Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้น ความคิดเห็นของคนตาย ลองมาให้อ่านกัน  

เส้นทางที่จะเข้าตัวจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งในภาคอีสาน ลักษณะของโค้งเป็นโค้งหักศอก มีราว เหล็กกั้นไปตามขอบถนนที่เป็นโค้ง ปลายสุดโค้งจะมีต้นจามจุรีใหญ่อายุหลายร้อยปีขึ้นสูงเด่น กิ่งก้านร่มครึ้มเต็มไปหมด และต้นจามจุรีนี่แหละที่รถยนต์หลายคันแหกโค้งพุ่งเข้ามาชนประจำ แทบจะทุกอาทิตย์ที่มีคนตายที่โค้งแห่งนี้ บางอาทิตย์ก็ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งก็มี คนตาย 2-3 คน ชาวบ้านแถวนั้นพากันร่ำลือว่าผีดุอย่าบอกใคร คนขับขี่รถทั่วไปเวลา ขับผ่านโค้งนี้ มักจะบีบแตรเสียงดังลั่นไปตลอดโค้ง นัยว่าเป็นการขอผ่านทาง บางทีชาวบ้านนอนๆอยู่ก็ตกใจ ตื่น เพราะได้ยินเหมือนเสียงรถวิ่งมาแล้วชนเข้ากับอะไรบางอย่างเสียงดังโครมลั่น มันดัง มาจากโค้งนี้นั่นแหละ พอโผล่ไปดูที่หน้าต่างมองไปที่โค้ง ก็ปรากฏ ว่า...ว่างเปล่า...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีบ้าน ลุงคนหนึ่ง บ้านของแกอยู่ติดกับโค้งนี้ แกบอกว่ารายล่าสุดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นเซลล์แมนขายของ ขับรถมาจบชีวิตที่นี้ จอดรถลงไปเดินเพราะเข้าใจผิดว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ร่างของเขาถูกรถที่แล่นสวนมา ชน เข้าอย่างจัง สภาพศพ มีบาดแผลฉีกขาดทั้งตัวแขนขาหักกะโหลกศีรษะแตกสมองกระจายเกลื่อนพื้นถนน เสื้อผ้าฉีกขาด แกเคยโดนวิญญาณผีหนุ่มตนนี้หลอกจนเกือบจะช๊อกตายอยู่หลายครั้งแล้ว คืนไหนถ้าเป็นคืนวันพระ โค้งนี้มักจะเฮี้ยนจัด ตกดึกไม่รู้เสียงอะไรต่อมิอะไร มันดังมา จากโค้งให้ได้ยินตลอด เดี๋ยวก็เป็นเสียงร้องไห้โหยหวนฟังแล้วเสียดเข้าไปถึงไขสันหลัง ไม่ใช่เสียงเดียวนะแต่ยังมีเสียงหมาหอน ช่วยกันประสานกันระงมเชียว เคยมีคนเห็น รถผีชิ่งชน หลักกิโลเมตร และร่างวิญญาณออกมายืนกวักมือเรียก หากใครไม่รู้ต่างตกเป็นเหยื่อหลอกหลอนมานักต่อนักแล้ว

                   เสียงล้อรถบดไปกับถนน ดังอี๊ดอ๊าด! ไถลแหกโค้ง ก่อนชนโครมเข้ากับอะไรบางอย่างดังลั่น

                   “แม่เจ้าโว้ย รถแวนซะด้วย ชนเข้ากับหลักกิโลเมตรเลยวะ”

                   ควันบุหรี่ลอยโขมงจากในรถ ซึ่งจอดซุ่มรออยู่ไหลทางลูกรังปลายหัวโค้ง สองหนุ่มหน้าเครียด พยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ กับอุบัติเหตุรถยนต์ตรงหน้า ประสบการณ์อันโชกโชนบอกให้ทั้งสองว่าควรจะทำอะไรต่อไป

                    “เอ็งจะไปไหมวะ?”

