"ชีวิตที่แตกต่าง" เรื่องสั้นหัดเขียน ขอคำแนะนำครับ
|
|
"ชีวิตที่แตกต่าง"
ตีห้าครึ่งของเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา ในเช้ามืดวันจันทร์ ที่ปรอยฝนกำลังพรำ อย่างไม่ขาดสายและเหนื่อยล้า ซึ่งก็ยังมิได้หยุดพักเลยตั้งแต่เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา พื้นถนนที่เปียกลื่น อากาศภายนอกที่ขมุกขมัว ด้วยสายฝนและเปลวละออง ในช่วงกลางคิมหันตฤดู จริงๆ... ข้าพเจ้ามิได้ปดเลยสักนิด ก็นี่มันพึ่งปล ายเดือนเมษายนนี่เอง ใช่... บรรยากาศเช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้สำหรับช่วงเดือนนี้ แต่มันก็เป็นเช่นนี้มาได้สองสามวันแล้ว จนข้าพเจ้าพาลนึกสงสัยไปว่า เทวดาผู้ทำหน้าที่ในฤดูร้อนนี้ กำลังป่วยหนักหรืออย่างไร ถึงทำให้เทวดาท่านอื่นต้องมาทำหน้าที่แทน
ด้วยอากาศที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ คงทำให้ได้เป็นหวัดเป็นไข้ สุขภาพอ่อนแอ กันในหลายคน ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากกลับมาบ้านได้สองวัน เช้านี้ตื่นขึ้นมาข้าพเจ้าก็รู้สึกครั้นเนื้อ ครั้นตัว และมีอาการจามเป็นบางครั้ง แต่ก็ยังขับรถไหวได้สบาย แต่ถ้าหากมีอาการถึงขนาดลุกไม่ขึ้นข้าพเจ้าอาจจะขอเกงานสักวันคงไม่เป็นไร ถนนสี่เลน สายตรงมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ และด้วยบรรยากาศที่ยังมืดสลัวอยู่ ข้าพเจ้ามิอาจขับรถได้ไวนัก แต่จริงๆข้าพเจ้าก็มิได้เร่งรีบกระไร เนื่องจากอีกไม่กี่สิบยี่สิบนาที ข้าพเจ้าก็จะถึงที่ทำงานแล้ว ตามที่เคยขับเป็นประจำ ยวดยานบนถนนขณะนี้ก็มิได้ เพียบมากจนแน่นขนัด หรือติดขัดกระไร ออกจะว่างโล่งเสียด้วยซ้ำไป แต่ถ้าให้รออีกสักพัก ในเวลาที่ใกล้สองโมงเช้า บัดนั้นคงจะทำได้เพียงขยับเท้าเยียบเบรคสลับกับคันเร่ง ฟังข่าวเช้าในรถเป็นแน่ ดีที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับการเดินทางเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงออกจากบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งก็ไกลเพียงร้อยกิโลเมตรเท่านั้นเมื่อวัดระยะจากกรุงเทพฯ มาแต่เช้า ข้าพเจ้ากลับบ้านทุกวันศุกร์สุดสัปดาห์ และจะกลับมาทำงานในเช้าวันจันทร์ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะ ข้าพเจ้าเบื่อกับชีวิตในเมืองหลวง ก็เท่านั้น อากาศที่บริสุทธิ์ เสียงนก และท้องนา ความโปร่งโล่ง ความไม่แออัด ไม่ต้องเร่งรีบ จึงทำให้ข้าพเจ้าปรารถนาชีวิตแบบนั้น ในทุกวันหยุดที่ข้าพเจ้าได้รับ หรือจะเป็นเพราะข้าพเจ้าได้กลับไปปลูกต้นไม้ ดูแลสวน อยู่กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าชอบก็เป็นได้
สี่แยกไฟแดง ข้าพเจ้าหยุดรถ ต่อจากรถยนต์คันกระทัดรัด สีขาวข้างหน้า บัดนี้ทั้งสี่แยกมีเพียงเราสองคันเท่านั้น ข้าพเจ้านึกในใจ เขาน่าจะไปเลยนะ ไม่ต้องหยุดหรอก เพราะฝั่งถนนด้านอื่นก็ไม่ได้มีรถเลยสักคันนี่ ทำไมเราต้องรอด้วยหละ แต่นั้นมันก็แค่ความคิดชั่ววูบ ที่เข้ามาให้หัวสมองเพียงชั่วขณะเท่านั้น ข้าพเจ้ายินดีจะทำตามกติกาอยู่แล้ว แม้หากข้าพเจ้าเป็นคนขับรถยนต์คันหน้านั้นก็ตาม แยกไฟแดงนี้สินะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพึ่งได้ทำความดี โดยการช่วยเหลือผู้อื่น ข้าพเจ้ากำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่พานพบเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
.
