เรื่องสั้น(เล่นๆ)คิดชื่อเรื่องไม่ออกงิ
|
|
แสงสีทองสว่างรัศมีของพระอาทิตย์จ้าวแห่งเวหา สาดส่องลงสู่ก้นบึ้งพื้นสมุทร ทำให้บรรดาเหล่าสรรพชีวิตใต้น้ำพากันตื่นขึ้นอย่างเกียจคร้าน ไม่เว้นแม้แต่เจ้างูยักษ์สีทองตัวโตที่ขดกายวนอยู่ภายในถ้ำข้างใต้มหาสีทันดรแห่งนี้ มันค่อยผงกชูเศียรของมันก่อนจะค่อยๆหลับตาลงบริกรรมคาถา สักพักแสงสีทองพวงพุ่งออกมาล้อมกายที่เต็มไปด้วยเกล็ดเลื่อมทองของมันให้ค่อยๆกลายเป็นมีผิวหนังอย่างมนุษย์ ลำหางขดใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นเรียวขาอันงามสง่าสองข้าง เกลียวลำตัวค่อยๆหดลงและแขนทั้งสองข้างงอกออกมา ก่อนที่เศียรของจ้าวอสรพิษจะแปรเปลี่ยนเป็นศีรษะของชายหนุ่มรูปงามเรือนผมสีดำดวงเนตรสีแดง ที่บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์อสรพิษ ผิวกายของชายหนุ่มเปล่งรัศมีสีทองสะท้อนน้ำอันบ่งบอกตระกูลว่าตนจัดอยู่พงศ์วิรูปักษ์พญานาคสีทองในตระกูลของท้าววิรูปักษ์จ้าวแห่งนาคทั้งหลาย ชายหนุ่มค่อยๆขยับกายลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะบริกรรมคาถาอีกครั้งเพื่อกลายร่างเป็นงูยักษ์ขนาดใหญ่แล้วทะยานขึ้นจากห้วงมหรรณพขึ้นสู่พื้นปฐพีโลกาเพื่อทำหน้าทีที่สำคัญที่ตนพึงกระทำ
เสียงสวดเทศนาดังกำจายไปทั่วทั้งวัดแห่งหนึ่งริมแม่น้ำซึ่งห่างไกลจากตัวเมือง แม้ว่าวัดแห่งนี้จะดูเก่าไปมากแต่ทว่ากระแสชนคนพุทธที่ยังคงศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าก็ยังคงพากันหลั่งไหลเข้ามาทำบุญด้วยจิตศรัทธาที่แท้จริงอย่างไม่ขาดสาย นงคราญสวยสะอาดตานางหนึ่งค่อยเดินเข้าวัดมาด้วยจิตใจสงบ ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้บริเวณโบสถ์แล้วกลับเห็นดวงตาสีแดงแวววาวที่ทั้งน่ากลัวน่าเกรงขามที่จ้องมองลงมาอย่างสนใจ เพียงครู่เดียวที่นางได้ละสายตาจากภาพดังกล่าว เมื่อหันกลับมามองอีกทีก็กลับไม่มีดวงเนตรคู่นั้นจึงพาลให้นางคิดว่าอาจจะตื่นเช้าเกินไปจนทำให้หูตาฝ้าฟาง นางจึงเลิกสนใจแล้วเดินเข้าโบสถ์ไปด้วยจิตศรัทธาเต็มเปี่ยมล้นในหทัย
สิ่งที่โยมเห็นนั้นเพราะแรงบุญที่โยมธรรมนั่นแล อย่าได้คิดว่าตัวโยมเองนั้นตาฝาดฝ้าฟางไปเลยเสียงของภิกษุผู้งดงามด้วยศีลจาวัตรดังขึ้นในโสตประสาทของพิมพ์อัปสรที่กำลังคุกเข่านั่งลงกราบท่านอยู่ตรงหน้าหลังจากที่ท่านได้เทศนาธรรมอันพระตถาคตเจ้าเคยได้แสดงในสมัยพุทธกาลจบลง
หลวงพ่อทราบได้อย่างไรเจ้าคะ ว่าอิฉันเห็นนางถามขึ้นด้วยความสงสัย ทว่าพระภิกษุรูปนั้นกลับไม่ตอบแต่ยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า
บารมีโยมแก่กล้ามากพอดู ถึงได้เห็นเขานะ บุญเก่าที่สั่งสมมาทำให้โยมได้เห็นเขา ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ เขาไม่ทำอะไรโยมหรอก เขามีหน้าที่ของเขา และหน้าที่ของเขาก็เป็นหน้าที่ที่สำคัญมากเสียด้วยหลวงพ่อตอบพลางหยิบหมากคำใหม่เข้าปาก
ว่าแต่ที่อิฉันเห็นคืออะไรหรือเจ้าคะพิมพ์อัปสรถามโดยที่มือยังคงไม่ลดจากการกระพุ่มไหว้ภิกษุตรงหน้า
จ้าวแห่งอสรพิษ เขาทำหน้าที่เฝ้าพระบรมสารีริกธาตุสิ้นเสียงหลวงพ่อ ทำเอาพิมพ์อัปสรรู้สึกขนลุกชูชัน ในใจไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เพียงแต่ปลาบปลื้มปีติยินดีที่ตนมีบุญพอที่จะได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าพญานาค!!!