                    “ก็ไปซิ ของมันเคยๆ”

                    ปาก้นบุหรี่ทิ้ง สตาร์ทเครื่องยนต์ขณะเหยียบคันเร่งสุดฤทธิ์ พุ่งปาดออกจากไหล่ แรงกระแทกยังคงทำให้รถแวนคันนั้นไหวสะเทือน ล้อรถยังยวบยาบกับพื้นลูกรังข้างทาง มือขยับกระจกส่องหลัง ตาเพ่งมอง เห็นเป้าหมายลิบๆ เสียงหัวเราะหึๆในลำคอจากคนหนึ่งกับงานประจำของพวกนักกู้ภัยมืออาชีพ อันเคยๆกับทางโค้งมรณะเส้นนี้ดี

                    ข้าพเจ้าซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด รีบวิ่งตรงดิ่งไปที่รถคันนั้น หน้ารถมันจูบเข้ากับหลักกิโลเมตรอย่างเหมาะเจาะเหมาะเหม็งกระโปรงรถเปิดลอย หม้อน้ำแตก ไอน้ำพวยพุ่ง แต่สภาพไม่เสียหายมากกว่าที่คิด

                    “มีใคร!? เป็นอะไรไม่!” ข้าพเจ้าพยายามตะโกนสุดเสียง กำปั่นทุบกระจกดัง ปึกๆๆ ร้องเรียกปลุกสติคนในรถ ชายในที่นั่งคนขับโงศีรษะขึ้นเป็นคนแรก เอามือกุมท้ายทอย สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด

                     “ทางนี้ๆ!”

                     ข้าพเจ้าพยายามขยับปาก ผม จะ ช่วย คุณ เอง ชี้นิ้วจิ้มๆไปที่ประตูรถเพราะคนข้างในคงไม่ได้เสียงจากข้างนอกแน่ หญิงสาวข้างฝังข้าพเจ้าซึ่งน่าจะเป็นภรรยาคนขับก็เริ่มรู้สึกตัว เอามือจับต้นคอ หน้านิ่วแยกเขี้ยวแสดงความเจ็บปวดสุดฤทธิ์ โชคดีจริงๆที่พวกเขาคาดเข็มขัดนิรภัย เลยรอดตายหวุดหวิด เธอคนนั้นหมุนคอไปมาคงตรวจว่าคอคงไม่ได้หักแน่ ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะมาสบกับข้าพเจ้าอย่างจัง เธอผงะสะดุ้งทันทีเมื่อเห็นข้าพเจ้า

                     “ไม่ต้องกลัวครับ! ผมมาช่วยคุณแล้ว”

                     ประสบการณ์งานกู้ภัยมันบอกกับผมว่า จะต้องควบคุมสติของตนเองให้ดีเสียก่อน และต้องห้ามไม่ให้ผู้ได้รับบาดเจ็บขยับตัว กระดูกของพวกเขาอาจจะเคลื่อนได้รับอันตรายในภายหลังได้

                     “โถ แล้วกัน ทำไม!?พวกคุณไม่ฟังผมบ้าง"

                      ทั้งสองรีบเปิดประตูออกมาอย่างด่วนจี๋ โดยไม่สนใจข้าพเจ้าเลย เสียงร้องละล่ำละลักของเขาและเธอที่กรากไปเปิดประตูรถช่วงหลัง แล้วข้าพเจ้าก็ต้องตกใจเสียเองเพราะมีอีกสามชีวิตอยู่ที่นั่งอยู่เบาะหลัง เด็กกับคนแก่ แล้วข้าพเจ้าก็แทบผงะเซถอยหลังเมื่อพวกเขาเปิดไฟในรถ หญิงชราร่างท้วม เส้นผมหงอกขาวฟูกระเซิง ในชุดเสื้อคอกระเซ้า ผ้าถุง ใบหน้าซีดเหลือง ดวงตาแข็งค้างไร้แวว รู้สึกเหมือนดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมาที่ตัวข้าพเจ้า

                     “ช่วยด้วยครับคุณ! คุณแม่ผม เกิดฮาร์ทแอดแทกกระทันหัน ผมรีบขับรถ จะพาแกไปส่งโรงพยาบาล จนมาแหกโค้งเอาตรงนี้”เสียงลิ้นรัวอธิบายต้นเหตุของการขับรถเป็นพายุจนมาหลุดโค้ง ซึ่งข้าพเจ้าทราบจากการแนะนำตัวกันและกันอย่างเร่งด่วน ชายคนนี้มีอาชีพเป็นตัวแทนขายสินค้า หรือเซลล์แมนขายของนั้นเอง

                      แต่ในสายตาของข้าพเจ้ามันกลับจ้องไปที่

                      โอ้ คุณพระช่วย เด็กชายหญิงอีกสองคนที่สองผัวเมีย กำลังพยุงตัวออกมานอกรถ ตัวซีดเหลือง ร่างสั้นเทิ้มเหมือนถูกผีเข้า ลูกตาขาวกลายเป็นแดงกล่ำจนน่ากลัว ขอบตาดำคล่ำ ทั้งคู่จดจ้องข้าพเจ้าแทบจะกินเลือดเนื้อ โดยเฉพาะยายแก่ที่เหมือนมาจากฉากหนัง บ้านผีปอบ น้ำลายไหลเยิ้ม ลำคอสั่นกระตุก พยายามยกมือชี้มาที่ข้าพเจ้า

                        สองขามันถอยไปเอง เหยียบก้อนหินจนสะดุดเกือบหกล้ม

                        “คุณครับ!”

