Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพลิงริษยา--ตอนที่ 12  

ตอนที่ 12...

หัวใจที่แสนบอบช้ำของหญิงชราอายุกว่าแปดสิบปีราวกับจะแตกสลายไปในวินาทีนั้น ริมฝีปากของเธอสั่นระริกยามเมื่อเอ่ยแทนหลานสาวว่า “กณิศเกลียดข้าวถึงขนาดนี้เชียวหรือลูก เกลียด...ถึงขนาดจะส่งลูกของตัวเองไปลงนรกได้เลยหรือลูก”

“นรกอะไรกันครับแม่!” กณิศโวยวายเอาเสียงเข้าข่ม “สวรรค์น่ะสิไม่ว่า ท่านน่ะร่ำรวยราวกับปู่โสม ยายข้าวน่ะไม่ได้แต่ตกถังข้าวสารนะครับ แต่ตกยุ้งข้าวหอมมะลิเลยทีเดียว”

“ข้าว หรือใครกันแน่ที่ต้องการยุ้งข้าวนี้”

คำถามที่มารดาถามนี้ช่างแทงลึกเข้าไปในหัวใจของกณิศ มันเจ็บจี๊ดจนเขาต้องระบายมันออกมาด้วยการอาละวาดโวยวายเอากับผู้ที่ถาม “คุณแม่พูดเหมือนกับว่าผมกำลังจะขายลูกสาวกิน คุณแม่พูดแบบนี้กับผมได้ยังไง!”

“ความจริง...มันพูดได้ไม่ลำบาก ไม่ละอายปากหรอกกณิศ” คุณกอบสุขตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พร้อมทั้งดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวถักริมด้วยโครเชต์ซึ่งเหน็บเอาไว้ที่ชายพกมาซับน้ำในตาไปด้วย “คนที่โกหกตัวเองอยู่ต่างหากที่ต้องละอาย”

กณิศอยากจะสะบัดหน้าหนีแล้วเดินลงส้นเท้าตึงๆ ขึ้นไปบนตึกใหญ่เหลือเกินเมื่อถูกมารดาจี้ใจดำเอาตรงๆ แบบนี้ เขาเริ่มปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะตีหน้ายักษ์เข้าใส่แล้วบอกแม่ให้เลิกมายุ่งกับเรื่องของเขาดี หรือ...ตีหน้าเศร้า บอกว่าเขาไม่มีทางเลือกดี

“คราวนี้เท่าไหร่ กณิศเดือดร้อนเท่าไหร่”

ผู้เป็นแม่รู้ดีถึงความผิดพลาดต่างๆ นานาของลูกชาย กณิศนั้นถือตนว่าจบมาจากเมืองนอกเมืองนา ในสาขาที่คนไทยในสมัยนั้นยังแทบจะไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ เขาเป็นคนบุกเบิกธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ขึ้นโดยไม่คิดจะช่วยสานต่อธุรกิจด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ของบิดาเลย

ก่อนที่สามีของเธอจะเสียนั้น เขาเคยบอกเธอหลายครั้งว่าให้ช่วยปรามๆ ลูกชายคนนี้เสียบ้าง อย่าให้ก้าวเร็วเกินไปสะดุดหกล้มขึ้นมาจะเจ็บ แต่...ขนาดพ่อยังห้ามลูกชายเอาไว้ไม่อยู่ แล้วแม่แบบเธอที่ไม่รู้เรื่องธุรกิจอะไรเลยจะไปห้ามอะไรได้

เมื่อกณิศเลือกที่จะเก็บขวัญใจเอาไว้เป็นเมียลับๆ แล้วแต่งงานนำภุมรินที่เป็นนักเรียนนอกเหมือนกันเข้ามาในบ้านทวีสุข กณิศก็ยิ่งฟุ้ง เขาขายโรงงานผลิตเครื่องไฟฟ้าที่บิดาเป็นผู้บุกเบิกมาแล้วนำเงินที่ได้มาสร้างแบรนด์คอมพิวเตอร์ของตนเองที่มีสโลแกนว่า ‘ดีที่สุดเท่าที่คุณจะมีได้’

แรกทีเดียวเงินที่ได้จากการขายโรงงานของพ่อก็ทำให้บริษัทเคพีคอมพิวเตอร์นั้นกระโดดนำแบรนด์อื่นในตลาดไปได้อย่างรวดเร็ว เปิดมาเพียงไม่กี่ปี เคพีก็ขึ้นไปยืนเด่นเป็นบริษัทชั้นนำที่หรูหรา ขายแต่ของที่ดีที่สุด แพงที่สุด ทันสมัยที่สุด กณิศและภุมรินพากันก้าวเข้าสู่วงสังคมชั้นสูง ทิ้งกำพืดที่เป็นเพียงลูกเจ๊กลูกจีนไปจนหมด ตอนนี้ทั้งสองคือนักธุรกิจหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง

การเข้าไปสู่วงสังคม สำหรับกณิศอาจจะเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จ เขาไม่ได้เป็นเพียงลูกชายอาเสี่ยขายเครื่องไฟฟ้าอีกต่อไป แต่เขาคือคุณกณิศไฮโซหนุ่มใหญ่เนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากจะรู้จัก
นั่น...คือจุดเริ่มต้นแห่งความพินาศ!

