ความคิดเห็นที่ 1 |
"เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะรูปร่างเจ้าเป็นอย่างนี้หรือ" หญิงชราถามต่อไป "ข้าบอกเจ้ามาแต่แรกแล้วว่า แม้ผู้อื่นบอกว่าเจ้าเป็นอะไร ข้าก็เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่วิหารบอกอาจจะไม่ใช่สิ่งถูกต้อง อาจจะมีชะตากรรมอื่นรอเจ้าอยู่ คำสอนอย่างที่บอกว่า คนคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเป็นปีศาจร้าย เกิดมาเพียงเพื่อจะต้องถูกล่าถูกฆ่า เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ"
เดรเกลไม่ตอบคำนั้น หญิงชราจึงได้เอ่ยถามขึ้น
"สองครั้งก่อนที่เจ้าใช้พลัง...เจ้าใช้ที่ไหน ช่วยใคร"
"เหตุใดจึงคิดว่าข้าจะใช้พลังช่วยคน" อีกฝ่ายยิ้มเสียดสีจาง ๆ ที่มุมปาก
"หรือว่าใช้ฆ่าคน ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าเจ้าใช้ที่ไหนเท่านั้นเอง เจ้าบอกว่าไม่มีสิ่งใดตอบแทน ถ้าหากอยากตอบแทน ก็เล่าเรื่องให้ข้าฟัง"
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจ ...มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับอะไรมาแต่แรก...ไม่ใช่หรือ
"ข้าใช้พลังครั้งแรกเมื่อเด็ก ...ช่วยเด็กผู้หญิงตาบอดคนหนึ่ง จากนั้นจึงได้ช่วยพ่อแม่บุญธรรม ข้าเป็นเด็กถูกเก็บมาเลี้ยง ไม่ทราบว่าพ่อแม่จริงเป็นใคร คิดว่าเพราะมีปีกอย่างนี้จึงถูกทิ้งแต่แรก" ชายหนุ่มตอบ "เมื่อข้าช่วยเด็กหญิงนั้น ปีกข้าใหญ่ขึ้นจนฉีกออกจากที่พันผ้าไว้ ทำให้คนทั้งปวงเห็น จึงถูกล่า คนพวกนั้นจะทำร้ายพ่อแม่บุญธรรมของข้า ข้าก็ปกป้องท่าน...พาไปที่อื่น ไม่ให้ใครตามได้
"แต่เพราะข้าแสดงพลังออกมา ท่านทั้งสองคนจึงกลัว ไม่ต้องการให้ข้าอยู่ด้วยอีก ข้าก็ไปที่อื่น เร่ร่อนอยู่พักหนึ่ง จึงมีผู้หญิงคนหนึ่งช่วยไว้ ข้าเรียกเธอเป็นพี่สาว ...พี่สาวไม่สบายมาก เธอบอกว่าชีวิตที่เหลืออยู่นับได้เป็นวันเป็นสัปดาห์ ข้าพยายามช่วยเธอ ...ยืดเวลาได้สองปี จนถึงวันหนึ่ง พี่สาวบอกว่าอย่าใช้พลังอีก เธอว่าไม่อยากเห็นข้าเป็นอะไร ข้าคิดว่าเพราะใช้พลังช่วยพี่สาวติดต่อกันเป็นเวลานาน แม้หลังจากเลิกใช้พลัง พี่สาวตายไปแล้ว ปีกก็ยังขยายอยู่ ผ่านไปประมาณสามปี จึงมีขนาดเต็มที่ ก็ไม่ขยายอีก" เขาหันไปมองซซาร์แวบหนึ่ง "ช่วงสามปีนั้น เป็นตอนที่ข้าผ่านไปที่ไร่ของพ่อแม่ซซาร์"
"ถ้าอย่างนั้น คนที่เจ้าใช้พลังด้วยโดยตรง ก็เหลือเด็กผู้หญิงที่เจ้าว่าตาบอด กับซซาร์ เฮสลาเนีย ที่อยู่ตรงนี้"
"เป็นอย่างนั้น" ชายหนุ่มรับ
"ใช้ด้วยความเต็มใจของเจ้าเอง?"
