้องทิศตะวันตก เหลือเวลาอีกสักสี่ชั่วโมง ดวงสุริยะขัยก็จะเข้าสู่แดนสนธยาแล้ว ท้องฟ้าในฤดูเหมันต์แสนปลอดโปร่งเย็นสบาย   เส้นทางที่คณะธุดงค์กำลังเดินอยู่ในขณะนี้ เป็นที่ราบเชิงเขา สภาพของป่าเป็นป่าโปร่งแต่ก็ล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ห้าหกคนโอบหรือมากกว่านั้นและน้อยกว่านั้นด้วยสลับกันไป ต้นไม่แต่ละต้นมีลำต้นตรงสูงแหงนคอตั้งบ่า มันเป็นลักษณะของต้นไม้ในป่าดงดิบ สัตว์ป่าที่เห็นชุกชุมมากๆในบริเวณป่าแห่งนี้จะเป็นกระต่ายตัวใหญ่ๆ เท่าลูกหมู เก้งกวาง เนื้อทราย กระจง กระซู่ สมัน (สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยนานแล้ว) แต่ที่ป่าแห่งนี้ยังมีอยู่ชุกชุม วัวกระทิงตัวใหญ่ๆ และฝูงควายป่าเขาโง้ง เห็นเป็นฝูงใหญ่ เสือได้ยินเสียงร้องอยู่ไม่ห่าง เสียงร้องแปร๋นๆของโขลงช้างดังอยู่ทางทิศตะวันตก คงเป็นโขลงใหญ่พอควร เพราะได้ยินเสียงเดินเหยียบย่ำป่าดังสวบๆได้ยินมาถึงคณะเดินธุดงค์ชัดเจน “เราจะไปนั่งพักกันบนเนินเขาลูกโน้น” หลวงพ่อแพงตาผู้เป็นพระอาจารย์ใหญ่พูดขึ้นพร้อมกับชี้มือไปยังเนินเขาข้างหน้าที่อยู่ไม่ไกลนัก เนินเขาลูกนั้นประดับประดาไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นาๆพันธุ์ที่รู้จักและไม่รู้จัก มีเครือเขาเถาวัลย์เครือใหญ่เท่าท่อนขาของหลวงพ่อใหญ่ และที่เล็กที่สุดก็เท่ากับลำไผ่ตง ขึ้นพันเป็นเกลียวเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกันตามลำต้นและโคนต้นไม้ใหญ่สวยงามน่าขึ้นไปห้อยโหนและนั่งโล้ชิงช้าเล่น เหล่ากล้วยไม้ป่าหลากสีหลากพันธุ์ห้อยพวงระย้าลงมาจากค่าคบและตามลำต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่ดาษดื่น ส่งกลิ่นหอมรัญจวนจรุงไปทั่วผืนป่า ดอกว่านป่าสีสวยสดพันธุ์ต่างๆออกสีเข้มจัดจ้านตัดกับใบสีเขียวสด เช่น สีแดงสด ชมพูสด เหลืองสด น้ำเงินสด ดำเข้มจัด สีแดงจัดเหลื่อมชมพูจัดผสมสีขาวเจิดจ้า และอีกมีอีกมากกว่าคำบรรยาย ขึ้นเกลื่อนกล่นดารดาษตามพื้นดิน เหมือนดั่งเทพยุดานำมาปลูกแทนผืนพรมปูรองรับฝ่าเท้าสามหน่อพุทธางกูร
ถึงยอดเชิงเขาแล้ว   เลือกเอาโขดหินที่มีรูปร่างแปลกตาเป็นหมู่เป็นระเบียบคล้ายหมู่โต๊ะรับแขกในห้องรับแขกของบ้านมหาเศรษฐี ตั้งอยู่กันเป็นชุดภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมให้ร่มเงาเย็นสบายอยู่กลางเนินเขานั้น  มองลงไปเบื้องหน้าเห็นภูเขาใหญ่น้อยยืนเรียงสลับซับซ้อน เหมือนนักจัดสวนหินมือหนึ่งของโลก มาจัดตั้งเรียงหมู่หินไว้เป็นแถวเป็นแนวได้ระเบียบสวยงามไม่มีที่ติไว้ในป่าใหญ่ดงดิบแห่งนี้  เบื้องล่างแห่งเชิงเขาที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลนั้น   เป็นเหมือนท้องทุ่งที่กว้างใหญ่มีต้นไม้ขึ้นล้อมรอบคล้ายเป็นบึง
