 |
ความคิดเห็นที่ 12 |
นิราศนอริช ตอนที่ 15
นอกจากวาซาบิแล้ว แน่งน้อยก็ยังมีเพื่อนใหม่อีกหลาย หนึ่งในนั้นเป็นน้องญี่ปุ่น (อีกแหร่ว) อายุน้อยมาก ยังไม่ถึงยี่สิบเลย นางมาเรียนต่อปอตรีที่นี่ จับพลัดจับผลูอีท่าไหนไม่ทราบ ต้องมานั่งเรียนรวมกับป้า ๆ ปอโท เรียนภาษาเฉย ๆ ก็ยังพอทำเนา นี่ต้องเรียนพื้นฐานการวิจัยเข้าไปด้วย นางญี่ปุ่นน้อยนามว่าอิซูสุ (นามสมมติเช่นเคย) จึงออกอาการเบื่อหน่ายในบางครั้ง
แม้วัยจะห่างกันหลายปี แน่งน้อยอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อย อาจนับว่าเป็นแม่ลูกกันได้ทีเดียว (หากหล่อนแต่งงานตอนเด็กน่ะนะ) แต่แน่งน้อยกับอิซูสุน้อยกลับสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก มากกว่านางวาซาบิด้วยซ้ำ เพราะทั้งสองคนนิสัยทะลึ่งตึงตังพอกัน อิซูสุนั้นก็นับว่าควรแก่อายุ นางจะแก่นแก้วแววซนก็ไม่แปลก แต่แน่งน้อยนี่สิ...
อิซูสุนั้น มีบางอย่างแตกต่างจากชาวญี่ปุ่นคนอื่น ๆ (ที่แน่งน้อยรู้จัก) นางเป็นคนกล้าพูดกล้าจา มั่นใจในตัวเอง อายุเท่านี้แต่เดินทางมาเรียนที่อังกฤษตามลำพัง จัดการเรื่องเรียนทุกอย่างด้วยตัวเอง (ยกเว้นเรื่องเงินที่ต้องโทรกลับไปขอที่บ้าน) ก็นับว่าเก่งกล้าสามารถทีเดียว ในขณะที่คนญี่ปุ่นอื่น ๆ มักขี้เกรงใจ ขี้อาย อิซูสุดูกล้ายืนยันความคิดเห็นของตัวเองมากกว่า
น้องอิซูสุบอกว่า นางไม่ชอบสังคมญี่ปุ่นนัก เพราะกดดัน ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาได้ ต้องคอยกังวลว่าคนอื่นจะมองเรายังไง (นางว่าของนางอย่างนั้นนะ) คาดว่านางคงอยากปักหลักปักฐานอยู่แถวอังกฤษมากกว่ากลับไปประเทศของตนเอง เพราะที่นี่นางมีอิสรเสรีมากกว่าตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น
ความจริงเพื่อนของแน่งน้อยมีอีกหลายคน แต่จะเล่ารายละเอียดเสียหมดทุกคนก็ออกจะเกินไป ขอเลือกที่เด่น ๆ ของแต่ละประเทศแล้วกันหนา
คราวนี้ถึงคิวของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่บ้าง ในห้องเรียนภาษาอังกฤษของแน่งน้อยมีอยู่สามคน นางหนึ่งเป็นหญิงเปรี้ยว ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับแน่งน้อยนัก เพราะนางโดดเรียนบ่อย อีกนางหนึ่งเป็นหญิงโก๊ะ ๆ สำเนียงฟังยากมากกกกกกก นางพูดแต่ละทีต้องกลั้นหายใจไม่งั้นฟังไม่รู้เรื่อง ส่วนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าจะนิยามเขาด้วยคำว่าอะไรดี แต่หลายสิ่งมากตานี่ ไว้นินทาทีหลัง
