ความคิดเห็นที่ 1 แต่มีข้อที่แปลกอยู่คือมีอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้หลังหนึ่งไม่ไหม้ เพราะเจ้าหน้าที่ดับเพลิงฉีดน้ำกันไว้ส่วนหนึ่ง เจ้าของบ้านบอกเจ้าที่(กวนอู) แรงเลยป้องกันไว้ หลังนี้ปัจจุบันยังคงอยู่เหมือนสภาพเดิม แต่จริง ๆ ถัดจากบ้านหลังนี้ก็เป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยา ถ้าข้ามจากหลังนี้ก็จะถูกธนาคารยิ่งเป็นเรื่อง เพราะด้านหลังธนาคารก็กำลังไฟไหม้อยู่เช่นกัน ส่วนอีกหลังที่ติดกับบ้านที่ไฟไหม้ก็เป็นอาคารไม้สองชั้นสามห้อง มีเสาปูนวางอยู่บนฟุตบาทหน้าบ้านจำนวนสี่ต้น หลังนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่บ้านที่ติดกันหลังคาเป็นกระเบื้องว่าวเป็นแ่ผ่น ๆ ใหญ่ ๆ ทำด้วยปูนซีเมนต์ โครงหลังคาเป็นไม้เพราะสมัยก่อนการก่อสร้างใช้แบบนั้น แม้ว่าผนังกำแพงของบ้านที่ไฟไหม้เป็นแบบอาคารจีนสมัยโบราณ ที่สร้างด้วยอิฐแผ่นหนาสองแผ่นวางขนาน/ประกบกัน ไม่มีการใช้เหล็กเส้นแบบปัจจุบัน ใช้อิฐวางซ้อน ๆ กันพร้อมฉาบปูนเชื่อมอิฐ แล้วค่อยฉาบปูนภายนอกพร้อมตั้งโครงหลังคาไม้ จนสูงประมาณสร้างเสร็จเป็นอาคารสองชั้น ทำให้ทนไฟได้ส่วนหนึ่ง ไฟเลยไหม้แต่ด้านบนที่เป็นไม้ เป็นส่วนมากเพราะ ชั้นสองสมัยก่อนนิยมปูพื้นไม้ อาคารไม้สองชั้นสามห้องที่ติดกัน เลยโชคดีได้ดับเพลิงมาฉีดน้ำเลี้ยงไว้ เพราะถ้าหลุดจากอาคารไม้หลังนี้ก็ไปที่โรงแรมแหลมทอง เลยเป็นข้อครหานินทา/ข่าวลือกันแซดเลยว่า มีการจ่ายรายการค่าหัวฉีดดับเพลิง ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้ (หลักกาลมสูตร) เพราะไม่มีข้อมูล/พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงยืนยันในเรื่องนี้ วันรุ่งขึ้น หลังจากไฟไหม้ ถ้าจำไม่ผิด เป็นครั้งแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาภาคใต้ ยอมให้มีการยกเว้นการ Clearing Cheques ที่ clearing House สำหรับธนาคารสามแห่ง คือ ธนาคารไทยแห่งแรก ธนาคารกรุงเทพฯ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวนสองวันทำการ (วันพฤหัสบดี และวันศุกร์) แล้วให้เริ่มทำการปกติในวันจันทร์๋ ก็ทำให้ธนาคารที่มีปัญหาเพลิงไหม้ สามารถจัดการแก้ไขปัญหาการจัดการ/เอกสาร ให้กลับคืนปกติได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารกรุงเทพฯ มีเวลาแก้ไขปัญหามากขึ้น เพราะเป็นธนาคารขนาดใหญ่และถูกไฟไหม้ด้านข้างอาคาร และบางส่วนไฟลุกลามเข้าไปในตัวอาคาร ทำให้ต้องมีการติดตั้งระบบเครือข่าย/คู่สาย พร้อมระบบคอมพิวเตอร์กันใหม่ในตึกทีเช่าด้านหลัง พร้อมกับส่งเครื่องมือเครื่องไม้และวัสดุอุปกรณ์ จากกรุงเทพฯ ลงมาช่วยเหลือ ที่รู้เพราะไปมุงดูส่วนหนึ่งในช่วงนั้น มีข้อดีและการช่วยเหลือกันในท้องถิ่นคือ ธนาคารกสิกรไทย ที่หาดใหญ่ ซึ่งมีเครื่อง mainframe ยินดี run ระบบสำรองให้กับธนาคารกรุงเทพฯ และธนาคารอื่น