น้ำขนาดใหญ่ พื้นหญ้าสีเขียวสดมองคล้ายผืนพรมปูลาดเป็นบริเวณกว้างอยู่ด้านทิศตะวันออกของบึงใหญ่  ละอองหมอกสีขาวนวลลอยกระจายโอบกอดขุนเขา มองดูคล้ายภาพจิตรกรรมสีน้ำมันของนักจิตรกรระดับเอกของโลก “พวกเราจะพักกันตรงนี้สักครู่ รอให้เหตุการณ์บางอย่างผ่านไปแล้วพวกเราค่อยออกเดินทางกันต่อ” พระอาจารย์ใหญ่เอ่ยขึ้นหลังยกกระบอกน้ำขึ้นฉันแก้กระหาย สองศิษย์รู้ทันทีว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ จะต้องมีอะไรที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นเป็นแน่แท้ เพราะโดยปกติแล้วเวลาเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่หลวงพ่อจะพานั่งพัก หลวงพ่อมักจะบอกกับผู้ติดตามอยู่ตลอดแทบทุกเวลาว่า “คืบก็ป่า วาก็ป่า ทุกเขตทุกแดนทุกพื้นที่และทุกรอยก้าวในป่า  มันคือป่า การอดทนมุ่งหน้าเดินไปไม่หยุดพักคือสิ่งที่ต้องทำ” หลวงพ่อใหญ่เหมือนทราบถึงความสงสัยในใจของสองศิษย์ ท่านหันมายิ้มพร้อมใช้ผ้าขนหนูสีเหลืองหม่นผืนน้อยเช็ดเหงื่ออกจากใบหน้า มือซ้ายยกขึ้นชี้ไปข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงปกติว่า “พวกเจ้ามองดูท้องฟ้าที่อยู่ข้างหน้าของพวกเราสินั่นมันคืออะไร” โอ...อะไรนั่น..บนท้องฟ้าตำแหน่งที่หลวงพ่อพระอาจารย์ใหญ่ชี้ให้ดูนั้น เมื่อตะกี้นี้มีหมู่เมฆสีขาวนวลใยลอยบางๆกระจายไปทั่วผืนฟ้า บัดนี้เห็นหมู่มหาเมฆม้วนตัวเข้าหากันแบ่งเป็นสองกลุ่ม เมฆกลุ่มหนึ่งม้วนตัวมาด้านทิศตะวันออกเป็นหมู่เมฆสีขาวปนทองเลื่อมแดงจางๆ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมาจากทิศตะวันตกเป็นหมู่เมฆสีดำสนิทปนแดงเลือดสด ในระหว่างที่สองกองทัพแห่งหมู่มหาเมฆเคลื่อนตัวเข้าหานั้น ได้ก่อเกิดเสียงครืนๆเลื่อนลั่นกึกก้องสะท้านไปทั่วแผ่นฟ้าผืนป่าใหญ่และห้วงขุนเขา แลเมื่อพวกมันม้วนตัวเข้าปะทะกัน พลันก็เกิดเสียงดังกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นปานว่าผืนฟ้าด้านบูรพาทิศจะถล่มทลาย เกิดประกายสายฟ้าขนาดใหญ่มหึมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต วาบเปรี๊ยะเกิดลำแสงเส้นมหึมาสีแดงส้มปนขาวพุ่งฟาดลงมายังกลางป่าที่เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกล เกิดประกายไฟพวยพุ่งขึ้นที่ป่าแห่งนั้นวาบหนึ่ง แล้วตามด้วยกลุ่มควันสีขาวขุ่นค่อยๆลอยหมุนคว้างขึ้นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น เสียงครืนๆบึ่มๆคล้ายเสียงปืนครกกระแทกกระสุนพ้นออกจากปากกระอกๆดังสนั่นฟ้าติดๆกันสักครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เพียงไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เข้าสู่สภาวะปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นานๆน้อ..เจ้าอสูรจึงจะขว้างขวานโดนดวงแก้วของนางมณีเมขลาสักที  ถูกทีไรขวานวิเศษก็สิ้นฤทธิ์ทุกทีไปสิหน่า หึๆๆ”  ไม่ทันที่พวกลูกศิษย์จะเอ่ยถามถึงเรื่องราวเหตุการณ์อันระทึกขวัญที่ผ่านไปสดๆเมื่อสักครู่ หลวงพ่อผู้รู้ใจท่านก็ไขปริศนานั้นเสียแล้ว นี่แหละหนาความอัศจรรย์ของอำนาจพลังจิตของผู้บรรลุอริยมรรคธรรมแล้ว  “เอ้า..