เดรเกลตอบรับในคอ ไม่ทราบว่าบทสนทนานี้จะไปสิ้นสุดที่ใด เมื่อได้ยินถึงตรงนั้น แม่หมอจึงลุกขึ้นยืน นางตัวเล็กกว่าชายหนุ่มมาก แต่เมื่อยืนอย่างนั้น ก็ยังให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอยู่
"เจ้าเคยคิดอยากสู้กับชะตากรรมของตัวเองบ้างหรือเปล่า เดรเกล ซีมาล" นางถาม "หรือว่าจะหนีอย่างนี้ตลอดไป"
"ข้าคิดว่า...ท่านเคยพูดอย่างนี้กับข้าครั้งหนึ่งแล้ว" ชายหนุ่มตอบ "ก่อนนี้...ข้าก็เคยคิดอย่างนั้น คิดว่าสักวันหนึ่งจะสามารถกลับเป็นคนธรรมดา เมื่อปีกยังไม่ใหญ่จนซ่อนไม่ได้ ข้าเดินทางไปที่วิหารหลายแห่ง ศึกษาเรื่องของคนมีปีก ข้าทราบว่าร่างกายของข้าจะต้องเปลี่ยนแปลง ทราบว่าเลือดของข้าเป็นยา แต่ว่าอื่น ๆ นอกจากนั้น ล้วนไม่มีบันทึกไว้ ไม่มีกระทั่งบันทึกที่บอกว่า หากร่างกายเปลี่ยนถึงที่สุด ข้าจะกลายเป็นตัวอะไร เพราะคนมีปีกล้วนถูกฆ่าไปก่อนจะได้เปลี่ยนร่างถึงขั้นนั้น แม่หมอ...ข้าถามคนไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่ว่าเป็นคนมาจากที่ใดแคว้นใด ไม่ว่านักบวชหรือคนทั่วไป แม้พ่อค้าจากแดนไกล ไม่มีใครตอบคำถามของข้าได้ ทุกคนบอกว่าคนมีปีกจะมาล้างโลก และวิหารจะต้องปกป้องโลกไว้ จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
"แม่หมอ ข้าอาจจะไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก แต่ถ้าหากถึงขั้นว่าตัวจะต้องมาล้างโลก มาฆ่าคนมากมาย ข้าก็ไม่อยากทำ ข้าคิดว่า...โลกไม่ได้เลวเกินไปนัก ยังมีคนเก็บตัวประหลาดอย่างข้ามาเลี้ยงได้หลายปี อีกอย่างหนึ่ง ข้าไม่ต้องการกลายเป็นปีศาจ หรือสัตว์ร้าย หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ตัวข้า ท่านอาจคิดว่าคนอย่างข้า ฆ่าตัวตายเสียดีกว่า แต่ท่านจะว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดก็ได้ ข้าเพียงแต่อยากเชื่อว่าจะมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลง อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เขาพูดยาวกว่าปรกติ เห็นได้ชัดว่าถูกถ้อยคำของแม่หมอกระทบใจ เมื่อพูดจบแล้ว ชายหนุ่มก็เงียบไป สายตาตกลงมองมือของตน เขาก็คงคิดอยู่เหมือนกัน...ข้าจะมาโอ้อวดอะไร ในเมื่อสุดท้ายก็เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้แล้ว ในเมื่อสุดท้ายที่ทำได้ ก็มีเพียงแต่ดิ้นรนให้อยู่รอดต่อไป
"อีกอย่างหนึ่ง ข้าไม่เชื่อคำท่าน" เขาเอ่ยอีก "ท่านบอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าข้าอาจจะเป็นสิ่งอื่น แต่ไม่มีหลักฐานพยานใด ข้าคิดว่า...ท่านรู้ว่าข้ามีพลัง จึงจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือ หากเป็นอย่างนั้น ข้าก็ไม่ต้องการ"
"อยู่อย่างนั้นมานานปีจนเป็นโรคระแวงหรือ" หญิงชรายิ้มเล็กน้อย "ก็จริง...ข้าไม่มีหลักฐานพยานให้เจ้าหรอก แต่เดรเกล...ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง สิ่งที่วิหารบอกไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป ในวิหารยังเก็บความลับไว้อีกมากมาย แต่วิหารต้องการให้ทุกคนเห็นเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิทักษ์พยากรณ์"
"ท่านทราบได้อย่างไร"
"ข้าก็เคยอยู่ในวิหารหลายปี"
..........................................................................................................................................