เพราะเครื่องอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุมาก แต่ทางธนาคารกรุงเทพฯ ตอบขอบคุณ แต่ไม่กล้าให้ run ตามนโยบายสำนักงานใหญ่ เพราะเกรงว่าข้อมูลบางอย่างอาจจะรั่วไหลได้ หลังจากไฟไหม้ครั้งนั้น มีผลทำให้หาดใหญ่เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก บ้านแถวสายสองและสายหนึ่งบริเวณที่ไฟไหม้ ก็กลายเป็นอาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน เหลือบ้านไม้ที่ไฟไม่ไหม้อยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนธนาคารกรุงเทพฯ โชคดีที่ตึกข้างหลัง เป็นอาคารพาณิชย์ห้าชั้นสามคูหา ทางธนาคารก็ขอเช่าเป็นที่ทำการชั่วคราว ระหว่างรอการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ ในช่วงก่อสร้างก็มีการนำรถแมคโครเข้ามารื้อถอนอาคาร ปรากฎว่าเป็นที่น่าดูน่าสนใจกันมากเรื่องหนึ่ง เพราะไม่เคยเห็นกันมาก่อนในเมืองหาดใหญ่ เนื่องจากรถพวกนี้ส่วนมากใช้งานกันในเหมืองแร่ดีบุก หรือในประเทศมาเลเซียเป็นส่วนมาก เพราะในสมัยก่อนการขุดดินถ้าเจอดินแข็งมาก หรือเจอก้อนหินใหญ่ ๆ ก็มักจะใช้ระเบิดตามเหมืองแร่พร้อมโปะปุ๋ยประเภทหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) เพื่อให้มีการจุดระเบิดที่รุนแรงมาก ในการทำลายหินที่แข็งมากหรือดินดานที่แข็งมาก แต่การใช้แมคโครครั้งนั้น สามารถขุดเจาะปูนซีเมนต์ หรือฐานรากปูนที่แข็งมากเร็วกว่าการใช้คนทุบแบบเดิม ทำให้เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ระหว่างรถทำงาน จะมีคนไปชมการทำงานของแมคโครกันมาก(รวมทั้งผมด้วย) จนกระทั่งปัจจุบันการใช้งานแมคโครเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไปในที่สุด ผลจากไฟไหม้ครั้งนั้น ทำให้มีผลเปลี่ยนแปลงระบบข้อมูลสำรองของธนาคาร ต้องมีหลักเกณฑ์ห่างจากที่ทำการใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์หลัก ไม่น้อยกว่าสิบห้ากิโลเมตร และำต้อง backup ข้อมูลไม่ช้ากว่าหนึ่งนาทีจากเครื่องหลัก ทำให้ธนาคารส่่วนใหญ่เลือกจะย้าย ไปที่กรงเทพฯ แทนต่างจังหวัด ศูนย์คอมพิวเตอร์ภาคใต้ก็เลยปิดไปจนหมด กอปรกับระบบสื่อสารและ network ก็เร็วกว่าเดิมมาก ความจำเป็นในการตั้งศุนย์ที่ต่างจังหวัดก็ลดลง เพราะการประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมตลอดทั้งการส่งเจ้าหน้าที่มา ดูแลรักษาหรือบำรุงรักษาก็ลดลงไป เพราะสามารถใช้เครื่อง server ขนาดเล็ก ทำงานแทนได้ส่วนหนึ่ง ในภาระกิจบางด้านในการ operate งานบางอย่าง เขียนไว้จากความทรงจำ ก่อนที่จะเลือนหายไป หมายเหตุ ภาพประกอบเป็นภาพป้ัจจุบันจาก google ส่วนทีแต้มสีแดง คือ จากความทรงจำในบริเวณที่ไฟไหม้ ต้องขออภัยเจ้าของอาคารปัจจุบันด้วย เพื่อการศึกษาเรื่องอดีตเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 20 ต.ค. 52 06:02:22 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 22:21:38

