เรื่อง แมว~แมว [หมาไม่เกี่ยว!!]
|
|
บ้านฉันทำสวนยางพารา พ่อแม่ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3-4 เพื่อไปกรีดยาง โดยปล่อยให้เด็กน้อยหลับอยู่ตามลำพังแค่สองคนพี่น้อง ถ้าคืนไหนโชคดีหลับสนิทยาวถึงเช้าก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าวันไหนสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วพบว่าไม่มีพ่อแม่อยู่ข้าง ๆ มันช่างว้าเหว่จับใจ ..เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างฉันหาทางออกเพื่อปลอบประโลมตัวเอง โดยการนอนกอดแมว ไม่ใช่เพื่อหวังพึ่งไออุ่น แต่หวังให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สำหรับฉันแล้ว..แมวเป็นมากกว่าเพื่อน
ตอนนั้นบ้านเรามีสมาชิกแมว ๆ อยู่ด้วยกัน 3 ตัว ชื่อ เจ้าแต๋ม เจ้าแป้ง และ เจ้าลูกหลง เรื่องมันค่อนข้างยาว ขอเล่าแบบแบ่งเป็นตอน ๆ ตามตัวเอกของเรื่องแล้วกันนะ
ตอน: เจ้าแต๋ม แมว 9 ชีวิต
เจ้าแต๋มเป็นแมวเพศเมียสมาชิกส.ว.(สูงวัย) พันธุ์ไทยแท้สามสี รูปร่างปราดเปรียว งามสง่า และสุขุม อยู่มานานก่อนใครเพื่อน ตั้งแต่ฉันเริ่มจำความได้และมาอยู่ที่สวน เจ้าแต๋มเป็นแมวที่เรียบร้อยที่สุดในบรรดาแมว ๆ อาจเป็นเพราะพ้นวัยคึกคะนองแล้วก็ได้
ชีวิตเจ้าแต๋มถือว่าทรหดอดทนที่สุด สมฉายาแมว 9 ชีวิตมาก จริง ๆ แล้วเจ้าแต๋มไม่มีชื่อ พอสมาชิกแมวมีมากกว่าหนึ่ง เราถึงได้ตั้งชื่อให้มันทีหลัง ฉันผูกขาดการตั้งชื่อแมวในบ้าน แต่อย่าถามนะว่าทำไมตั้งชื่อแมวตัวนี้ว่าเจ้าแต๋ม..เพราะฉันจำไม่ได้จริง ๆ
แต๋มมีนิสัยที่ไม่น่ารักอยู่อย่างเดียวคือ ขี้ขโมย .. เวลาคุณนายแดงทำกับข้าวแบบ ทำไปบ่นไป ห้ามใครไปเกะกะในครัว เจ้าแต๋มจะอาศัยลูกชุลมุน ขโมยของกินให้แม่โมโหได้ตลอด แม้แต่กับข้าวที่ครอบฝาชีไว้ แต๋มยังเปิดฝาชีขโมยไปได้แบบมึน ๆ พ่อเริ่มไม่ปลื้ม เลยจับมันใส่ถุง ขึ้นรถมอไซค์ ไปทิ้งตรงข้างทาง ห่างจากบ้านร่วมสิบกิโล มันหายไปเกือบครึ่งปี ..วันนึงมันก็ซานกลับมาที่บ้านด้วยสภาพผอมโซ ถ้าเป็นหมาพวกเราคงไม่แปลกใจ เพราะหมามีความทรงจำดีกว่าแมวมาก จมูกก็ดีกว่า และยังมีสัญชาติญานการหวนคืนถิ่นมากกว่าแมว แล้วแต๋มกลับมาได้อย่างไร?....เรื่องนี้ยังเป็นปริศนาให้ถกเถียงจนถึงทุกวันนี้
ช่วงนึงที่บ้านทำโรงเพาะเห็ด จำพวกเห็ดหูหนู เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า ...ห้องเห็ดนี้จะอับชื้น และมืดทึบ เพื่อให้เห็ดได้เติบโตเต็มที่ บรรยากาศแบบนี้ได้เย้ายวนแขกไม่พึงประสงค์ให้เข้ามาซุกตัว แบบไม่ได้รับเชิญอยู่บ่อย ๆ .. ทั้งงู หรือตะขาบ ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบของพ่อ แมวนี่แหละคือฮีโร่ พ่อจะจับแมวโยนเข้าไปในห้องเห็ดก่อน เพื่อให้เซอร์เวย์รอบ ๆ ว่าปลอดภัยหรือเปล่า ถ้ามันส่งเสียงขู่ ฟู่ ๆ ก็ เตรียมไม้พิฆาตรอสังหารได้เลย ส่วนใหญ่ที่เจอ จะเป็นงูเห่าเจ้าแห่งอสรพิษซะด้วยสิ
*มีเทคนิคการฆ่างูที่พ่อแนะนำไว้ด้วยคือ ถ้ามีแค่ไม้ไผ่ ต้องใช้ไม้ไผ่แบนในการตี ห้ามใช้ลำไม้ไผ่ทั้งปล้องตีเด็ดขาด เพราะความกลมกลวง จะกระเด้งสะท้อนกับพื้น การปลิดชีพงูจึงเป็นไปได้ยากขึ้น... (ใครไม่เชื่อก็ลองทำดูได้นะ..แต่ถ้างูฉกตายซะก่อนอย่ามาโทษกันเน้อ)
