น้ำตา.........ของพ่อ
|
|
น้ำตา...ของพ่อ
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น เตือนให้ผมได้รู้ว่าคนที่บ้านโทรมา เมื่อหยิบโทรศัพท์คู่กายขึ้นมาเลยได้เห็นว่าพ่อผมโทรมา ก็รับสาย
"หวัดดีครับพ่อ" (สำเนียงท้องถิ่นคนใต้)
"สบายดีมั้ยลูก มีอะไรไม่สบายใจ คุยกับพ่อบ้างก็ได้ เวลามีปัญหาก็โทรมาหาพ่อได้ ไม่ใช่ ปิดบังไม่กล้าเล่า หรือโทรเล่าแม่คนเดียว พ่อก็น้อยใจเป็นนะ"
พ่อผมพูด แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะ
ผมรู้ว่าพ่อผมเป็นห่วง แต่ก็เป็นความจริงกับสิ่งที่พ่อพูดมา ผมมักจะโทรหาแม่เสมอ ๆ เวลาที่ผมไม่สบายใจ หรือมีปัญหาอะไร ซึ่งบางเรื่องผมก็ไม่อยากให้พ่อต้องมากังวล ทั้งที่รู้ว่าพ่อห่วงผมมากเช่นกัน เหมือนกับที่แม่ห่วง
พ่ออายุ 63 ปี
พ่อเคยเป็นครู พ่อเป็นนายหนังตะลุง พ่อเป็นคนพูดน้อย พ่อเป็นคนใจเย็น พ่อมีแต่พี่น้องผู้ชาย พ่อมีลูกสาวคนเดียว พ่ออยากได้ลูกสาวอีกคน ตอนที่แม่ตั้งท้องผม พ่อเคยมีภรรยามาก่อน ที่จะแต่งงานกับแม่ผม พ่อมีลูกห้าคน จากภรรยา 2 คน ผมเป็นลูกคนสุดท้องของพ่อ
พ่อผมเป็น"ตำรวจ"
ปัจจุบันนี้พ่อลาออกจากตำรวจมาแล้ว
ตั้งแต่โตมา ผมเคยเห็นผู้ชายคนที่ผมเรียกว่า "พ่อ" น้ำตาตกเพียงไม่กี่ครั้ง
พ่อร้องไห้ ในวันที่พี่ชายคนโต ได้รับราชการเป็นตำรวจ สมความตั้งใจของพ่อ ทั่งที่พี่ชาย ไม่ใครจะเต็มใจนักในตอนแรก แต่พี่ชายก็ทำให้พ่อได้สมปรารถนา
พ่อร้องไห้ ในวันที่พี่ชายคนรอง ช็อคหมดสติ ต้องเข้าโรงพยาบาล โดยหมอก็ไม่รับรองว่าจะรอดหรือไม่ แต่พี่ชายก็กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง
พ่อร้องไห้ ในวันที่ลูกสาวคนเดียวของพ่อ สวมครุยรับปริญญา พ่วงเกียรตินิยมอันดับสอง พ่อปลาบปลื้มยินดี กับลูกสาวที่พ่อรักที่สุด สำเร็จการศึกษา เป็นคนแรกของครอบครัว ได้สวมชุดครุย
พ่อน้ำตาไหล อีกครั้ง เพราะผม
หลังจากที่ผมเรียนจบ ม.6 ก็ไปเรียนต่อระดับ ปวส. ที่วิทยาลัยในตัวจังหวัด
พฤศจิกายน 2544 ผมกลับบ้านในวันเสาร์ ตรงหน้ากระจก มีใบสมัครตำรวจวางอยู่ 1 ชุด ผมรู้ว่าพ่อซื้อมาวางไว้ ให้ผม ไปสมัคร สอบ เพื่อจะได้รับราชการตำรวจ แต่ใบสมัครชุดนั้นก็วางไว้อย่างนั้น จนเลยกำหนดระยะเวลาของการรับสมัคร
พฤศจิกายน 2545 ผมกลับบ้านในวันเสาร์เช่นเคย เหมือนที่เคยกลับบ้านในวันหยุด ใบสมัครตำรวจวางอยู่ 1 ชุด ตรงจุดเดิม ระยะเวลาเดิม แต่รอบนี้ผมหยิบมันขึ้นไปบนห้อง นั่งกรอกข้อมูล แล้วก็ไปสมัคร โดยพี่ชายเป็นคนพาไป หลังสมัครเรียบร้อย ไม่นานก็ถึงวันสอบ ผมก็ไปสอบข้อเขียนด้วยความเต็มใจ ทำข้อสอบทุกชุด เรื่อย ๆ จนเสร็จ
ผ่านไปเกือบเดือน ก็ถึงวันประกาศผลสอบสัมภาษณ์
พ่อเป็นคนโทรเช็คผลสอบ พ่อยิ้มออก เพราะผมสอบผ่านข้อเขียน ความหวังที่พ่ออยากให้ลูกชายเป็นตำรวจชัดเจนขึ้น พ่อมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าตลอดเวลา
แล้วก็ถึงวันสัมภาษณ์ พ่อจะให้พี่ชายไปเป็นเพื่อนผม แต่ผมบอกว่า ผมไปเองได้ แล้วผมก็ออกจากบ้านไป
ตอนเย็นผมกลับบ้าน พ่อนั่งรออยู่ในบ้าน ด้วยสีหน้านิ่ง พ่อไม่พูดอะไร จนผมเดินเลยพ่อไป แล้วพ่อก็เอ่ยปากพูดกับผม
"วันนี้ไปไหนมา ทำไมไม่ไปสอบสัมภาษณ์" พ่อถามผม
"ผมไม่อยากเป็นตำรวจ" ผมตอบพ่อสั้น ๆ ไม่กล้าสบตาพ่อ ยืนก้มหน้า
"รู้มั้ย ทำไมพ่ออยากให้เป็นตำรวจ เพราะว่ามันมั่นคง มันมีเกียรติ" พ่อพูดกับผม