ความคิดเห็นที่ 2 บรรยายได้เห็นภาพช่วงไฟกำลังไหม้เลยค่ะ ได้รู้ระบบการทำงานของธนาคารในกรณีฉุกเฉินด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 00:44:17

ความคิดเห็นที่ 3 ภาพกระเบื้องว่าวแบบโบราณ ที่ทำด้วยปูนซีเมนต์สมัยก่อน แผ่นประมาณฟุตได้ ค่อนข้างหนัก โครงหลังคาไม้เลยต้องเป็นไม้เนื้อแข็ง ทำให้กันไฟไหม้ได้ระดับหนึ่ง แต่พอสักพักก็จะทำให้ในบ้านเป็นเตาอบ และอุณหภูมิภายในสูงขึ้นมาก ยิ่งติดไฟได้ง่่ายขึ้น ที่มาภาพนี้จาก http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/580/1580/images/travel/samchuk10.jpg จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 04:59:10

ความคิดเห็นที่ 4 ธนารคารนั้นมีชื่อว่าไทยแห่งแรกจริงๆ หรือคะ ว้าว จากคุณ : scottie เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 09:55:46

ความคิดเห็นที่ 5 ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย คือ.- ตาม Link ครับ http://guru.sanook.com/history/topic/4062/ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น_จำกัด_จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย/ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2431  : ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย เป็น ธนาคารของชาวอังกฤษ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง เป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรก ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริม กิจการค้าระหว่างประเทศ ปัจจุบันธนาคารแห่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็น HSBC สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 4 เขตสีลม กรุงเทพฯ ส่วนธนาคารไทยแห่งแรกคือ.- ตั้งหลังจากธนาคารแห่งแรกของไทย 18 ปี ก่อนหน้านั้นก็มีธนาคารแห่งอื่น ๆ แต่เป็นของชาวต่างชาติ หรือชาวจีน ที่สังกัดศาลกงสุลต่างชาติ ที่เป็นของชาวสยาม (ไทย) จริง ๆ ก็ตาม Link ครับ http://www.scb.co.th/th/abt/abt_lgd_rbb.shtml สถาบันการเงินแห่งแรกของชาวสยาม เริ่มต้นขึ้นในนาม "บุคคลัภย์" (Book Club) ในวันที่ 4 ตุลาคม 2447 โดย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะให้มีสถาบันการเงินของสยาม เป็นฐานรองรับการเติบโต ทางด้านเศรษฐกิจการเงินของประเทศ จากการที่โลกตะวันตกได้ขยายเส้นทางการค้าทางทะเลมาสู่ดินแดนสยาม เป็นอย่างมากในยุคนั้น ในขั้นแรกจึงทรงริเริ่มดำเนินกิจการ ธนาคารพาณิชย์เป็นการทดลองในนาม "บุคคลัภย์" (Book Club) ต่อมากิจการทดลองประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ตั้งเป็น ธนาคารในนาม "บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด" (Siam Commercial Bank, Limited) เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449 ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์อย่างเป็นทางการ "ต้นแบบธนาคารไทย" โดยริเริ่มนำระบบ และแนวคิดของการให้บริการ รับฝากเงินออมทรัพย์ และ บริการบริการบัญชี กระแสรายวัน (Current Account) ถอนเงินโดยใช้เช็คมาให้บริการแก่ประชาชน พร้อมทั้งจัดตั้ง สาขาขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ธนาคารยังมีส่วนร่วม ในการก่อกำเนิด และวางรากฐานสหกรณ์การเกษตรของประเทศ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 10:39:26

ความคิดเห็นที่ 6 ยังพอจำเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นได้  บ้านเพื่อนเราคนนึงก็โดนไป บ้านคุณยายเราเกือบโดนเหมือนกัน อยู่สายสองก่อนถึงหัวมุมตรงแยกธรรมนูญวิถี จากคุณ : Jaa3950 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 00:34:36