พวกเราออกเดินทางกันต่อเถอะ เดี๋ยวจะพาพวกเจ้าไปเอาของดีกัน” หลวงพ่อพระอาจารย์ใหญ่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ ท่านพูดอะไรครั้งใดไม่เคยครั้งไหนไม่มีเหตุผล เณรน้อยผู้อยู่ระหว่างการเดินทางมุ่งหน้าสู่อริยมรรคธรรม รู้สึกตื่นเต้นกับคำพูดของหลวงพ่อใหญ่ ในใจก็สุดจะลุ้นเหลือเกินว่าของดีที่พระอาจารย์ใหญ่กล่าวถึงนั้นมันคืออะไรกันแน่ เหตุการณ์อันแปลกประหลาดเมื่อสักครู่นี้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่หนอ สามผู้ทรงศีลลงจากเนินเขาเดินลัดเลาะไปตามช่องทางแคบๆที่ต้นไม้น้อยใหญ่เปิดหนทางอันคดเคี้ยวให้ไว้พอเดินได้ไม่ลำบากนัก    พระอาจารย์ใหญ่พาศิษย์ทั้งสองเดินมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่เกิดเหตุฟ้าผ่ากลางฤดูหนาวเมื่อสักครู่ ใช้เวลาชั่วหนึ่งก้านธูปดับพระอาจารย์ก็พาคณะมาถึงทุ่งหญ้าใหญ่ที่มองเห็นตอนที่นั่งพักอยู่บนเนินเขา ข้างหน้ามีต้นไม้ใหญ่ขนาดหกคนโอบถูกไฟไหม้เป็นตอตะโก ยังมีเปลวควันสีขุ่นขาวลอยคว้างออกจากลำต้นของมันประปราย มันคงถูกฟ้าลงทัณฑ์เมื่อครู่นี้เป็นแน่ เปลือกลำต้นมีรแผลลึกน่าจะถึงแก่นข้างใน รอยแผลแยกจากกันมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเกือบวาเป็นทางยาวจากปลายยอดลงมาถึงพื้นแผ่นดิน กลิ่นไฟไหม้ยังตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ “หลวงพ่อขอรับ ต้นไม้ต้นนี้ถูกฟ้าผ่าใช่ไหมขอรับ” “อื่อ......”หลวงพ่อใหญ่พยักหน้าแทนคำตอบลูกเณร แล้วท่านก็หันหน้าไปหาศิษย์ผู้น้องคือหลวงพ่อคำตาแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมชี้มือไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่งซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของท่าน ต้นไม้ต้นนี้มีความสูงและใหญ่น้อยกว่าต้นที่โดนสายฟ้าฟาดเล็กน้อย มันเป็นต้นประดู่ลายอยู่ห่างจากต้นที่ได้รับอุบัติเหตุไปสักสามสิบวา “ท่านคำตา ไปเอาของดีที่ต้นไม้ต้นนั้นสิ” สังเกตเห็นรอยแยกที่เปลือกมีขนาดสักหนึ่งศอกกาบเปลือกแตกกระจาย เหมือนถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่ใช้ฆ่าช้าง และที่น่าสนใจที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือมีรอยขีดบนพื้นดินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งฟุต เป็นทางยาวเริ่มต้นจากโคนต้นไม้ที่ถูกสายฟ้าพิฆาต ไปสิ้นสุดที่ต้นประดู่ลายใหญ่ต้นนั้น ระหว่างการเดินทางของรอยขีดปริศนามีรอยไหม้เกรียมเป็นทางยาวไปตลอด มันคือรอยอะไรกันแน่ละหนอ

แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 52 15:37:26

จากคุณ : สุริยะ จักรวาล
เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 15:33:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com