นางเปรี้ยวนั้นขอข้ามไป เพราะไม่สนิท มาเล่าถึงนางโก๊ะดีกว่า เพราะเจอกันบ่อย ตั้งชื่อให้นางว่าเหมยลี่ก็แล้วกันหนา (ได้ข่าวว่ากำลังดังในไทยนะชื่อนี้)
อาทิตย์แรก ๆ ของการเรียน พวกเราก็นัดไปกินข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อจะได้พูดคุยทำความรู้จัก ตอนนั้นพี่ซาอุรีบกลับบ้านไปหาลูกเมีย จึงเหลือแน่งน้อยเป็นพี่ใหญ่สุดคนเดียว แม่นางเหมยลี่ไม่รู้เป็นโรคอะไร นางชอบถามอายุคนมาก
เหมยลี่ : Do you mind if I ask :how old are you? แน่งน้อย : ha ha -_-)! (ได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไรเลย) เหมยลี่ : โอเคค่ะ คงไม่ค่อยสุภาพเนอะ ถามเรื่องนี้ แน่งน้อย : เอ่อ คือว่า เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ ถามใหม่ได้ไหม ไม่รู้หรอกว่าสุภาพหรือเปล่า เพราะฟังไม่เข้าใจ แหะ แหะ
นั่นแหละคุณผู้อ่าน เหมยลี่ถามอายุ คำถามพื้น ๆ แน่งน้อยยังหูไม่กระดิก วาซาบิกับอิซูสุก็อ้าปากหวอ (สองคนนี้ก็บอกว่าสำเนียงนางเหมยลี่ฟังยากเช่นกัน)
พอเข้าใจคำถามดีแล้ว แน่งน้อยก็ตอบนางไป เพราะไม่ได้เดือดร้อนอะไรเรื่องอายุ นางเหมยลี่ก็พยักหน้าหงึก ๆ แล้วก็กระโดดไปเรื่องใหม่ (ต่อ ๆ มา ก็รู้กันว่า นางเป็นคนที่ชอบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เช่น ทุกคนกำลังคุยกันเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ นางก็โพล่งขึ้นมากลางวงว่าใครจะไปในเมืองบ้างวันนี้ หรือทุกคนกำลังคุยเรื่องอาหาร นางก็โพล่งขึ้นมาว่าครูที่สอนเราอายุเท่าไหร่ เป็นต้น)
นางถามทุกคนว่ามีใครคิดถึงบ้านกันบ้างไหม ทุกคนตอบว่าไม่กันหมด เพิ่งมาได้อาทิตย์เดียวจะรีบคิดถึงไปไหนเล่า อิซูสุมานานกว่าเพื่อน หนึ่งปีพอดี นางยังบอกว่าไม่คิดถึงเลย แต่เหมยลี่บอกว่า นางอยากกลับบ้าน คิดถึงพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงมาก แล้วนางก็ถามอิซูสุว่า
เหมยลี่ : ทำไมยูไม่ให้พ่อแม่มาด้วย ยูยังเด็กนี่ พ่อแม่น่าจะตามมาด้วยได้ ยูจะได้ไม่คิดถึง (อิซสุมันยังไม่ได้พูดเลยว่ามันคิดถึง ไปคิดแทนมันอีก) อิซูสุ : เขาจะมาทำไมล่ะ เขาก็มีการมีงานทำนะ ไอก็ดูแลตัวเองได้ เหมยลี่ : ไอยังอยากให้พ่อแม่ไอมาเลย ทำไมยูไม่อยากล่ะ พ่อแม่มาด้วยยูจะได้ไม่เหงา อิซูสุ : โอ๊ย ไม่ต้องมาหรอก ไอไม่เหงาสักหน่อย พ่อแม่ไอทำงานอ่ะดีแล้ว เขามาอยู่ที่นี่ จะเอาเงินที่ไหนส่งให้ไอเล่า ไม่ต้องมาดูแลหรอก ส่งเงินมาก็พอ