                        เสียงอันดัง ของชายในชุดสูทแบบนักธุรกิจหรือนักขาย ปลุกสติของข้าพเจ้าก่อนวิ่งป่าแตกไปซะก่อน น่าอายจริงๆ ข้าพเจ้ายอมรับเลย
มีเสียงกลุ่มฝีเท้าดังอยู่มาจากในหมู่บ้าน อีกฟากถนน กลุ่มคนที่โผล่หน้าออกมาเป็นกลุ่ม แล้วตามด้วยเสียง โว๊กว๊าก! หงายหลังวิ่งย้อนกลับไป ข้าพเจ้าพยายามกวักมือเรียก ให้พวกเขามาช่วยก็เปล่าประโยชน์

                        “จริงๆเลยนะ ชาวบ้านแถวนี้ เกิดอุบัติเหตุอะไรไม่เคยออกมาดูมาแลกันบ้างเลย เอะอะก็คิดว่าผีกันทั้งกะปี”มือยกสูงของข้าพเจ้าต้องตั้งค้าง บ่นอุบ กับพฤติกรรมอันขลาดกลัวไร้ซึ่งน้ำใจของชาวบ้านแถวนี้

                         “อย่าไปสนใจ พวกเด็กวัยรุ่นพวกนี้เลยครับ มัน ชอบมาเสพยากันแถวนี้ประจำ โดนผมขู่เอาไว้จะแจ้งกำนันมาจับ พอคราวมันเห็นผมมันก็พากันหนี”ทำพูดใจดีสู้เสือไปงั้นเอง ทั้งที่สองขามันกำลังจะวิ่งตามพวกนั้นไป

                         ฝ่ายชายคนนั้นบอกกับผมว่า รถของพวกเขาติดตั้ง แก๊ส กลัวว่ามันจะระเบิดลุกไหม้ ต้องรีบออกห่างจากรถให้ไกลที่สุด

                          ข้าพเจ้าชี้ไปที่ศาลาที่พักริมทาง อันตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว วังเวงในความมืด หญ้าขนขึ้นแวดล้อม เถาวัลย์เลื้อยพันเสาแผ่ใบปกคลุมหลังคารกทึบ

                          ทันที ที่เข้ามาใต้ชายคา ข้าพเจ้าถึงกับต้องเอามืออุดปากและจมูกกับกลิ่นเน่าเหม็น สองคนผัวเมียยังคงง่วนอยู่กับจัดแจงเด็กกะคนแก่นั่งลงยังพนักพิง ร่างทื่อๆ เหมือนผีดิบบิดหมุนคอมายังข้าพเจ้าอีกตามเคย

                         “อ้าว! นั้นคุณจะไปไหน ทำไมไม่มานั่งกับพวกเราด้วยละ”

                         เออ ผมขออนุญาต วิทยุรายงานให้ศูนย์ทราบเหตุการณ์ก่อนนะครับ ไม่ไปไหน ทิ้งพวกคุณจริงๆครับ

                         พึ่งก้าวขาแอบถอยห่างออกมาไม่ถึงห้าก้าว ก็ถูกสองผัวจับได้ ต้องแค่นหัวเราะแหะๆ ปลีกตัวไม่ได้เลยเรา

                         “จริงๆเลยนะคนเรา”ข้าพเจ้าต้องส่ายหัวบ่นพร่ำ

                         “แค่ได้กลิ่น ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆก็พาลนึกไปถึงแต่เรื่องเดียวนั้นแหละ ทำไมไม่ลองนึกพิจารณาไปอย่างอื่นบ้าง คิดแบบวิทยาศาสตร์ไม่เป็นรึไง เอาะ! ลืมไป” หันมายิ้มกับสองผัวเมียอย่างใจดีสู้เสือ คำพูดแก้เก้อ แต่พวกเขาคงไม่เห็นสีหน้าของข้าพเจ้าในเงามืดนี้หรอก ถนนเส้นนี้มันมีแต่ความมืดจริงๆ