วันนั้นในเลนถนนฝั่งตรงข้าม ขณะขับรถกลับบ้านเหมือนเช่นปกติ เรื่องเวลาไม่แน่ชัดนัก แต่ก็ไม่ได้มืดสนิท ตะวันยังโพล้เพล้พอมองเห็น คงราวๆสักหกโมงกว่าๆได้ ฝนไม่ได้ตกเหมือนเช่นวันนี้เลย รถยนต์ยวดยานบนท้องถนนก็หนาตาพอสมควร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นขาออก เช่นเดียวกันกับข้าพเจ้านั่นแหละ คงมีหลายคนที่เบื่อเมืองกรุงเหมือนข้าพเจ้าเช่นกัน
รถยนต์หลายคันกำลังติดไฟแดง รถคันข้าพเจ้าก็หนึ่งในนั้นเช่นกัน แถมเป็นคันที่อยู่หน้าสุดเสียด้วย ได้ออกตัวคันแรกแล้วเรา ฉิวแน่ ข้าพเจ้านึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เสียงเพลงของเครื่องเสียงในรถลอยกระทบแผ่วเบา นิ้วมือกระดิกเคาะเพลิดเพลินตามจังหวะ แอร์รถโปรยละลองความเย็นพอช่ำ ให้ข้าพเจ้าเย็นสบายๆ
รถยนต์แบบครอบครัวสีขาวคันใหญ่ บ่งบอกว่าผู้ขับมีฐานะพอสมควร หากมิได้หยิบยืมผู้อื่นมาใช้ มันจอดรอเลี้ยวขวา ติดกับด้านขวาของรถข้าพเจ้า กระจกด้านหน้าฝั่งซ้าย ถูกเปิดโล่งไว้ หมาน้อยขนปุย สีขาวน้ำตาล ตัวไม่ใหญ่นัก ข้าพเจ้าไม่สันทัดเลยเรื่องสายพันธุ์จึงไม่รู้ได้ว่ามันคือพันธุ์อะไร กำลังโพล่หัวออกมาด้านนอกตัวรถ และหันซ้ายแลขวา บ่งบอกอาการอยากรู้อยากเห็น มันดู สะอาดสะอ้าน ขนเนียนถูกตัดตกแต่ง ให้ดูสวย นัยว่าถูกเลี้ยงและดูแลอย่างดี จากเจ้าของ มันถูกอุ้มไว้ด้วยสาวน้อย พินิจวัยไม่น่าเกินเจ็ดขวบนัก ที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าซ้ายของคนขับ ข้าพเจ้ามิได้สนใจนักว่าคนขับ ลักษณะอย่างไร เพราะจดจ่ออยู่กับสัญญาณไฟ ที่กำลังจะเปลี่ยน มาเข้าทาง
วี๊ดๆๆๆ.... เสียงแหลมเล็ก ดังขึ้นพร้อมที่เจ้าม้าเหล็กข้าพเจ้าทะยานไปข้างหน้า แม้มิได้เปิดกระจกรถ แต่เสียงนั้นก็ยังสามารถแข่งกับเสียงเครื่องยนต์และดังลอดผ่านเข้ามาจนทำให้ข้าพเจ้าตกใจ ข้าพเจ้าทำได้เพียงเหลือบมองไปที่กระจกมองข้างเท่านั้น อยากทราบว่าอะไรเกิดขึ้น รถยนต์สีขาวคันใหญ่ทะยานออกพร้อมกับข้าพเจ้าเช่นกัน ต่างกันเพียงทิศทางของมันที่เลี้ยวไปทางขวา สิ่งที่ปรากฏให้ข้าพเจ้าเห็นในกระจกมองข้างก็คือ หมาน้อยตัวงามในรถยนต์คันใหญ่เมื่อสักครู่ บัดนี้กำลังวิ่ง ซ้ายที ขวาที เพื่อหลบล้อรถยนต์ ที่วิ่งออกตัวตามข้าพเจ้ามา และที่เลี้ยวขวาตามรถยนต์คันใหญ่นั้นไป แว๊บหนึ่งในความคิด ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงโดนทับตายแน่เลย หากไม่มีใครเสนอยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ตัดสินใจ... ข้าพเจ้าเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อจอดรถ ชิดข้างทาง ก่อนเปิดประตูลงรถเดินย้อนกลับมา รถยนต์สีขาวคันใหญ่นั้น จอดสงบนิ่งชิดขอบทางเช่นเดียวกันในทางแยกด้านขวา สาวน้อยเมื่อซักครู่ ยืนอยู่ด้านท้ายรถ ส่งเสียงเอะอะ โวยวาย พร้อมร้องไห้ หญิงสาวคนหนึ่งยืนปลอบอยู่ใกล้กัน น้องปุ๊กปิ๊ก มานี่เร็ว มานี่เร็ว เธอส่งเสียงเรียก
เจ้าปุ๊กปิ๊ก ที่ข้าพเจ้ารู้ชื่อจากสาวน้อยเมื่อครู่นั้น บัดนี้ได้ทะยานพาตัวเองหลบล้อยางของมัจจุราชเหล็กขึ้นไปบนเกาะกลาง ทิศทางเลยมาทางที่ข้าพเจ้ายืน มันหันซ้ายแลขวาโดยไม่ตัดสินใจว่าจะไปทางใหน หากข้าพเจ้าคนเดียวคงจับไม่ได้แน่ ข้าพเจ้าคิดในใจ จึงหันซ้ายแลขวาเพื่อหาผู้ช่วยสักคน พี่ครับ ช่วยผมจับหมาหน่อย ข้าพเจ้าเอ่ยกับวินมอเตอร์ไซค์ ตรงสี่แยกนั้น ชายหนุ่ม สามคนลุกขึ้นพร้อมช่วยเหลือ
.
ข้าพเจ้ายื่นหมาน้อยที่อุ้มอยู่ให้กับเธอ นี่ครับน้องปุ๊กปิ๊กของหนู ขอบคุณคุณอามากเลยนะค่ะ เธอยกมือไหว้ข้าพเจ้าก่อนรับหมาไปอุ้มไว้ น้องปุ๊กปิ๊ก นี่ซนจริงๆเลย วันหลังจะไม่พามาเที่ยวด้วยแล้ว เธอต่อว่าหมาเล็กน้อย ขอบคุณมากนะคะ ถ้าคุณไม่ช่วย ไม่รู้จะทำอย่างไร หญิงสาวเอ่ยขอบคุณข้าพเจ้า ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าพเจ้าสนทนาตอบ ต้องขอบคุณ พี่ๆ วินมอเตอร์ไซค์ด้วยหนะครับ ไม่ได้พวกพี่เขาช่วย ผมคนเดียวคงไม่ได้ ข้าพเจ้าชี้มือไปทางกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ช่วยเหลือ ไม่มีอะไรผมขอตัวนะครับ ข้าพเจ้ากล่าวลา สองสาวต่างวัย กล่าวขอบคุณข้าพเจ้าอีกครั้งก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินกลับ หลังจากนั้นข้าพเจ้าขับรถกลับบ้านด้วยหัวใจที่พองโต เอิบอิ่ม ในความรู้สึกดีที่ได้ช่วยชีวิต ชีวิตหนึ่งให้รอดพ้นจากมัจจุราช
.