ถ้าเป็นอิซูสุคร่ำครวญคิดถึงพ่อแม่ยังพอเข้าใจได้นะเพราะนางยังเด็ก แต่เหมยลี่นี่ก็ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดแล้ว ยังงอแงเหมือนเด็ก ๆ เพื่อน ๆ ก็ได้แต่ยิ้มด้วยความเอ็นดู๊ (หรือเปล่า) อย่างไรก็ตาม นอกจากเหมยลี่แล้ว คนจีน (แผ่นดินใหญ่) อีกสองสามคนที่แน่งน้อยได้พบ ต่างก็เบื่ออังกฤษ อยากกลับจีนกันทั้งนั้น แน่งน้อยจึงวิเคราะห์แบบมั่ว ๆ ว่า คนจีนก็คงเหมือนคนอเมริกา คือประเทศของพวกเขากว้างใหญ่ไพศาลมาก ไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องสนใจวัฒนธรรมของใคร พอต้องไปอยู่ประเทศอื่น ต้องไปปรับตามวัฒนธรรมคนอื่นเลยอึดอัด
จริง ๆ เรื่องของเหมยลี่ยังมีอีกมาก แต่ก็ปล่อย ๆ นางไปเถิด เพราะขี้เกียจเล่า หันมาเล่นงาน เอ๊ย เล่าถึงกระทาชายจีนนายนี้กันดีกว่า ขอตั้งชื่อสมมติให้ท่านว่า หงจินเป่า (เป็นดาราชายจีนคนแรกที่แน่งน้อยรู้จัก)
หงจินเป่านี้ หน้าตาแบบจีนขนานแท้ ตี๋สุด ๆ ผิวขาวจั๊ว แต่ตัวสูงใหญ่มาก (คาดว่ามากกว่าร้อยแปดสิบ) เจอกันครั้งแรก ๆ แน่งน้อยก็นึกว่าเขาจะมาเรียนปอตรีเหมือนน้องอิซูสุ เพราะอาหงหน้าเด็ก หล่อนไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรเขานัก เพราะอยู่ในห้อง อาหงก็ไม่ค่อยพูด พูดทีก็งึม ๆ งัม ๆ อยู่ในคอ ลักษณะเหมือนเด็กไม่มั่นใจในตัวเอง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาหล่อนว่างั้น
แต่แล้วก็บังเอิญว่าในวิชา Speaking & Reading Skills แน่งน้อยกับอาหงดันได้จับคู่กันทำงาน และต้องทำด้วยกันตลอดไปจนจบหลักสูตร ต้องไปอ่านบทความในวารสารวิชาการมา แล้วสรุปส่งครูทุกสัปดาห์ อาทิตย์แรกอาหงก็โชว์แมนด้วยการบอกแน่งน้อยว่า
-ยูไปทำมาก่อนนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าไอค่อยทำ-
อารามคิดว่าทำงานกับเด็ก แน่งน้อยจึงไม่ถือสา นางก็ไปทำการบ้านงก ๆ แล้วพิมพ์มาให้อาหงเสร็จสรรพ แล้วค่อยมารู้ทีหลังว่ามันจะมาเรียนปอโท ไม่ใช่ปอตรี แต่มันหน้าเด็กเท่านั้นเอง
ปรากฏว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก รู้สึกว่าช่วงอาทิตย์นั้น ไม่ว่าวิชาไหน ๆ แน่งน้อยก็พาลได้จับคู่ทำงาน จับคู่สนทนากับหงจินเป่าอยู่เรื่อย ๆ แน่งน้อยเป็นคนตลกโปกฮา อาหงก็ชอบใจ อีก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเวลาได้คุยกัน
เมื่อแน่งน้อยตั้งใจว่าจะซื้อปรินเตอร์มาไว้ใช้งาน อาหงก็กุลีกุจอช่วยหาข้อมูลเป็นอย่างดี จึงได้โอกาสแลก msn กัน และแล้วนังหงจินเป่าก็เริ่มสำบัดสำนวน ผิดกับตอนเจอหน้ากัน - you are so lovely, you are so sweet, you are so strong, you are smart บลา บลา บลา แล้วแต่วันไหนมันอยากชมเรื่องอะไร
