|
ความคิดเห็นที่ 8 |
หลักของ '"Work Made For Hire" (ขออนุญาตเรียกสั้น ๆ ว่า WFH นะคะ) เป็นหลักสากลที่ยกเว้นหลักลิขสิทธิ์เป็นของผู้สร้างสรรค์งานค่ะ
หลักการนี้ไม่ได้มีประเทศไทยประเทศเดียวที่ใช้ เนื่องจากเป็นหลักที่ปรากฎใน สนธิสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการปกป้องงานวรรณกรรมและงานศิลปะ (Berne Convention for the Protection of Literary and Artistic Works) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา โดยหลักการที่ว่าอาจใช้ชื่อเรียกต่าง ๆ กันไป เช่น Work For Hire หรือ corporate authorship เป็นต้น
ยกตัวอย่างกฎหมายสหรัฐที่สอดคล้องกับมาตรา 10 ของไทยให้ดูก็แล้วกันค่ะ
Copyright Law of the United States of America (Chapter 2) Section 201 Ownership of copyrights
(b) Works Made for Hire.- In the case of a work made for hire, the employer or other person for whom the work was prepared is considered the author for purposes of this title, and, unless the parties have expressly agreed otherwise in a written instrument signed by them, owns all of the rights comprised in the copyright.
ที่ขีดเส้นใต้ เป็นส่วนที่ขีดไว้เองเพื่อเน้นข้อความ ส่วนความหมายและขอบเขตของ WFH ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.copyright.gov/title17/92chap1.html#101
ในมาตรา 10 พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ก็มีเนื้อหาอย่างเดียวกันว่า
"งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่น ให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และผู้ว่าจ้างจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น"
ถ้าให้แก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยตรงนี้ เห็นทีคงเป็นเรื่องใหญ่เลยละค่ะ ^ ^"
บทบัญญัตินี้ ไม่ได้บอกว่า งานที่ทำให้ผู้ว่าจ้าง 'ต้อง' เป็นลิขสิทธิ์ของผู้ว่าจ้าง ไม่สามารถตกลงเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้ว เพราะกฎหมายเปิดช่องให้ตกลงกันได้ ลิขสิทธิ์จึงจำไม่จำเป็นต้องตกเป็นของผู้ว่าจ้างเสมอไป เนื่องจากมีข้อยกเว้นของข้อยกเว้นอยู่ ดังในประเด็นจะคุยกันในส่วนถัดลงไปนี้
คุยกับคุณพีทนิดนึงนะคะ ที่บอกใน คห. 2 ว่า "กรณีที่ได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นเป็นลายลักษณ์อักษร ตามที่ระบุไว้ในประโยคสุดท้ายของมาตรา คือผู้สร้างสรรค์เซ็นยินยอมละทิ้งสิทธิ์ตามมาตรานี้เองครับ"
คือว่า มันตรงข้ามกันนิดหน่อยอย่างนี้ค่ะ
หลักทั่วไปของกฎหมายลิขสิทธิ์ เมื่อมีการสร้างสรรค์งานขึ้น ลิขสิทธิ์ในผลงานดังกล่าวย่อมเป็นของผู้สร้างสรรค์งานโดยอัตโนมัติ
แต่ เรื่อง WFH เป็น 'ข้อยกเว้น' ของหลักทั่วไปของกฎหมายลิขสิทธิ์
คือ ถ้ามีการจ้างให้ทำ ในลักษณะของการจ้างทำของ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่ตัวของ 'ของ' หรือ งานอันมีลิขสิทธิ์นั้นให้ตกเป็นลิขสิทธิ์ของนายจ้าง แทนที่จะให้เป็นของผู้สร้างสรรค์งานตามหลักทั่วไปที่เรารู้ ๆ กัน (ซึ่งเหตุผลก็เป็นอย่างที่คุณ SONG982 บอก คือ ผู้ว่าจ้างมีส่วนคิด มีส่วนสั่ง)
ฉะนั้น "การตกลงเป็นอย่างอื่น" จึงหมายถึง การตกลงที่ต่างไปจากหลัก WFH เช่น ผู้ว่าจ้างตกลงให้ลิขสิทธิ์เป็นของผู้รับจ้าง หรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ร่วมกัน แต่ถ้าไม่ได้ตกลงเอาไว้ ก็ให้ลิขสิทธิ์เป็นของผู้ว่าจ้างตามหลัก WFH หรือ มาตรา 10
อย่างไรก็ตาม แม้สร้างสรรค์งานแล้วลิขสิทธิ์ตกเป็นของผู้ว่าจ้างตาม มาตรา 10 แต่ผู้รับจ้างยังคงมี 'ธรรมสิทธิ์' (Moral Rights) ตามมาตรา 18 ที่คุณพีทยกมา สามารถบอกได้ว่า นี่คืองานที่ฉันสร้างสรรค์ขึ้น หรือเอาเป็น port folio เก็บไว้ไปแสดงให้คนอื่นดูว่าเคยทำงานนี้ ๆ มา ก็ไม่มีปัญหาอะไร หรือถ้าทางผู้รับจ้างเอางานที่สร้างสรรค์ไปใช้ ดัดแปลงในทางที่ไม่ดี ทำให้ผู้สร้างสรรค์เสียชื่อเสียง ผู้สร้างสรรค์งานก็สามารถห้ามเขาไม่ให้ทำได้ค่ะ
สำหรับคำถามของคุณ 666 ในความเห็นที่ 6 คำว่า นักเขียนประจำ นี่หมายความว่ายังไงอะคะ คือ มีงานประจำเป็นนักเขียน หรือเป็นลูกจ้างที่ทำงาน หรือทำหน้าที่เป็นนักเขียนประจำของบริษัทนั้นนี้
สมมุติว่า มีงานประจำเป็นนักเขียน แล้วเอาเรื่องไปส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณา ในกรณีนี้ไม่ใช่การ 'รับจ้าง' ตามมาตรา 10 ค่ะ เพราะเราเขียนงานแล้ว นำไปเสนอให้สำนักพิมพ์ดูว่า สนใจจะเอางานเราไปพิมพ์หรือเปล่า ทางสำนักพิมพ์ไม่ได้สั่งให้เราเขียนงานแบบนี้ ๆ ตามที่สำนักพิมพ์บอก
แต่ถ้าเป็นลูกจ้างหรือพนักงานที่ทำหน้าที่เขียนนั่นนี่ เช่น ทำงานเป็นคอลัมนิสต์ ได้เงินเดือนของสำนักพิมพ์ ก็ไม่ใช่ผู้รับจ้างอยู่ดีค่ะ เนื่องจากทางสำนักพิมพ์ที่เป็นนายจ้างก็ไม่ได้กำหนดหรือสั่งมาว่า เราต้องเขียนอะไร เขาแค่ต้องการให้เราเขียนบทความลงใน นสพ. เขาทุกวัน เราคิดเอง เขียนเอง ลิขสิทธิ์ในงานเขียนจึงเป็นของเรา ไม่ใช่สำนักพิมพ์
*จัดบรรทัดใหม่นิดนึงค่ะ
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 52 01:25:58
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 52 01:24:32
จากคุณ |
:
ปิยะรักษ์
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ต.ค. 52 01:23:36
|
|
|
|
|