                         “ไม่ๆ ผมไม่ได้บ่นว่าพวกคุณนะครับ อันนี้ผมบ่นแบบรวมๆกันนะ “

                         สองผัวเมียไม่ได้สนใจกับเสียงบ่น เพราะต่างคนต่างรีบประคองร่างอันแข็งทื่อของเด็กกะคนแก่อย่างยากเย็นเข้ามานั่งในศาลา สายตาอันไร้แววนั้นซิยังคงจับจ้องที่ข้าพเจ้าจนขนลุกตั้งชันไปหมด ขอสารภาพในใจเลยว่าตัวข้าพเจ้าเป็นแค่ สมาชิกมูนิธิ คอยแจ้งข่าวสารเป็นแค่มือใหม่ไม่เคยต้องลุยเดี่ยวเช่นนี้เลย เจออิแบบนี้หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ

                         คนตายเพียงกายแต่ยังไม่ดับจิตพ้นไปจากร่าง หรือที่เรียกว่า ผีดิบ จากประสบการณ์ที่ได้ยินข่าวลือในแวดวงกู้ภัยของข้าพเจ้า ในนี้ต้องมี ผอสระอี แน่ พยายามจะเลี่ยงจะพูดคำนั้น ข้าพเจ้าพยักหน้าอย่างช้าๆ แล้วกวักมือลงให้ทั้งหมดนั่งลงกับม้านั่ง ฝืนทำตัวให้ปกติที่สุดแม้หัวใจจะหวาดผวาต่อร่างที่เหมือนไร้วิญญาณสามตนนั้น ตัวข้าพเจ้าขอปลีกไปนั่งเอกเขนกฝังคนเดียวในความมืด ทำการสารยายความจริงให้ฟังทันที

                         “ข้างๆนั้นนะ”ชี้นิ้วไปที่พงหญ้าขนอันแน่นทึบ มืดจนมองไม่เห็นอะไร นอกจากกลิ่นเหม็นอันน่าสะอิดสะเอือนเหมือนว่ามันจะอยู่ใกล้จมูกก็ไม่ปาน

                         “มีหมาเน่า นอนอึ้ดทึ่ด ขึ้นอืด เน่าเฟะ ต้นเหตุของกลิ่นอันร้ายกาจน่ะ ทนหน่อย เอาผ้าจมูกไว้ก่อนก็ได้นะ อย่าทำเหมือนชาวบ้านแถวนี้ล่ะ ได้กลิ่นเหม็นสาบสางแบบนี้เข้าหน่อย เอะอะก็เหมาว่าเป็นกลิ่น ผี ลูกเดียว”

                         “คุณรู้ได้ไง?”สองผัวเมียถามขึ้นพร้อมกัน

                         “ก็ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วไง”

                         “เออ ใช้สิเมื่อกี่เราเห็นอยู่แวบหนึ่งว่ามีรถหน่วยกู้ภัยของพวกคุณ ว่าแต่ คุณทนได้ยังไงนะ กลิ่นมันแรงซะขนาดนี้”ข้าพเจ้าต้องส่ายหัวแต่ริมฝีปากเจือด้วยรอยยิ้ม ตอบจากในมุมมืดของศาลา

                         “ศพคนตายก็เหม็นยั้งงี้แหละ ผมทนได้ตั้งนานแล้ว”ได้โอกาสคุยซะเลย

                         “โอ ใช้ จริงซินะ”สองผัวเมียผงกหัวให้แก่กัน

                         “คุณคงคุ้นเคยกับการเก็บศพมามาก จนไม่เหลือที่ว่างในหัวสมองให้กลัวกับเรื่องพวกนี้อีกแล้วสินะ”

                          ใช้สิ ในหัว สมอง ของข้าพเจ้าตอนนี้มันโล่งไปหมดแล้ว ไม่รู้จะพะวงกับเรื่องพวกนี้ไปอีกทำไม ก็เรามัน... ข้าพเจ้านึกถึงประสบการณ์ที่ต้องข้องเกี่ยวกับพวกกู้ภัยเก็บศพ เห็นคนตายโดยเฉพาะที่โค้งแห่งนี้มานักต่อนัก ควรจะชินกับเรื่องพวกนี้ได้แล้ว

แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 52 06:22:54

แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 52 17:15:57

แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 52 06:28:40

แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 52 17:19:17

แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 52 17:14:10

แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 52 17:13:02

จากคุณ : doctorwar
เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 52 08:01:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com