บลูเบอรี่เค้ก
|
|
1 สิบโมงตรง
นิอรทอดสายตามองออกไปที่ถนนนอกร้าน ตอนสายอย่างนี้ ศูนย์การค้ายังไม่ค่อยมีผู้คน แต่จะว่าไป ที่นี่ก็ไม่เคยคึกคัก ไม่ว่าเวลาไหน หญิงสาวถอนใจแล้วถามตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยว่า เธอคิดอย่างไรจึงตัดสินใจเปิดร้านเค้กที่นี่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน...คำตอบก็คือ ตอนนั้นเธอกำลังเคว้งหลังถูกบีบให้ลาออกจากบริษัทโฆษณา ด้วยเหตุผลว่าบุคลิกนุ่มนิ่มไม่เหมาะกับงาน พอมาเจอห้องว่างในศูนย์การค้าเปิดใหม่ที่เป็นตึกเล็กสองชั้นโปร่งตา สร้างล้อมรอบสวนสวยและค่าเช่าไม่แพง ก็เลยรีบจ่ายมัดจำค่าเช่าทันที นิอรพอจะมีฝีมือทำเค้กและขนมอบ ไปเรียนชงกาแฟเพิ่มเติมอีกหน่อย ร้านก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เธอประหยัดเงินด้วยการตกแต่งอย่างเรียบง่าย ใช้กระจกกั้นเป็นฝา มองออกไปเห็นสวนน่ารัก วางโซฟากับโต๊ะสีขาวและหมอนอิงอ้วนๆ ลายดอกไม้ แรกทีเดียว เธอคิดว่า ถึงศูนย์การค้าจะอยู่ชานเมือง ก็น่าจะมีลูกค้าไม่น้อย แต่หนึ่งเดือนผ่านไป ลูกค้าประจำก็ยังไม่มากเท่าที่ควร อาจเพราะร้านค้าอื่นๆ ในศูนย์ไม่น่าสนใจ พิษเศรษฐกิจ หรืออะไรก็ตาม ตอนสายอย่างนี้ มีแต่เพื่อนบ้านอย่างช่างทำผม และเจ้าของร้านเสื้อ ที่แวะมาสั่งกาแฟปั่นแล้วก็ถือไปดื่มที่ร้าน ลูกค้าอื่นที่พอจะมี ก็คือกลุ่มแม่บ้านญี่ปุ่นที่มานั่งจิบชาคุยกัน กับผู้ปกครองที่มาเฝ้าลูกเรียนพิเศษ สาวๆ ที่อาจผ่านมาทำผมทำเล็บ เดินดูเสื้อผ้าข้าวของ แล้วก็แวะซื้อเค้ก กับลูกค้าสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ตรงเวลาราวกับนาฬิกา และวันนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่นกกุ๊กกูเปิดประตูนาฬิกาแขวนผนังออกมาร้องบอกเวลาสิบโมงครึ่ง ร่างสูงก็ก้าวขึ้นบันไดหน้าร้านมา นิอรไม่ทราบหรอกว่าเขาชื่ออะไร ได้แต่แอบเรียกชายหนุ่มคนนี้ว่า ลี ดอง วุค เพราะบุคลิกหวานอบอุ่น สมกับที่เป็นคนชอบรับประทานขนม แล้วรูปร่างหน้าตาก็เข้าเค้า กล่าวคือสูงเพรียว ผิวขาวใสแต่ไม่จืด เพราะเครื่องหน้าคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง และที่สำคัญ นัยน์ตาของเขาสวยมาก ยิ่งไว้ผมยาว ซอยไล่ขอดปลายระต้นคอ ก็ยิ่งเหมือนวุคเข้าไปใหญ่ เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์และรองเท้ากีฬาหุ้มข้อเหมือนกับทุกวัน แต่นิอรก็มองได้ไม่เบื่อ เธอทายได้ว่า พอเปิดประตูกระจกหน้าร้านแล้ว เขาก็จะเหลือบตาคู่สวยมองมา ยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะสั่งเหมือนกันทุกวันว่า