 |
จีน...จนใจ
|
|
เมื่อแรกเรียนภาษาจีน คิดแค่ว่าอยากพูดได้ฟังออก เพราะความที่ชอบภาษาเท่านั้นเอง แล้วก็คิดว่าจะเรียน..จะเรียน...จะ มันอยู่นั่นแหละ ไม่ได้เรียนจริงๆจังๆซะที เวลาล่วงเลยไปนานโข...นานจนเกือบลืมไปแล้วว่าอยากเรียน เลยขอยกตัวเองเป็นอุทาหรณ์เพื่อบอกเพื่อนๆว่า อะไรก็ตามที่เราบอกว่า จะ มันมักจะไม่ได้ทำ อย่ากระนั้นเลย..ลงมือทำ ณ บัดนาว!!
ห้องเรียนสุขสันต์ของเรามีเหล่าซือ (คุณครูคนจีน) เป็นผู้หญิง...และเราๆนักเรียนซึ่งก็แทบจะเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ถ้าไม่เพราะมีชายหนุ่ม(หลง)มาเรียนกับเราถึง 3 คน เรียนได้ไม่กี่อาทิตย์ นักเรียนก็เริ่มหายไปทีละคนสองคน อะไรไม่เจ็บใจเท่าที่เราไม่สามารถรักษาชายหนุ่มทั้ง 3 คนไว้ได้ แม้จะประชุมเครียดกันหลายครั้งถึงกรรมวิธีที่จะทนุถนอมหนุ่มน้อยเหล่านั้นไว้เป็นขวัญใจ หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มที่นั่งข้างเรา หน้าตาฉลาด นิสัยน่ารัก เรียนวิศวะด้วย เสียดาย...เราแก่กว่า อิ อิ (คือจริงๆไม่อยากจะบอกเลยว่าเราก็ติดท๊อป 5 แก่สุดในห้องน่ะนะ) เราว่าถ้าเขาเรียนต่อไป เขาต้องเก่งแน่นอน
แต่คงไม่มีใครน่าเสียดายเท่าหนุ่มน้อยหน้าตาเกาหลีวัยละอ่อน เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะเวลาพ่อหนุ่มคนนี้มาเรียนน่ะ เหล่าซือ(สาวสวย) ของเราจะอารมณ์ดีมั่กๆ ถ้าชั่วโมงไหนขาดมันไป...พวกเราเหมือนจะขาดใจ เพราะเหล่าซือจะซีเรียสเหลือเกิน ถาม-ตอบ ถาม-ตอบ อยู่นั่นแล้ว ไม่มีพักหายใจซักกะติ๊ด (ขอถอนหายใจก่อนนะ..เฮ้อ) คนมันหล่อช่วยไม่ได้ ฮ่า ฮ่า
ไม่ใช่ว่าเรานินทาเหล่าซือนา เราว่าถ้าเราเป็นเหล่าซือก็คงอาการประมาณนี้ สอนแต่ผู้หญิงน่ะ น่าเบื่อออก มีหนุ่มๆมาแจมก็ค่อยมีเรื่องให้เม้าท์กันมั่ง ความจริงเหล่าซือเราน่ะเป็นสาวมั่นมากๆ และที่สำคัญมีหวานใจแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น..สาวๆห้องเราไม่ได้หวั่นเลย เพียงแต่ไม่มีใครอยากยุ่งกะใคร แค่เรียนก็เวียนหัวจะตายอยู่แล้วอ่ะนะ