เมื่ออยู่ในสังคมระดับนั้นก็ต้องทำตัวแบบคนระดับนั้น เสื้อผ้า เครื่องเพชร การไปเที่ยวเมืองนอก คือสิ่งจำเป็นไปแล้วในชีวิตของไฮโซ กณิศ ภุมริน และมาธวีเพลิดเพลินกับความสุขโดยไม่เคยได้ดูบิลรายจ่ายในแต่ละเดือน เมื่อรายจ่ายมากเกินกว่าเงินในกระเป๋า ก็คิดเอาง่ายๆ ว่าดึงเงินในบัญชีบริษัทมาใช้ก่อนก็แล้วกัน พอขายคอมพิวเตอร์ล็อตหน้าได้แล้วค่อยโอนคืน ดึงกันไปดึงกันมา ความทุกข์ก็มาเยือนคุณกอบสุขที่ไม่ได้รู้เรื่องธุรกิจ ไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ ไม่เคยมีเครื่องเพชรเพิ่ม และไม่เคยได้ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนาอะไรนี่ด้วยเลย

‘ที่ดินติดทะเลที่ประจวบฯ น่ะมีคนติดต่อมาว่าอยากจะซื้อนะแม่ ให้ราคาดีมากเลยทีเดียว ผมคิดว่าจะขาย’

‘ที่ดินบนเขาที่เชียงรายนี่เรามีมากถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ คุณแม่รู้ไหมครับว่าตอนนี้เขากำลังนิยมเล่นกอล์ฟกัน ตัดขายสักครึ่งนึงดีไหมครับ’

แล้วสมบัติที่สามีเธอเก็บสะสมเอาไว้ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปจากตู้เซฟ บางชิ้นเธอรู้ บางอย่างเธอก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ว่ามันเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้วจนต้องปฏิเสธลูกชายเมื่อมาขอให้ขายที่ดินอีก ก็แทบจะเรียกได้ว่า...บ้านทวีสุขเหลืออยู่แค่เปลือก!

แต่คราวนี้...เพื่อข้าวขวัญ เธอคงต้องยอม

ดวงตาที่มีแววสำนึกผิดเจือจางมองหน้ามารดาของตนด้วยความประหลาดใจ “คุณแม่พูดเหมือนกับจะให้เงินผม”

“แลกกัน ปล่อยข้าวไปซะ อย่าเอาเขาไปอยู่ในนรกเลยแล้วแม่จะให้กณิศเท่าที่กณิศต้องการ”

ชายวัยสี่สิบกว่าแทบจะกระโดดตัวลอยเข้ากอดมารดา โธ่...ก็ปกติแม่เขาน่ะงกเสียยิ่งกว่าอะไร แค่ขอที่ดินสักแปลงสักไร่เอาไปขายทำทุนก็หน้างอหน้าหงิกไปเป็นเดือนๆ จนภุมรินกระแนะกระแหนให้เขาฟังบ่อยครั้งว่า

‘ผึ้งรู้สึกว่าตัวเองเป็นขอทานยังไงก็ไม่รู้ จะขายที่ ขายเพชรสักนิดคุณแม่ก็ชักสีหน้าเข้าใส่ บาทหนึ่งสลึงหนึ่งไม่เค๊ยไม่เคยกระเด็นมาเจือจานผึ้งกับลูก ผึ้งน่ะเริ่มคิดแล้วนะคะว่าคุณแม่คิดจะเก็บที่เก็บสมบัติเอาไว้ให้พวกนั้น บอกเอาไว้เสียก่อนว่าผึ้งไม่มีวันยอม ไม่ยอมเด็ดขาด!’

แต่นี่...ยังไม่ทันได้ขอแม่กลับบอกว่าจะให้เงิน เท่าไหร่ก็ได้ที่เขาต้องการเพื่อแลกกับอิสรภาพของลูกสาวเลวๆ คนหนึ่ง

ไม่เอาก็โง่!