คาปูชิโน่ถ้วยหนึ่ง แล้วก็วาฟเฟิลไอศกรีมวนิลาครับ แล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟาโต๊ะในสุด หยิบแว่นกรอบสี่เหลี่ยมสีดำแบบ เนิร์ด ออกมาใส่ แล้วเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทำงานไปเงียบๆ นิอรดูแลร้านนี้คนเดียว และเคยรู้สึกเหงาบ้างเหมือนกัน แต่ละวันผ่านไปเชื่องช้าและมีแต่งานหนัก การอบเค้ก ทำขนมพายและชงกาแฟ อาจจะฟังดูน่ารัก แต่พอมาทำจริง ก็ต้องกวาดถูล้างถ้วยชาม ไหนจะกังวลว่าขนมจะขายหมดไหม คุ้มค่าเช่าหรือเปล่า เจ้าของร้านเค้กในฝันเลยเครียดบ้างเหมือนกัน แต่เมื่อมีวุคมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว การทำงานก็กลายเป็นความสุข หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า ชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับโน้ตบุ๊คที่โต๊ะในสุดนั้น ก็มีความสุขเหมือนกันที่จะมานั่งทำงานในร้านนี้ แรกทีเดียวกวินท์ยืนยันกับตัวเองว่ากลิ่นวาฟเฟิลร้อนๆ และเนยสดที่อบอวลไปทั่วร้าน ผสมกับความหอมกรุ่นจากกาแฟคั่วบดใหม่ๆ ทำให้สมองแล่นและทำงานได้ดี แต่ในที่สุด เขาก็ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ขนมหรอกที่ดึงดูดให้เขามาที่นี่ แต่เป็นเพราะคนที่อบขนมต่างหาก นัยน์ตาคู่สวยเหลือบแลไปทางเคาน์เตอร์ ที่เจ้าของร้านง่วนอยู่กับการทาเนยลงบนวาฟเฟิลก่อนจะตักไอศกรีมวางข้างบน นิอรสวยน่ารัก ผมหางม้าแกว่งไกวตามจังหวะการเคลื่อนไหว ริมฝีปากอิ่มนุ่มสีชมพูอ่อน แก้มใสอย่างคนสุขภาพดี และดวงตากลมโตคู่นั้นก็มักจะเป็นประกายแวววาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออบขนมหรือแต่งหน้าเค้กออกมาได้ถูกใจ ร่างเล็กๆ เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว และแต่งตัวสวยอยู่เสมอ เธอมักจะใส่ชุดกระโปรง คาดผ้ากันเปื้อน ดูเป็นผู้หญิงทั้งเนื้อทั้งตัว แถมยังหอมกลิ่นวนิลาอีกด้วย กวินท์ตัดสินใจแล้วว่า วันนี้เขาควรจะทำความรู้จักกับเธอเสียที หญิงสาวยกถาดวาฟเฟิลกับกาแฟมาเสิร์ฟให้ โดยไม่ได้คิดว่าเขาจะทักทาย เพราะทุกวันเขาก็จะรับประทานขนมดื่มกาแฟสักสองแก้ว ทำงานพักหนึ่งก็จ่ายเงินแล้วลุกออกไป เงียบเหมือนกับตอนเข้ามา นิอรจึงแทบสะดุ้ง เมื่อเขาทักขึ้นว่า วันนี้ไม่ทำเค้กหรือครับ คิดอยู่ว่าเดี๋ยวจะเข้าไปทำค่ะ เค้กช็อกโกแลตฟัดจ์ก็ดีนะ คุณทำอร่อย เขาชม คุณชอบหรือคะ ดวงตากลมโตเป็นประกายขึ้นทันที ก็...