ปรากฏการณ์ที่เด็กเรียนๆแล้วหายไป เป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะภาษานี้ออกจะยากสักหน่อย ถ้าไม่มีความถึกพอก็ถอดใจกันได้ง่ายๆ สำหรับเรา..ไม่อยากอยู่บ้านนอกเฉยๆหายใจทิ้งไปวันๆ เข้ากรุงบ้างมันก็ยังดี แต่เพื่อนเราบางคนอยากเป็นเหล่าซือบ้าง อยากเรียนเอกภาษาจีนบ้าง อยากทำธุรกิจกับเมืองจีนบ้าง ดูเขาจริงจังกับการเรียนมากมายจนเราละอายใจ เว้นแต่...เจ๊ตุ้ยของเรา แกบอกว่าที่อยากเรียนเพราะจะได้มีโอกาสออกนอกบ้านบ้างหลังจากที่ต้องทำงานอยู่แต่ในบ้านตลอด (กิจการครอบครัวตัวเองเนี่ยนะ?) เราสองคนเลยเรียนแบบไม่เครียด โดยเฉพาะเราเองนั้น...เรียนไปก็ร้องมอ..มอ..ไปด้วย ฟังเหล่าซือสีซอได้ทุกทีไม่มีเบื่อ
ปีแรก...เวลาใครถามว่าไปเรียนภาษาจีน พูดได้แล้วหรือยัง? อ๋อ..ได้แล้ว หนีห่าว...ไจ้เจี้ยน (สวัสดี..แล้วเจอกัน) เพื่อนออกอาการชื่นชม
ปีที่สอง...พูดได้เยอะยัง? อืมม์ หนีห่าว...ไจ้เจี้ยน เพื่อนรอว่าจะพูดคำอื่นอีกมั้ย..แต่ก็เก้อ
ปีที่สาม....ก็ยัง หนีห่าว...ไจ้เจี้ยน อยู่ ก็บอกแล้วไงว่าฟังแต่เสียงซออยู่ทุกชั่วโมง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เรียนมั่งเล่นมั่งไปเรื่อยๆ เวลาพักคือเวลาเม้าท์ของเรา มีอยู่วันหนึ่ง...เราแอบออกมาเม้าท์เหล่าซือคนสวยว่าสอนเร็วและเร่งไปนิด หน้าโง่ๆอย่างพวกเราถึงได้เรียนกันไม่รู้เรื่อง เจ๊ตุ้ยเราออกท่าออกทางล้อเลียนจนพวกเราฮา ไหนได้...พอกลับเข้าห้องเรียน เหล่าซือเราหน้าตึงทีเดียว...ว่าไม่ชอบวิธีที่เหล่าซือสอนหรือ? ถ้าไม่สอนแบบนี้เมื่อไหร่จะเป็นกันล่ะ? ไอ้หยา!!!...รู้ได้ไงวะเนี่ยว่าพวกเราแอบนินทาแก ผลการสืบสวนสอบสวน..ปรากฏว่ามีเหล่าซือไส้ศึก (ตุ้ยตั้งฉายาให้) คาบข่าวไปบอก แหม...แค่เม้าท์กันหนุกๆไม่น่าฟัองเลยอ่ะ..เลยกร่อยเลย
โถ...เหล่าซือขา ยังไงพวกหนูก็ยังเรียนกันมาจนป่านนี้นะคะ..ไม่ได้หนีหายไปเฉยๆ ถึกกว่าพวกหนูคงไม่มีอีกแล้ว
การที่มีคนเข้าๆออกๆอยู่เป็นเนืองนิตย์ เวลาใครหน้าใหม่มาเราก็อดจะพนันกันไม่ได้ว่าคนใหม่จะทนเรียนอย่างโหด มัน ฮา กับเหล่าซือของเราได้นานแค่ไหน (พี่คะ...หนูมาเรียนนะคะ..ไม่ได้มาฝึกทหาร!!) มีทั้งที่มา 1 คอร์ส แล้วหายไป, 1 เดือน , 1 อาทิตย์ , 1 ชั่วโมง แต่ประทานโทษ...น้อยกว่านั้นก็ยังมี !!