มีวันหนึ่งอาหงก็ขอให้แน่งน้อยทำอาหารไทยให้ตัวเขาได้รับประทาน
แน่งน้อย : ไอยังไม่ค่อยกล้ากินอาหารที่ตัวเองเลย ยูจะกล้าเรอะ อาหง : กล้าสิ ไอสัญญา ไอจะกินจนหมด กินไม่บ่นเลย
โดนเด็กอ้อนบ่อย ๆ เข้า แน่งน้อยเลยใจอ่อนรับปากส่งเดชไปว่า
แน่งน้อย : ได้ ๆ เดี๋ยวจะทำให้กิน แต่ถ้าทำแล้วยูไม่กิน ยูตายแน่ อาหง : กินสิ ไอกินแน่นอน แม้ว่าผลจะออกมาเหมือนกัน...คือตาย (กวนเหมือนกันนะไอ่นี่)
ถึงรับปากไปว่าจะทำ แน่งน้อยก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะรู้จักฝีมือตัวเองดี ทำให้เขากินไป เกิดลูกชาวบ้านชาวช่องเป็นอะไรขึ้นมา ก็ไม่รู้จะรับผิดชอบให้พ่อแม่เขาได้ยังไง นางจึงทำเฉยเสีย คิดว่าเดี๋ยวอาหงจินเป่าก็คงลืม ๆ ไป ที่ไหนได้ ผ่านไปหลายวัน อาหงก็ยังอ้อนไม่เลิก บอกว่า
อาหง : ตั้งตารอวันจะได้กินอาหารฝีมือยูอยู่นะ ยูต้องมั่นใจในตัวเองรู้ไหม ไอเชื่อว่ายูทำได้ กับข้าวที่ยูทำต้องอร่อยแน่นอน ฯลฯ แน่งน้อย : ทำไมต้องมาให้กำลังใจกันขนาดนี้ด้วยเนี้ยะ (ชักเคลิ้ม ๆ ละ หรือเราจะทำกับข้าวเก่งจริง ๆ นะ เปิดร้านอาหารเลยดีไหมน้อ อิอิ บ้ายอ) อาหง : I'm your fan. No reason.
ต๊าย แน่งน้อย ยังไม่ดังก็มีแฟนคลับซะแล้วเหรอหล่อน แม้ว่าไม่ได้คิดกับอาหงจินเป่าเชิงชู้สาวเลย แต่มาถึงตอนนี้หล่อนก็ชักเคลิ้ม ๆ ละ ว้าย ๆ นี่เด็กมาจีบเราหรือเปล่าเนี่ย ตายละ ตายแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย ทำยังไงดีนะ เราไม่อยากมีภาระอ่ะ เดี๋ยวเสียการเรียน แล้วจะตอบคำถามสื่อมวลชนยังไงล่ะทีนี้ -เป็นพี่น้องกันค่ะ ไม่ใช่แฟน ยังไม่พร้อมเปิดใจรับใครค่ะ อ๋อ รูปที่โดนแอบถ่ายมาว่าไปเที่ยวสองคนน่ะเหรอคะ จริง ๆ ไปกันหลายคนนะ แต่เขาถ่ายมาแค่สองคน ฯลฯ - ไปกันใหญ่ละ -_-)!
แต่แหม ถึงไม่คบเป็นแฟน เก็บไว้ดูเล่นก็ดีนะ ประมาณว่าเก็บไว้เป็น collection คริก ๆ ๆ หล่อนก็พร่ำเพ้อของหล่อนไป ตามประสาคนไม่ค่อยมีใครมาจีบ
อาหงจินเป่าก็หยอด ๆ แน่งน้อยอยู่อย่างนั้นระยะหนึ่ง ดีว่าตานี่ไม่ใช่สเป๊ค หล่อนจึงแค่รู้สึกดีที่มีคนมาป้อยอ แต่ไม่ถึงขั้นหลงใหลได้ปลื้มอยากเป็นแฟนกับเขา จนวันหนึ่ง ครูมอบหมายให้ทำงานกลุ่ม อาหงมาบีบบังคับให้แน่งน้อยอยู่กลุ่มด้วย แต่เผอิญแน่งน้อยอยู่กลุ่มเดียวกับอิซูสุเพื่อนซี้ต่างวัยของหล่อนแล้ว อาหงจึงต้องไปอยู่กลุ่มเดียวกับน้องวาซาบิ นับจากนั้นอาการของไอ่หงจินเป่าก็เปลี๊ยนไป๋