ด้านเจ้าของดวงเนตรสีแดงเรือนกายเลื่อมสีทองค่อยๆคลานเลื้อยผ่านปกป้องดูแลพระบรมสารีริกธาตุ ชะเง้อคอมองเจ้าของดวงหน้าสวยสะอาดตาเมื่อสักครู่ที่ตนได้ประสบพานพบ ใจกระตุกไหววาบหวามในความสวยงามของมนุษย์สาวนางนั้น แต่ด้วยจิตใต้สำนึกที่ได้ย้ำเตือนให้ลดละเลิกซึ่งกิเลสทั้งมวลเพื่อที่จะได้บรรลุนิพพานอันเป็นสิ่งที่ตนยึดถือเป็นสรณะ ทำให้จ้าวแห่งอสรพิษค่อยๆถอนปัสสาสะเข้าออกดวงจิตรำลึกภาวนาอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าออกว่าพุทโธอยู่เนืองๆ จวบจนเวลาใกล้ค่ำลงแล้วนาคหนุ่มผู้มีหน้าที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุมาหลายร้อยปีจึงออกจากการทำสมาธิ แล้วเตรียมตัวจะกลับยังถิ่นพำนัก ทว่าการเลื้อยคลานของนาคหนุ่มกับชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบแสดงเสียงฝีเท้าว่ามีคนเดินผ่านมา
จะกลับแล้วหรือโยมน้ำเสียงเจือเมตตาเต็มเปี่ยมของพระภิกษุชราที่ดังขึ้น ทำให้เจ้านาคหนุ่มรีบแปลงกายให้อยู่ในรูปมานพน้อยรูปงาม มานพแปลงค่อยๆเดินเข้าคุกเข่าก้มลงกราบพระภิกษุรูปนั้น
ขอรับ
อย่าเพิ่งรีบกลับเลยนะโยม ให้อาตมาเทศน์ให้ฟังเสียหน่อยจักได้เป็นแนวทางให้โยมได้ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้ได้หลุดพ้นจากวัฏสงสารภิกษุรูปนั้นกล่าว
ขอบพระคุณ ขอรับ ข้ายินดีมากที่หลวงพ่อจักเทศนาพระธรรมอันเป็นดวงแก้วที่สำคัญหนึ่งปัจจัยของพระรัตนตรัยนาคหนุ่มพนมมือก้มลงกราบพระภิกษุชราด้วยความยินดี
โยมนาคเอ้ย อาตมาจะเทศนาโยมในเรื่องของกิเลสอันเป็นบ่วงที่ยากจักฉุดให้หลุดพ้นเมื่อโยมตกอยู่ในวังวนของมันหลวงพ่อกล่าวพลางสบตาสีแดงอย่างคนรู้แจ้ง
อย่าได้สงสัยว่าทำไมอาตมาถึงเทศน์เรื่องนี้ให้แก่โยม โยมย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้จิตใจโยมไขว้เขวไป แม้จะเล็กน้อยแต่หากวันหนึ่งมันลามขึ้นมาราวกับไฟป่า ไฟนั้นแลที่จะทำลายตัวโยมเอง ทำให้โยมไม่ได้พบพานกับหนทางสว่างรู้แจ้ง
ขอรับมานพน้อยแปลงพยักหน้ารับ ก่อนจะมองหน้าภิกษุชราตรงหน้าด้วยความศรัทธาที่คูณเท่าเป็นพันทวี
กิเลส คือ สิ่งที่แฝงติดอยู่ในจิตใจ แล้วทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว อุปมาประหนึ่งว่าจิตใจของโยมคือน้ำสะอาดบริสุทธิ์แต่เมื่อปนเปื้อนไปด้วยสีแม้จะเพียงหยดน้อยเพียงหยดเดียวแต่ก็ทำให้น้ำใสสะอาดนั้นเปลี่ยนไป ไม่กลับมาใสสะอดดังเดิม นั่นก็เปรียบสีนั้นคือกิเลสนะโยมเอ้ย
ส่วนกิเลสที่มักชอบซุกหมักหมมอยู่ในใจมนุษย์หรือสัตว์มากที่สุดก็คงไม่พ้น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะเพราะกิเลสชอบซุกหมักหมมอยู่ในใจของคน จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสาสวะ หรือ อาสวกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตใจหลวงพ่อเว้นวรรคเพียงชั่วครู่หนึ่งก่อนจะว่าต่อไป
ประเภทของกิเลสนั้น พระตถาคตเจ้าพระองค์ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่าได้แก่ หนึ่งคือ อโนตัปปะ คือ ความรู้สึกไม่เกรงกลัวต่อการทำทุจริต คือไม่เกรงกลัวการทำสิ่งที่ไม่ผิดบาป
สอง โทสะ คือ ความโมโห โกรธ หรือความไม่พอใจ ข้อนี้โยมต้องระวังให้จงนัก เพราะด้วยตามสัญชาตญาณของโยมผู้เป็นจ้าวแห่งอสรพิษมักจะเป็นพวกโมโหง่าย โยมควรยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง
สาม โมหะ ความหลงใหล หรือ ความโง่ ข้อนี้โมหะพวกนี้หากยึดครอบงำจิตใจแล้ว จักทำให้ยากนักที่จักหลุดพ้น
สี่ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา อารมณ์มักเกิดขึ้นได้เสมอ แม้โยมจักทำกรรมฐานอยู่ก็ตาม หากสิ่งหนึ่งที่สามารถป้องกัน อุทธัจจะได้คืออะไรรู้ไหมโยมหลวงพ่อหันมาเป็นฝ่ายถามมานพแปลงตรงหน้าบ้าง
สติ ขอรับ
ใช่แล้ว โยม สติ หากโยมมีสติ อุทธัจจะก็จะไม่สามารถมาแผ้วพานดวงจิตของโยมได้ เอาละ ต่อมา คือ ทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ อุปมาเหมือนสำนวนที่ว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนั้นแล
หก วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ หรือลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ เช่น มนุษย์บางคนมีจิตใจเคลือบแคลงสงสัยในธรรมที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสสั่งสอน ไม่ยอมน้อมนำไปปฏิบัติ ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติแล้วดี ปฏิบัติแล้วชอบภิกษุชราพักกระแอมชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวเทศนาต่อไปว่า
เจ็ด โลภะ ข้อนี้โยมก็ควรพึงระวังให้จงหนักเช่นกัน เพราะวันนี้โยมก็เกือบไขว้เขวไป เพราะกิเลสตัวนี้ โลภะนั้นก็คือ ความพอใจ ชอบใจ เต็มใจในโลกียรมณ์ต่างๆ ต่อมา แปด ถีนะ ความหดหู่ หรือเงียบเหงา อารมณ์นี้ก็เป็นหนึ่งในอารมณ์ของกิเลส
เก้า อหิริกะ ความไม่ละอายต่อการทำผิดบาป หรือ ทุจริต คือ ไม่มีความละอายใจแม้ได้กระทำบาปไปแล้ว ก็ยังไม่มีความสำนึกในการกระทำนั้น แลสุดท้าย มานะ คือความทะนงตัว ถือตัว เย่อหยิ่ง นี่ก็เป็นหนึ่งในอารมณ์ของกิเลส เอาละ เห็นทีอาตมาจักต้องไปเจริญสมาธิเสียที ขอให้โยมตั้งใจให้แน่วแน่ในทางปฏิบัตินะโยม แล้วโยมจักพบเห็นทางในการหลุดพ้นสิ้นเสียงพระภิกษุชรา มานพน้อยแปลงตรงหน้าก็ก้มลงกราบพระภิกษุด้วยท่าเบญจางคประดิษฐ์
ครั้นเมื่อลับกายพระภิกษุที่ท่านได้เดินทางเพื่อกลับยังกุฏิ มานพน้อยก็ค่อยๆพนมมือขึ้นบริกรรมคาถา ลำหางค่อยๆงอกออกมาแทนที่เรียวขาทั้งสอง ลำตัวละเลื่อมไปด้วยเกล็ดสีทอง และศีรษะเปลี่ยนเป็นเศียรของจ้าวอสรพิษ นาคหนุ่มค่อยๆเลื้อยกายลับก่อนจะพุ่งทะยานลงสู่ห้วงมหรรณพ เพื่อฝึกเจริญกรรมฐานให้พ้นจากการหลุดพ้น และรอเวลาให้พรุ่งนี้เช้ากลับมาทำหน้าที่เดิมอีกครา คือ ปกป้องดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุตามเดิม
..
พระภิกษุชราหันมาเหลียวมองทอดสายตาไปยังริมฝั่งแม่น้ำใกล้ๆกับวัดที่ลับหางขนาดใหญ่ของพญานาคที่ลงไปสักครู่ พลางยิ้มละไมด้วยความเมตตา เพราะกาลข้างหน้าตามที่ท่านนั่งกรรมฐานดูเมื่อตอนกลางวันนั้น นาคตนนี้จักหลุดพ้นจากวัฏสงสารเป็นแน่ ท่านจึงได้เดินมาเทศนาเพื่อให้จ้าวแห่งอสรพิษได้พบหนทางสว่างเร็วขึ้น สักพักภิกษุชรารูปนี้ก็ค่อยๆย่างเท้าก้าวขึ้นกุฏิเพื่อเจริญสมาธิภาวนาตามที่ตนได้บอกกับนาคตนนั้นไว้และเป็นวิสัยที่ท่านได้ปฏิบัติทุกค่ำคืน
แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 19:21:48
แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 19:04:11
จากคุณ |
:
อโยธยานารี
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ต.ค. 52 21:14:38
|
|
|
|