- - - - - - - - - -

เมื่อเห็นสามีผิวปากพร้อมยิ้มหน้าบานเข้ามาในห้องนอน คุณภุมรินที่แต่งสวยด้วยชุดราตรีสีแดงสดก็ทักขึ้น

“แหม...อารมณ์ดีจริงนะคะคุณ หุ้นขึ้น หรือว่าได้Eหนูใหม่ล่ะ”

นี่ถ้าหากกณิศไม่ได้กำลังคิดถึงที่ดินชานเมืองหลายสิบไร่ซึ่งคุณแม่ให้มาเป็นค่าตัวของข้าวขวัญแล้วล่ะก็ เขาคงวี๊ดกลับภรรยาไปแล้วแน่ๆ ที่กระทบกระแทกเขาแบบนี้ แต่เมื่อวันนี้เขาอารมณ์ดีจัด เจ้าของบ้านทวีสุขจึงยิ้มเข้าใส่ แถมยังเดินเข้าไปจุ๊บแก้มภรรยาเบาๆ เป็นการแถมท้ายอีก

ภุมรินหัวเราะเบาๆ วางบลัชออนที่กำลังปัดพวงแก้มของตนให้สดใสราวกับสาวน้อยเอาไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เดินตามสามีที่ตอนนี้มาทิ้งตัวนั่งอยู่ที่ปลายเตียง

“มีอะไรดีๆ จะไม่บอกกันบ้างเลยเหรอคะ” หญิงวัยสี่สิบแล้วหากรูปร่างหน้าตายังเต่งตึงสวยสดทรุดกายลงนั่งเบียดสามีพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

กณิศไล้หลังมือเข้ากับพวงแก้มที่เต็มไปด้วยเครื่องประทินโฉมของภรรยา ยิ้มให้เธออย่างอ่อนหวานราวกับเขาได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน กลับไปยังสมัยที่ตามจีบสาวน้อยนักศึกษาคนงามดาวมหาวิทยาลัยที่หนุ่มๆ ทุกคนต่างก็หมายปอง

“บอกสิจ๊ะ เรื่องดีๆ ถ้าไม่บอกเมียแล้วจะให้ผมไปบอกใคร” ปากพูดออกมาแบบนั้น แต่กณิศกลับเอาแต่อมยิ้มไม่พูดอะไรต่อ จนภุมรินต้องหยิกต้นขาสามีไม่แรงนักเพื่อให้เขาคายความลับอันน่ายินดีออกมา

“บอกมานะคะ ขืนยังไม่บอกอีกผึงจะหยิกให้เนื้อเขียวจริงๆ ด้วย”

กณิศหัวเราะร่วน สบายอกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หลังมือที่ไล้พวงแก้มของภรรยาเลื่อนลงไปไล้ทรวงอกอิ่มซึ่งถูกดันออกมาครึ่งค่อนเต้า

“คุณแม่เพิ่งบอกว่าจะโอนที่ดินแถวบางกะปิให้ผม”

ความโลภส่งให้ดวงตาที่แต่งเสียจนสวยของภุมรินวาววับ “ตายจริง ที่นั่นน่ะคุณเคยรบเร้าขอมาตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วไม่ใช่เหรอคะ แต่คุณแม่น่ะงก ไม่ยอมยกให้เสียที คราวนี้ทำไมถึงได้ยอมยกให้ง่ายๆ ล่ะคะ”

“คุณแม่ก็ไม่ได้ยกให้ผมง่ายๆ หรอกนะ มันมี...เรื่องที่แลกเปลี่ยนกันนิดหน่อยน่ะ”

“แลกเปลี่ยนอะไรคะ”

“คุณแม่อยากส่งข้าวไปเรียนต่อที่อเมริกา”

ความแช่มชื่นกับราคาของที่ดินนั้นค่อยๆ หดหายลงไปเมื่อความอิจฉาเข้ามาครอบครองจิตใจ ภุมรินเริ่มเดาออกแล้วว่าทำไมแม่สามีจึงได้ยกที่ดินให้สามีง่ายๆ “อ้อ...คุณแม่คิดจะขายที่ดินนั่นเอามาส่งหลานคนโปรดไปเรียนเมืองนอกนี่เอง”

“ไม่ใช่ๆ ที่ดินนี่เป็นของเราจ้ะไม่เกี่ยวอะไรกับข้าวเลย เงินที่ส่งเสียข้าวน่ะคุณแม่จะจ่ายให้ต่างหาก ที่ดิน...คือสิ่งแลกเปลี่ยนกับการให้ข้าวไปเมืองนอกแทนที่จะไปอยู่กับท่านต่างหาก” กณิศอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ภรรยาฟังอย่างไม่ปิดบังข้อมูลเหมือนที่เคยทำเสมอมา ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งขำที่เห็นใบหน้าภรรยายิ่งงอง้ำลงไปทุกทีๆ “อ้าว...ทำหน้างอทำไมจ๊ะ หรือผึ้งคิดว่า...ค่าตัวข้าวมันถูกไปหน่อย ไม่เป็นไรน่า ตอนนี้เอาแค่นี้ไปก่อน ไว้ให้ข้าวมันเรียนจบแล้วคิดจะกลับบ้าน เราค่อยเรียกค่ากลับบ้านจากคุณแม่อีกก็ได้นี่จ๊ะ”

ภุมรินอยากจะสะบัดหน้าใส่สามี จริงอยู่ว่าที่ดินนั่นอาจจะช่วยให้บริษัทเคพีคอมพิวเตอร์ดำเนินงานต่อไปได้อย่างราบรื่นอีกเป็นปีหรือหลายปี แต่...ที่น่าขัดใจจนทำให้เธอยิ้มไม่ออกก็คือ เธอจะไม่ได้เห็นนังข้าวต้องตกนรกทั้งเป็นนี่สิ

มันน่าขัดใจ น่าขัดใจเหลือเกิน!

“ผึ้งไม่ได้คิดว่าค่าตัวยายข้าวถูกไปหรอกค่ะ ที่จริง...แพงเกินไปเสียด้วยซ้ำ ราคาเว่อร์ๆ ที่คุณแม่ให้ ทำให้ผึ้งได้รู้ค่ะว่าคุณแม่รักหลานคนนี้มากมายขนาดไหน แล้วแบบนี้จะมีสมบัติอะไรเหลือเอาไว้ให้ลูกของผึ้งบ้างคะ คุณแม่คงทำพินัยกรรมยกสมบัติให้หลานสาวคนโปรดไปหมดแล้วมั้ง”

“โถๆๆๆๆ” กณิศโอบมือรอบไหล่ของภรรยาแล้วดึงร่างในชุดราตรีสีแดงเพลิงมากอดเอาไว้แนบอก “คิดมากน่าผึ้ง ที่คุณแม่ทำแบบนี้น่ะก็แค่ไม่อยากให้ยายข้าวต้องไปเป็นอนุของท่านเท่านั้นเอง ไม่ได้รักใคร่ไยดีอะไรมันหนักหนาหรอก แต่ถ้าหากผึ้งกลัวนะ ก็ให้น้ำตาลหมั่นไปดูแล ไปเอาใจคุณย่าท่านหน่อยสิ คนแก่น่ะชอบเป็นที่รัก ชอบให้คนเอาใจ พอข้าวมันไปเมืองนอก น้ำตาลก็ทำคะแนน เผลอๆ อาจถ่ายเทสมบัติคุณแม่มาเป็นของเราได้อีก ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

ภุมรินยังยิ้มไม่ออก “แล้วท่านล่ะคะ ผึ้งน่ะเดินเรื่อง ปูทางให้ยายข้าวเอาไว้แล้วอย่างดิบดีนะคะ ที่เหลือก็แค่รอเวลาให้ท่านกลับมาจากยุโรปเท่านั้นเอง นี่ถ้าจู่ๆ เราก็ดึงยายข้าวกลับ ท่านจะไม่เขม่นเราเอาหรือคะ”

“โอ๊ย...ไม่หรอก ก็ท่านยังไม่ได้รับยายข้าวไปสักหน่อย แค่จะเหลือบตามามองยังไม่สนใจ ท่านน่ะถูกนังเมียน้อยคนที่หกพี่สาวไอ้ฉัตรินครอบเอาไว้เสียอยู่มือ ไหนจะข่าวทุเรศๆ ที่ไอ้ฉัตรินมันให้พวกคอลัมน์ซุบซิบคอยเขียนทำลายยายข้าวอีกล่ะ” พอพูดเรื่องฉัตรินขึ้นมากณิศก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเป็นการใหญ่ก่อนจะยิ้ม “ให้ข้าวมันไปชุบตัวที่เมืองนอกสักพักก็ไม่เลวเหมือนกัน ข่าวคาวๆ จะได้จางไป อีกสองหรือสามปีข้างหน้าพอทุกคนลืมๆ เรื่องนี้ไปแล้ว พอมีดีกรีนักเรียนนอกกลับมาแล้ว ขี้คร้านเนื้อจะหอมฉุยให้เราโก่งค่าตัวได้มากขึ้นอีกลิบลับ ถึงไม่ได้เป็นอนุของท่านอมรแล้วไง ยังท่านอื่นๆ อีกตั้งหลายท่านที่มีหวังจะขึ้นมาเทียมรัศมีกับท่านอมร!”

แม้สามีจะพูดในเชิงยังไม่ถอดใจเรื่องการขายข้าวขวัญ แต่สำหรับคนที่นั่งนับวันนับคืนรอเวลาผลักคนที่ตนเกลียดลงนรกนั้นรุ่มร้อนเป็นไฟ มันหงุดหงิด ขัดใจ เมื่อทางเดินลงนรกของคนที่ตนเกลียดดูเหมือนจะทอดยาวออกไป...อย่างน้อยๆ ก็สองปี

- - - - - - - - - -

จากคุณ : (liz)
เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 52 00:11:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com