"แต่ผมไม่อยากเป็นตำรวจ เพราะสิ่งที่ตำรวจจับกุมคนอื่นที่ทำผิดน่ะ ตำรวจก็ทำเองทั้งนั้น ไอ้สิ่งที่ว่าไม่ดี ๆ ตำรวจก็ทำ แล้วตำรวจจะไปจับคนอื่นได้ยังไง" ผมพูดออกไป
เพี๊ยะ.... ฝ่ามือของพ่อกระทบลงบนแก้มของผม
"แล้วที่ลูกโตมาได้ ไม่ใช่เพราะเงินเดือนตำรวจเหรอ ที่ส่งให้เรียน เลี้ยงมาให้โตขนาดนี้ มันไม่ใช่เพราะเงินเดือนอาชีพตำรวจเหรอ" พ่อพูดออกมา
แล้วพ่อก็เดินออกจากบ้านไป
ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ด้วยน้ำตานองหน้า ด้วยความเสียใจ ปวดใจ
ผมไม่ได้เสียใจที่โดนพ่อตบหน้า ผมไม่ได้เจ็บใจเพราะโดนพ่อทำโทษอย่างนั้น
แต่ผมเสียใจ เพราะ ผมเห็นน้ำตาของพ่อ ผมทำพ่อร้องไห้ ผมทำพ่อน้ำตาตก
ผมมันแย่ ผมเป็นลูกที่ไม่เอาไหน ผมเป็นลูกไม่ดี
ผมเดินขึ้นห้องไปทั้งน้ำตา
หลังจากนั้นพ่อก็แทบจะไม่คุยกับผมเลย ผมรู้ว่าพ่อเสียใจที่ผมพูดแบบนั้น
ผ่านไป 1 สัปดาห์
ผมกลับบ้านพร้อมแจ้งข่าวดีของผมว่าผมสอบติดที่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ดีใจมาก ที่สอบติด แต่ เมื่อคุยกับที่บ้าน ในขณะที่พ่อไม่ได้อยู่ในบ้านตอนนั้น
แม่ พี่สาว พี่ชาย ก็พูดว่า อย่าไปเรียนเลย ค่าเทอมมันแพง ค่าใช้จ่ายสูง ความหวัง ความฝัน ความดีใจของผมเริ่มหายไป ผมเข้าใจว่า หากผมไปเรียน มันก็คงเป็นภาระเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับที่บ้าน เพราะพ่อเป็นแค่ข้าราชตำรวจชั้นประทวน
ที่บ้านเราไม่มีเรือกสวนไร่นา หรือรายได้อื่น ๆ
ผมนั่งร้องไห้ หลังจากที่สารพัดจะหาเหตุผลใด ๆ มาอ้าง เพื่อให้ตัวเองได้ไปเรียนในมหาวิทยาลัย ที่ใครต่อใครหลายคนต้องการสอบ แย่งชิง เพื่อเข้าไปเป็นนักศึกษา แต่ผมกลับต้องสละสิทธิ์งั้นหรือ
แล้วพ่อก็เดินเข้าบ้านมา พร้อมพูดว่า
"ไปเรียน หยุดร้อง ไม่ต้องร้อง พ่อเป็นคนส่ง พ่อจะส่งให้เรียนเอง ไม่ต้องไปฟังคนอื่น"
นั่นเป็นประโยคที่ออกมาจากปากพ่อ หลังจากวันที่ผมทำพ่อน้ำตาตก แล้วพ่อก็เรียกผมไปพูดคุย ถามเรื่องที่จะไปเรียน
ในที่สุด วันลงทะเบียนพ่อก็เอาค่าเทอมมายื่นให้ผม
ระยะเวลาอีก 3 ปีที่ผมเรียน ปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น มันใช้ค่าใช้จ่ายมากมาย ซึ่งหลักสูตรให้เรียนแค่ 2 ปี แต่ผมดันใช้เวลาเกินไปอีก 1 ปีถึงจะจบปริญญาตรีใบนั้นได้ ด้วยความตั้งใจของพ่อ แม่ และพี่ ๆ
พ่อลาออกจากตำรวจในวันที่ผมบอกว่า "พ่อผมเรียนจบแล้ว"
วันรับปริญญา พ่อมาถ่ายรูปกับผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมเห็นพ่อมีความสุข พ่อคุยเล่นกับญาติ ๆ และผมด้วยอารมณ์ดี
กลับบ้าน ผมเข้าไปในห้องนอนพ่อ
ชุดครุยที่พับไว้เรียบร้อย พร้อมใบปริญญา
ผมวางทั้งสองสิ่งไว้บนเตียงนอนของพ่อกับแม่ แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งของอย่างหนึ่ง ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบมาดู
สมุดบันทึก ของพ่อนั่นเอง
"๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙"
วันนี้เป็นวันที่ "พ่อ" หมดภาระหน้าที่
"พ่อ" ได้ทำหน้าที่ของพ่ออย่างดีที่สุดแล้ว
วันนี้ลูกคนสุดท้องได้สำเร็จการศึกษา
"จันทร์" ๑๔ พ.ย. ๔๙
"ขอบคุณครับพ่อ ที่ส่งเสีย อบรม เลี้ยงดู ลูกคนนี้เป็นอย่างดี"
จากคุณ |
:
รอยยิ้ม ณ ริมเล
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ต.ค. 52 11:28:18
|
|
|
|