พอใช้ได้ ริมฝีปากบางยิ้มพราย นิอรเกือบเผลอค้อนเขาไปแล้ว แต่นึกได้ว่าชายหนุ่มเป็นลูกค้า คุณแทบไม่เคยสั่งขนมเค้กเลย เขามักจะเลือกรับประทานขนมอบร้อน อย่างวาฟเฟิลหรือโทสต์น้ำผึ้งมากกว่า ผม... ใครจะกล้าบอกล่ะว่าเค้กของเธออร่อยอยู่แค่ช็อกโกแลตฟัดจ์เท่านั้น! อย่างอื่นแค่พอทน ไม่รู้ว่าลูกค้าทั่วไปเคยบ่นให้เธอฟังบ้างหรือเปล่า...ผมชอบขนมอบใหม่ๆ เค้กของฉันก็อบใหม่ทุกวัน เธอเถียง บทสนทนาคงจะดำเนินต่อไปได้เป็นปกติ ถ้านิอรไม่เผลอสบตาคู่สวยของเขา และมองเห็นประกายยั่วล้อ กับอาการขำปนเอ็นดู ที่ทำให้เธอเขินจนต้องกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์ พร้อมกับพึมพำว่า ฉันต้องไปทำเค้กแล้วละค่ะ มีลูกค้าเข้ามาอีกสองโต๊ะ กวินท์เลยไม่ได้คุยกับเธออีก แต่ในวันต่อๆ มา ดูเหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เขาจะต้องทักทาย และถามว่าวันนี้เธอจะทำเค้กอะไรบ้าง เขาไม่เคยเอ่ยปากจีบเธอ แต่สายตาอบอุ่นอ่อนโยนคู่นั้นสื่อสารมากมายยิ่งกว่าคำพูด ที่จริง กวินท์ก็อึดอัดและอยากจะรุกเข้าไปมากกว่านี้ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แล้ววันหนึ่ง โอกาสก็มาถึง... วันนั้นเริ่มต้นอย่างปกติ เขาหอบงานมาทำที่ร้าน และเธอก็วุ่นวายอยู่ในเคาน์เตอร์ มีลูกค้าเข้ามาอีกสองโต๊ะ นิอรทำเครื่องดื่มตามคำสั่ง แล้วเข้าไปแต่งหน้าเค้กในครัว จังหวะนั้นเอง ที่ลูกค้าหนุ่มสาวสองคนเลี่ยงออกไปจากร้าน นิอรกลับออกมา และกวินท์ก็อดรนทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นไปกระซิบถามว่า โต๊ะนั้นเขาจ่ายเงินให้คุณหรือยัง หญิงสาวมองตาม สีหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ยัง...โอย...เขาไปกันแล้วหรือคะ... หนุ่มสาวทั้งคู่แต่งตัวดี สั่งขนมหลายอย่างและมีใส่กล่องกลับไปด้วย นิอรไม่อยากรบกวน จึงคิดว่ารอยให้เขาเรียกแล้วค่อยคิดเงิน ใครจะนึกว่าจะมาชักดาบกันง่ายๆ แบบนี้ ผมออกไปดูให้ คงยังไปไม่ไกล เขาผลักประตูออกไปอย่างว่องไว นิอรชะโงกมองผ่านกระจกด้านหลังร้าน พยายามระงับสติอารมณ์ ถ้าเธอโวยวาย ลูกค้าอื่นอาจจะตกใจได้ กวินท์ตามไปทันทั้งคู่ที่ลานจอดรถ เขาพูดเบาๆ ว่า ขอโทษนะครับ คุณลืมจ่ายค่าเค้กหรือเปล่าครับ สองคนนั้นทำหน้าตาเฉย จ่ายแล้วนี่ครับ ฝ่ายชายยืนยัน ทำท่าจะเดินหนี ยังนะ ผมว่าคุณคงลืม กวินท์เข้าไปขวาง ตอนนั้นเองที่นิอรวิ่งตามมา คุณ... กวินท์สั่นศรีษะนิดหนึ่ง จ้องทั้งสองคนไม่ลดละ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมแน่ๆ ผู้หญิงที่ยืนเงียบมาตลอดจึงพูดขึ้นว่า เราลืมจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษค่ะ เท่าไหร่คะ ห้าร้อยสามสิบบาทค่ะ นิอรตอบพร้อมกับถอนใจยาว คงไม่ดีนักถ้าจะมีเรื่องกัน และเธอก็เกรงใจกวินท์เหลือเกิน แบบนี้ก็มีด้วย กวินท์บ่นเบาๆ ระหว่างที่เดินกลับมาด้วยกัน นิอรชงกาแฟมาขอบคุณเขา รู้สึกอุ่นใจที่มีคนอยู่เป็นเพื่อน ร้านเค้กในศูนย์การค้าไม่น่าจะมีอันตราย แต่ก็ยังมีเรื่องให้ปวดหัวจนได้ เรื่องแบบนี้ออกไปบอกใครก็คงไม่มีคนเชื่อ ถ้าไม่มีกวินท์เธอก็อาจจะต้องยอมให้สองคนนั้นลอยนวลไป ผลพลอยได้อย่างหนึ่งของเหตุการณ์นี้ก็คือ นิอรกับกวินท์คุยกันมากขึ้น ในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่แค่ขนมหรือลูกค้า แต่ยังพูดเรื่องข่าวสารบ้านเมือง เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่พบเจอในแต่ละวัน เขากลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอในตอนนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของร้านไปแล้ว แม้เขาจะเข้ามาแค่วันละสองชั่วโมง จากที่แค่ออกความเห็น หรือถามถึงขนมเค้ก บางทีเวลาร้านอื่นในศูนย์สั่งกาแฟ แล้วนิอรมีลูกค้าอยู่ กวินท์ก็อาสาเดินไปส่งให้ จนสาวๆ แอบเรียกเขาว่า คอฟฟี่ ปริ๊นซ์ ลูกค้าประจำเริ่มมากขึ้น...อย่างวันนี้นิอรก็ยุ่งจนหัวหมุน หลายคนสั่งขนมอบร้อน แล้วยังต้องชงกาแฟ ปั่นชาเขียว ยกเอาไปเสิร์ฟ ขอส้อมเพิ่ม แล้วขอวิปครีมด้วยนะคะ แม่บ้านญี่ปุ่นพูดภาษาไทยตะกุกตะกักกลุ่มนี้มาอุดหนุนกันตั้งแต่แรก นิอรจึงเอาใจเป็นพิเศษ เธอก้าวเร็วๆ ไปที่เคาน์เตอร์ เกือบชนเข้ากับกวินท์ที่เก็บจานจากอีกโต๊ะมาวางพอดี ขอส้อมสองคันค่ะ นิอรบอกระหว่างที่กดวิปครีมจากขวดอัดแก๊ส ใส่ลงในถ้วยใบเล็ก กวินท์หยิบส้อมขึ้นมาถือไว้ แต่ยังไม่ส่งให้ จนนิอรต้องเงยหน้ามอง ตาสบกัน...แล้วก็เหมือนมีแค่สองคนในโลกส่วนตัว เขามองมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ ท้าทาย คล้ายจะถามว่า กล้าไหมล่ะ นิอรชะงัก นายวุคจับส้อมแบบนี้ ไม่มีที่เหลือให้เธอหยิบเลย ถ้าจะรับมาก็หมายถึงว่าต้องจับทับมือเขาน่ะซี! แต่ถ้าไม่รับ ก็เหมือนยอมแพ้ มือเรียวจับด้ามส้อมทับมือเขาไว้ คิดว่าเขาคงปล่อยให้ แต่กวินท์กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สบตาเธอนิ่งอีกอึดใจ และไม่รู้เป็นเพราะแสงเงาในร้านหรืออย่างไร ที่แก้มของเขาเหมือนจะเรื่อขึ้น ในที่สุด ชายหนุ่มก็ยอมคลายมือ นิอรก้มหน้างุด เดินไปหาลูกค้า ในขณะที่เขาหัวเราะหึๆ ปกปิดอาการหวั่นไหวที่ได้สัมผัสเธอเป็นครั้งแรก...
จากคุณ |
:
ยูสุ
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ต.ค. 52 02:46:21
A:125.24.177.54 X: TicketID:114273
|
|
|
|