อารันถูกส่งตัวกลับไปที่วิหารด้วยเวทมนตร์ เขาไม่เหมือนคนอื่น ๆ ...คนอื่น ๆ เพียงถึงมือแพทย์ ก็ถือว่าพอแล้ว หากว่าแพทย์รักษาได้แค่ไหน ก็คือแค่นั้น แต่สำหรับอารัน ไม่มีคำว่า "เพียงแค่นั้น" มาตั้งแต่แรก มีเพียงคำว่าดีที่สุด มีเพียงคำว่าถึงใครอื่นตายไปอย่างไร เขาก็จะต้องไม่เป็นไร แม้บาดเจ็บปางตาย ชายหนุ่มจะได้รับอภิสิทธิ์ ถูกส่งตัวหาสตรีศักดิ์สิทธิ์ทันที สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นตำแหน่งสูงสุดของนักบวชฝ่ายหญิง พวกนักบวชหญิงแห่งวิหารมักเรียนเวทมนตร์ มีวิชารักษาอาการบาดเจ็บและโรคภัย
กระดูกข้อมือข้างขวาของอารันถูกบิดจนหัก กระดูกแขนแตกออกเป็นสองท่อน เขากัดฟันแน่นตอนที่หมอทหารเร่งมาจัดกระดูกเบื้องต้น แล้วดามไม้ไว้ หลังจากนั้นคนสนิทจึงประคองให้เขานอนลงบนแคร่ และคนที่ใช้เวทมนตร์ได้ก็เข้ามา เขียนสัญลักษณะอักขระ และใช้เวทมนตร์ส่งตัวเขาไป อารันมารู้สึกตัวอีกครั้งที่วิหาร มีคนมารับตัว วุ่นวายกันมากมาย แคร่ของเขาถูกหามเข้าไปในส่วนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ และอารันก็ถูกพยุงให้นอนลงบนเตียง
เขาปวดแขนอย่างยิ่ง แต่ก็เพลียมากเช่นกัน ดังนั้นจึงสะลืมสะลืออยู่จนกระทั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้ามา...นางมีอายุแล้ว ประมาณสี่สิบห้าสิบปี แต่รูปกายภายนอกยังดูสาวอยู่ แทบไม่น่าเชื่อว่าอายุมากกว่าสามสิบเศษ ผมของนางเป็นสีทองเดียวกับอารัน ไม่เคยหงอกขาวแม้แต่เส้นเดียว นางมุ่นผมไว้เป็นมวยสูง คลุมผ้าปิดครึ่งหน้าบริเวณปากและคางตามแบบประเพณีนักบวชหญิงทำกัน อารันเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เข้ามา ก็ได้แต่หลับตาลง
"ข้าเคยบอกท่านแล้ว อย่าได้ประมาทเลินเล่อ ผู้อื่นจะเห็นว่าไม่งาม" นางบอกเรียบ ๆ เมื่อเข้ามาใกล้ น้ำเสียงแฝงแววตำหนิอยู่กลาย ๆ "ท่านเป็นคนสำคัญถึงเพียงนี้ เมื่อไรจะรู้จักรักษาตัวเอง"
อารันไม่ได้ตอบคำนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์จึงนั่งลง นางแตะมือไปที่บาดแผลของเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามันสมานตัว ครั้นกระดูกต่อกระดูกดีแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์จึงได้ถอนมือ นั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ อารันก็ค่อย ๆ ยันร่างขึ้นนั่ง แก้ไม้ที่ดามไว้ออกเงียบ ๆ เขาลอบมองหญิงตรงหน้าครั้งหนึ่ง แต่ก็เพียงครั้งเดียว จากนั้นจึงเอ่ยคำขอบคุณตามธรรมเนียม ลุกขึ้นยืน
"พระสังฆราชามีคำสั่งให้ท่านไปเฝ้า" สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขณะที่เขาจะออกไป
"จะรีบไป" ชายหนุ่มตอบ ไม่มีทั้งคำแทนตัวและหางเสียง เพราะไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรมาหลายปีแล้ว เขาลอบมองนักบวชหญิงอีกครั้ง ครั้นนางไม่มองมา ตัวเองจึงเร่งออกจากห้อง ระหว่างทางที่เดินไป นักบวชทั้งหญิงและชายอื่น ๆ ที่เห็นเขาต่างพากันคำนับลงต่ำ ปรกติแล้ว นักบวชจะไม่ทำความเคารพผู้พิทักษ์พยากรณ์ แต่อารันถือเป็นกรณีพิเศษ เขาไม่ใช่ผู้พิทักษ์พยากรณ์ทั่วไป หากแต่เป็น "บุตรแห่งวิหาร" เป็นบุคคลที่ได้รับความโปรดปรานจากเทพเจ้า
ตามประเพณีแต่โบราณมาของนครแห่งสายลม ทุก ๆ สิบปี พระราชาจะเข้าพิธีวิวาห์กับนักบวชหญิงที่ได้รับการคัดเลือกคนหนึ่ง ทั้งสองจะอยู่ด้วยกันอย่างสามีภรรยาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เป็นเครื่องหมายยืนยันว่าราชวงศ์และวิหารมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกัน และมีนัยยะถึงความเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ แม้ว่านักบวชทั่วไปจะถือเพศพรหมจารี แต่เฉพาะในช่วงวิวาห์นั้น ให้ถือว่าไม่ได้เป็นนักบวช ด้วยเหตุนี้นานครั้งนักบวชหญิงจึงอาจจะตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรของพระราชา เด็กที่เกิดมาไม่ถือเป็นเจ้าชาย แต่ถือว่าเป็นบุตรของวิหาร เป็นเด็กที่จะนำโชคลาภมาสู่นครแห่งสายลม เด็กเหล่านี้มักมีฐานะเป็นพิเศษแตกต่างจากคนอื่น บางคนที่บวช สุดท้ายก็มักได้เป็นพระสังฆราชา ส่วนคนที่ไม่ได้บวช แม้ไม่ได้สืบบัลลังก์ ก็มักจะมีตำแหน่งใหญ่โตสำคัญ
ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา มีบุตรแห่งวิหารเกิดมาเพียงคนเดียวเท่านั้น คืออารัน ด้วยเหตุนี้ คนทั้งปวงจึงเห็นว่าเขาเป็นเด็กพิเศษอย่างยิ่ง ตั้งแต่จำความได้ อารันก็อยู่ในวิหาร เขาถูกเลี้ยงดูโดยนักบวชหญิง ซึ่งที่จริงแล้วเขาควรจะเรียกว่าแม่ แต่นางบอกว่าตนไม่ใช่แม่ของเขา นางว่านางกลับเป็นนักบวชแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวอะไรกับเขาอีก ถึงอย่างนั้น อารันก็รู้สึกตั้งแต่ยังอายุไม่มากนักว่าอีกฝ่ายใช้เขาเป็นบันได นางเป็นคนทะเยอทะยาน สุดท้ายใช้ฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตรแห่งวิหาร ก็ได้ขึ้นเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน นางไม่ให้ความรักเขา แต่ก็คาดหวังให้เขาสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่แรกมา ไม่ว่าเขาทำอะไรได้ดีเพียงใด นางก็ไม่ค่อยจะพอใจอยู่แล้ว
สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แม่ของเขา พระราชาเองก็ไม่ใช่พ่อของเขาเช่นเดียวกัน เขาเคยเห็นพระองค์เพียงในงานพิธี หรือเวลาที่ไปเฝ้ายามมีราชกิจ พระราชาไม่ได้ตั้งใจให้กำเนิดเขามา ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นเขาเป็นบุตรชาย แต่จนบัดนี้ พระองค์ก็ยังไม่มีบุตรธิดาอื่น มีคนบอกเขาว่าครั้งหนึ่งพระราชินีเคยทรงครรภ์ แต่เด็กนั้นตายเมื่อคลอด บางที...หากว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ อารันก็อาจมีทางได้ขึ้นครองบัลลังก์
อารันไม่มีทั้งบิดาและมารดา คนอื่นว่าเทพเจ้าเป็นบิดามารดาของเขา บางคนก็ว่าพระสังฆราชาเป็นตัวแทนเทพเจ้าบนโลกนี้ ดังนั้นจึงควรถือว่าพระสังฆราชาเป็นบิดาของเขา ...พระสังฆราชาก็เอ็นดูอารันมาตั้งแต่แรก ทว่ายิ่งนานไป ชายหนุ่มกลับยิ่งสงสัยว่าที่เอ็นดูนั้น คงเพราะพระองค์อยากจะเชิดให้เขาเป็นพระราชาแทนพระราชาองค์ปัจจุบัน ...พระราชาองค์นี้มิได้ลงรอยกับพระสังฆราชามากนัก หากหาทางให้สวรรคตไปโดยเร็ว เอาบุตรแห่งวิหารขึ้นแทน พระสังฆราชาก็อาจจะทำอะไรได้สะดวกขึ้น เมื่ออารันเห็นอย่างนั้น แม้ต่อหน้าจะทำเป็นอ่อนน้อมยอมตาม แต่ในใจกลับนึกดูถูกอีกฝ่าย เขาเห็นว่าไม่ว่าในวังหรือในวิหารล้วนสกปรก ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารเป็นความจริง และที่น่าทุเรศที่สุดคือตัวเขาเอง เพราะหากจากไปก็ไม่มีที่อื่นใดจะไปได้ เขาจะไปไหนหรือ เขาอยู่ได้ด้วยวิหาร มีตัวตนได้ด้วยวิหาร ไม่มีบ้าน ไม่มีบิดามารดา คนอื่นคำนับเขา อารันก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นคำนับอะไร
มีแต่เวลาที่เขาออกไปข้างนอก ใช้ชื่ออารัน มาลิค ใส่เกราะดำเป็นผู้พิทักษ์พยากรณ์ ได้ฆ่าฟันได้ทำลาย ตอนที่ดาบกระทบเนื้อ ตอนที่ไล่ล่าไอ้จิ้งจอกเดรเกล ซีมาล มีแต่ตอนนั้นที่เขารู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน ว่าตัวเองเป็นความจริง
และก็มีเวลาที่เขาอยู่กับเธอ...ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นความจริงเช่นกัน แต่เวลานี้...ไม่ได้เป็นจริงมานานมากแล้ว มีแต่ความหลอกลวง
เขาก็มีชีวิตอยู่แบบนั้นเอง
| จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
| เขียนเมื่อ |
:
22 ต.ค. 52 01:01:54
|
|
|
|