ฟ้าแจ้งแล้ว แต่เม็ดฝนก็ยังคงตกพรำ อากาศก็มิใช่ว่าจะปรอดโปร่งนัก ยังคงขมุกขมัวเช่นเดิมเหมือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่ทัศนะในการมองเห็นดีขึ้นเท่านั้นเอง ยวดยานบนท้องถนนเริ่มมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังถือว่าน้อยอยู่ดี ข้าพเจ้าเร่งความเร็วขึ้น เพราะรู้สึกถึงอาการไข้ ที่เริ่มรับรู้มาตั้งแต่เช้า ปราถนาเพียงว่าถึงที่ทำงานแล้วทานยาสักเม็ดก็คงจะไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ถึงออฟฟิศแล้วเรา ข้าพเจ้าคิดในใจ แม้จะเริ่มปวดหัวบางขณะเวลาบ้างแล้วก็ตาม ด้วยอาการเช่นนี้ แอร์ในรถยนต์จึงถูกลดความเย็นลงมาต่ำที่สุด เพราะเนื่องจากฝนตก ข้าพเจ้าเลยมิอาจเปิดหน้าต่างรถเพื่อปิดแอร์ ได้ และเพราะการที่ยังไม่มีรถบนถนนมากนัก ทำให้ข้าพเจ้าเร่งความเร็วขึ้นได้แตะระดับ เฉียดร้อยของเข็มไมค์บนหน้าปัด ความคิดมีเพียงว่ารีบไปให้ถึงที่ทำงานเท่านั้น
เฮ้ย ข้าพเจ้าอุทาน ปริ๊นๆๆๆๆๆ เสียงแตรยาวดังด้วยมือที่กดโดยสุดแรง พร้อมเท้าที่ถอนจากคันเร่งเปลี่ยนมาแตะคันเบรคแทน แต่ด้วยความเร็ว และถนนที่เปียกลื่นด้วยน้ำฝน ข้าพเจ้าไม่สามารถหยุดเจ้าม้าเหล็กของข้าพเจ้าตัวนี้ได้ทันทีในขณะนั้น แถมมันกำลังจะพาข้าพเจ้าตกถนนไปพร้อมกับมันเสียด้วยซ้ำ หากข้าพเจ้ายังขืนดื้อดึงเหยียบเบรคต่อไป เพราะสภาพรถจะไร้การควบคุม ข้าพเจ้าถอนเท้าที่แตะเบรคเมื่อสักครู่ และพยายามบังคับพวงมาลัยให้ไปตรงๆปล่อยให้อะไรๆที่กำลังจะเกิดขึ้นมันดำเนินต่อไป
พลั๊ก เสียงเหมือนของหนักสักชิ้น กระทบกับกันชนด้านซ้ายหน้ารถ มันลอยกระเด็นไปสักสองถึงสามเมตร ก่อนตกลงไปข้างทาง
เจ้าม้าเหล็กถูกบังคับให้แน่นิ่ง ชิดไหล่ทางด้านซ้าย เลยจากตรงนั้นมาสักสิบเมตร หัวใจข้าพเจ้าหล่นลงไปกองรวมอยู่กับคันเร่งและคันเบรคของมัน ความรู้สึกตกใจและกลัวเกิดขึ้นในความคิด สองฝ่ายความคิดเริ่มแย้งและทะเลาะกัน ก่อตัวขึ้นในลำดับถัดมา ลงไปดูหน่อยเป็นไรไป ความคิดด้านดีออกความเห็น ช่างมันเถอะ ไปเหอะยิ่งไม่สบายอยู่ จะได้ถึงออฟฟิศไวๆ ความคิดด้านมืดมันแย้งทัดทาน ฝนยังคงตกพรำๆอยู่ไม่ขาดสาย รถยนต์หลายคันชลอตัวเพื่อแวะดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเลยผ่านไป
เอาว่ะ ไปดูสักหน่อย ข้าพเจ้าเปิดประตูรถและเดินย้อนกลับไปยังข้างทางตรงที่เกิดเหตุนั้น
ร่างหนึ่งนอนสงบนิ่ง ไม่ไหวติงแม้เพียงเล็กน้อย ภาพที่เห็นทางสายตา คือร่างที่นอนเหยียดยาวพาดอยู่ในพงหญ้าริมข้างทาง ห่างจากขอบถนนไปสักเมตรกว่าๆ หากเพียงอีกนิดเดียวคงตกลงไปในคูริมถนน ที่น้ำเจิงนองเกือบเต็มตลิ่ง ไร้ทีท่าว่าจะส่งเสียงร้องหรือขยับเขยื้อนกายแม้แต่น้อย ในนาทีนี้คงไม่ต้องเรียกรถพยาบาล หรือพาไปโรงหมอให้เสียเวลา มันสายไปเสียแล้ว เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักออกทางปาก จมูก และบาดแผลหลายแห่ง ตามร่างกาย ปากเผยออ้าพร้อมลิ้นที่ไหลกองอยู่นอกริมฝีปาก เปลือกตาที่ปิดสนิท สายฝนที่สาดรดทำให้เลือดสีแดงไหลปนสายฝนอยู่มิขาด แต่ข้าพเจ้าก็ยังพอมองเห็นสภาพผอมโซ ไร้เนื้อหนัง และสีขนน้ำตาลกระดกระด่างที่เปียกน้ำ มอมแมม
ข้าพเจ้ายกมือไหว้ และหันหลังเดินกลับ ปล่อยให้ร่างไร้ลมหายใจนั้น เป็นไปตามยถากรรมของมัน หวนนึกถึงเจ้าปุ๊กปิ๊ก หมาตัวงามและโชคดี
อโหสิกรรม......
จากคุณ |
:
ดอกหญ้า บนทางดิน
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ต.ค. 52 12:08:10
|
|
|
|