จากที่เคยชวนแน่งน้อยไปคุยที่ห้อง อาหงก็เลิก แต่เปลี่ยนเป้าหมายไปชวนวาซาบิแทน บางครั้งแน่งน้อยยืนอยู่ข้างวาซาบิ มันยังไม่ชายตามาแลหล่อนเล้ย เหมือนแน่งน้อยไม่มีตัวตน คล้ายหล่อนเป็นอากาศธาตุ แน่งน้อยได้แต่งงกับอาการหน้ามือเป็นหลังเท้าของผู้ชาย ชิชิ เล่นกับใครไม่เล่น หงจินเป่าเอ๋ย ดันไปเล่นกับน้องวาซาบิซึ่งเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก ไปเข้าใกล้นาง นางก็ถอยห่าง อิซูสุได้แต่ขำก๊าก ๆ กับแน่งน้อย ว่าอาหงจินเป่าพยายามจะจีบวาซาบิใช่ไหมนี่ จีบไม่ดูตาม้าตาเรือ อยู่ดี ๆ มาชวนผู้หญิงขี้อายขึ้นห้องตัวเอง ใครเขาจะไป
แน่งน้อยเองก็ได้รู้เช่นเห็นชาติคน จะจีบวาซาบิก็จีบไปสิ ใครจะไปว่าอาไร แต่ทำไมต้องมาเย็นชากับหล่อนด้วย ไม่เคยไปเรียกร้องอะไรกับเอ็งซะหน่อย นิสัยจริง ๆ
หล่อนได้คุยกับวาซาบิทีหลังว่า หงจินเป่าเองก็ไปอ้อนขอให้วาซาบิทำอาหารให้เช่นกัน อืม... เขาคงเป็นคนชอบกินจริง ๆ อ่ะนะ เลยยอมพูดจาหวาน ๆ ยังไงก็ได้ เพื่อให้ได้กินของฟรี พอแน่งน้อยไม่ยอมทำให้เสียที เขาเลยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ โถ พ่อคุณ แค่ไม่ทำกับข้าวให้กิน ถึงกับมองไม่เห็นหัวกันเชียวเหรอนี่
อย่างไรก็ตาม หลังจากก้อร่อก้อติกวาซาบิได้ระยะหนึ่ง แต่นางไม่แยแสเลย หงจินเป่าจึงต้องกลับมาคุยกับแน่งน้อยเหมือนเดิม 555 กล้า คุยมาหล่อนก็กล้าคุยกลับ แต่จนแล้วจนรอดหล่อนก็ยังไม่ได้ทำกับข้าวให้อาหงกินเลย เกือบ ๆ จะไปฝึกปรือฝืมือเพื่อให้ทำให้ไอ่หงนี่กินแล้วหนา เพราะชักเคลิ้มกับคำป้อยอ แต่อาหงดันมาออกลายเสียก่อน ฉะนั้นก็อย่ากินเลยเมิง
นี่นับว่าเป็นโชคดีของแน่งน้อยอย่างหนึ่ง ตรงที่หล่อนไม่ได้คิดรักใคร่เกินเลยกับหงจินเป่า อาจเคลิ้ม ๆ กับคำหวาน ๆ ไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเกิดมาไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนตั้งหน้าตั้งตาชื่นชมหล่อนขนาดนี้มาก่อน หาใช่เพราะหล่อนอยากตกล่องปล่องชิ้นกับเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ หากเป็นคนอื่นที่แน่งน้อยมีใจให้ แล้วมาหยอดคำหวานกับหล่อนอย่างนี้ คงจะต้องเจ็บปวดน่าดูทีเดียว เมื่อท้ายที่สุดแล้ว กลับกลายเป็นว่าเจอเขาจีบเพื่อนหล่อนต่อหน้าหล่อนเอง
ขอบคุณอาหงจินเป่าจริง ๆ ที่ทำให้แน่งน้อยแน่ใจยิ่งขึ้นว่า ความรู้สึกของคนเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่คนอื่น ตัวหล่อนเองก็ด้วย วันนี้รัก พรุ่งนี้จะเบื่อหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย ฉะนั้น อย่าไปเชื่ออะไรมันมาก
จากคุณ |
:
Odd_One_Out
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ต.ค. 52 20:54:59
|
|
|
|
 |