หลังจากตื่นเต้นกันที่เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้จะพาชายหนุ่มคนหนึ่งมาฝากเรียน พวกเราแก๊งค์เก๋าเกมส์สุมหัวกันทันที (น้องมายด์ , น้องนุ่น , น้องตุ้ย, น้องญา , น้องกุ๊กไก่) มาแล้วครับ หัวเกรียน...ใส่กางเกงสีเลือดหมู ใครวะ? หน้าตาอัจฉริยะว่ะ เฮอะ เฮอะ ผู้ชาย อย่างนี้...ต้องฉลอง ยกป้ายเมืองแม่ม่ายออกชั่วคราว
เหล่าซือสอบถามเขาว่ามาจากไหน...ทำงานอะไร..ทำไมอยากเรียน..เคยเรียนมานานหรือยัง? เขาตอบ..เป็นจิ่งฉา (ตำรวจ) (ตอนนี้เราหันมาพยักเพยิดกันประมาณว่าเห็นมั้ย..ชั้นว่าแล้ว มาดมันต้องเป็นจิ่งฉาแหงๆ) อยากย้ายที่เรียนให้มันใกล้บ้านอีกหน่อย เรียนมา 2 ปีแล้วล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเรียน..อ้าว? (เราหันมาซุบซิบกันอีกว่า..สงสัยกรมตำรวจจะส่งให้ไปสืบราชการลับที่เมืองจีน)
แต่ขอโทษเถอะ....ทั้งหมดที่เหล่าซือซักถามกับอีตาจิ่งฉานี่ จีนล้วนๆค่ะ เหล่าซือถามปุ๊ป...อีตานี่ตอบปั๊ป ตอบแบบไม่ต้องคิดน่ะ ตอบเหมือนมันเป็นคนจีนมาแต่ชาติปางก่อน...ไม่ใช่เพิ่งมาเรียนได้ 2 ปีเหมือนพวกเรา ในขณะที่พวกเราต้องใช้สมองอันชาญฉลาด(ช่วยกัน)แกะเสียงในฟิล์มออกมาทีละคำๆ ไม่จริง...มันต้องโกหกแน่ๆ ไม่ใช่ 2 ปีหรอก ถ้า 2 ปีจริง ไมมันเก่งจังวะ ไม่จริ๊ง..ไม่จริง
หน้าตาเหล่าซือ(คนสวย) แสดงความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด นี่เรียนภาษาจีนมันต้องอย่างนี้ (เหล่าซือแกชอบคนเก่ง) เขาก็คุยกันไป 2 คนโดยมีพวกเราเคี้ยวเอื้องอยู่รอบๆ ฮือ..ฮือ หนูเก๊าะตั้งใจเรียนนะ...แม้จะสมองขี้เลื่อยไปหน่อยก็เถอะ ฮือ..สนใจพวกหนูหน่อยซิคะเหล่าซือ ฮือ..คุยอะไรกันหว่า? ฟังไม่ออกอ่ะ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่พี่จิ่งฉาเขานั่งสังเกตการณ์จนพอใจแล้ว แกก็ขอตัวกลับ (ทดลองเรียน..หนีกลับก่อนได้) ชั่วโมงถัดมา...พวกเรารอ...รอ..รอ ว่าแกจะมาเรียนเมื่อไหร่ แกก็ไม่มาอีกเลย เป็นสถิติใหม่ล่าสุดที่ยังไม่มีใครทำลายได้
ถึกควายทุยอย่างพวกเราสุมหัวกันอีกครั้ง ที่ประชุมลงความเห็นว่า แกคงไม่สามารถเรียนกับฝูงปศุสัตว์อย่างพวกเราได้ เรียนๆเล่นๆอย่างนี้ ช่างไม่มีระเบียบวินัยกันเสียเลย(พี่คะ...หนูไม่ได้เป็นจิ่งฉาอย่างพี่นะคะ) แกจึงต้องกลับไปเรียนอย่างเข้มข้นและบ้าคลั่งเหมือนเดิม
เหล่าซือทำหน้าเสียดายเห็นๆ แล้วแกก็หยิบซอขึ้นมาสีให้พวกเราฟังกันต่อไป มอ..มอ
จากคุณ |
:
สร้อยสยาม
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ต.ค. 52 14:21:49
|
|
|
|  |