ฉันเองก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเพราะเจ้าเหมียวนี่แหละ วันนั้นตอนขึ้นไปนั่งทำการบ้านบนเหล่าเต๊ง ฉันได้หิ้วเจ้าแต๋ม กะ เจ้าแป้งคู่ใจขึ้นไปด้วย จู่ ๆ พวกมันก็พองขน ขู่ฟู่ ๆ ขึ้นมา พอหันไปจึงได้เห็น งูเขียวหางไหม้ (มีพิษ) ขนาดใหญ่มาก ยาวประมาณ 2 เมตรกว่า พาดอยู่ตรงผนังตำแหน่งใกล้ฉันแค่คืบ
ให้ทายสิ..ฉันจะทำไง? .. กรี๊ดสิคะกรี๊ด... ..กรี๊ดพร้อมกระโดด สองที จากเหล่าเต๊งลงมาชั้นล่าง เหมือนได้รับการฝึกวิทยายุทธิ์วิชาตัวเบาจากวัดเส้าหลิน [ถึงอยู่บ้านสวน แต่ฉันไม่เคยฆ่าสัตว์ (นอกจากมดกับยุง) เวลาเจอตะขาบ แมงป่อง หรืองู ทำได้อย่างเดียว คือ กรี๊ด ๆ ๆ กระโดด ๆ ๆ นิ้วก็ชี้เป้า ให้พ่อลงมือ(ลงไม้?).. ถ้าพ่อไม่อยู่ก็จะเป็นหน้าที่น้องที่ต้องปกป้องพี่สาวตัวดำ ๆ คนนี้ แม่แดง ก็พอ ๆ กับฉันนั่นแหละ ไม่ฆ่าอะไรเหมือนกัน เป็นแต่กรี๊ด... (โชคดีนะเนี่ยที่งูไม่เลือกเข้าบ้านในวันที่มีแต่ฉันกับแม่แค่สองคน ไม่งั้น ไม่รู้ใครจะมาปกป้องสาวน้อยผู้อ่อนแอเหล่านี้ มีหวังถูกงูฉกทั้งคู่..เฮ้อ -__-)]
เจ้าเหมียวเลือดนักสู้ ก็ปกป้องเจ้านายเต็มที่ (รึเปล่าไม่รู้ แต่ฉันจะพยายามมองว่ามันต่อสู้เพื่อฉัน) จนเจ้าแต๋มถูกฉกเข้าที่คอบริเวณหลังหู หลังจากพ่อฆ่างูตาย แม่ก็พยามทำแผลให้มันตามกำลัง (ในสมัยนั้น อย่าได้ถามหาโรงพยาบาลสัตว์เลยนะ ขนาดโรงพยาบาลคน ยังไกลจากบ้านร่วม 60 กิโลเมตร)
แล้ว..แต๋มก็ไม่ตาย (สมกับเป็นแมว 9 ชีวิตจริง ๆ) มันออกไปกินหญ้ามากขึ้น แม่บอกว่าหญ้าที่แมวกิน เหมือนเป็นสมุนไพรรักษาตัวเอง และถ้ามันเลียแผลได้แผลมันก็จะหายไวขึ้น แต่แผลเป็นอยู่ในบริเวณที่เลียไม่ถึง จึงต้องใช้เวลารักษานานหน่อย แผลเริ่มบวมและมีหนอง คุณนายแดงสวมวิญญาณพยาบาล คอยเอาเข็มเจาะ บ่งหนองออกเพื่อใส่ยา มันก็จะเตลิดไปทั่วบ้านด้วยความเจ็บปวด เลือดและน้ำหนองไหลเป็นทาง ก็พยาบาลแดงอีกนั่นแหละที่ต้องเช็ดทำความสะอาด (โดยที่ฉันนั่งทำตาปริบ ๆ ไม่ช่วยอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่รักแมวนักหนา >> ก็แหม..ตอนนั้นยังเด็กอยู่อ๊ะ สำนึกรับผิดชอบยังไม่มี) แม่ทำไปบ่นไปตามสไตล์ วนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นเดือน ๆ แผลจึงแห้งและหายเป็นปกติ
..จริง ๆ แล้วพ่อจะห้าม ไม่ให้เอาแมวมานอนด้วย เพราะกลัวเราจะสูดเอาขนแมวเข้าไป กลายเป็นหอบหืด แต่ฉันคงเนื้อหอมในหมู่แมวล่ะมั้ง มันถึงชอบยกครอบครัวมานอนบนตัวฉันกันใหญ่ บ่อยครั้งที่สะดุ้งตื่นเพราะหายใจไม่ออก ยังกะโดนผีอำ ทั้งหนัก ทั้งอึดอัด แต่ละตัวอวบ ๆ ทั้งนั้น 3 ตัวรวมกัน กี่กิโลกันล่ะนั่น
บางทีก็มีขำ ๆ คือเจ้าแป้ง ที่แย่งพื้นที่บนอกฉันไม่ทัน ก็จะระเห็จตัวเองไปนอนซุกอยู่บนผ้าห่ม ตรงหว่างขาฉัน (ฉันนอนขาถ่างค่ะ 55+) พอฉันพลิกตัวตะแคงที ผ้าห่มก็จะม้วนและขาก็จะแนบสนิท จนไม่มีรูให้หายใจ มันก็ดิ้นกระแด่ว ๆ เหมือนจะขาดใจตาย ฉันต้องตื่นขึ้น จับมันมานอนข้าง ๆ ทั้งง่วง ทั้งขำ ทั้งเอ็นดู
ไม่ว่าฉันจะเปลี่ยนห้อง เปลี่ยนที่นอน ไปนอนตรงไหน เจ้าพวกนี้ก็จะตามไปนอนด้วยเรื่อย ๆ ก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน รักอะไรฉันนักเนี่ย
สิ่งที่โหดร้ายที่สุดที่แต๋มทำกับฉัน...คือแต๋มชอบมาคลอดลูกบนผ้าห่มฉัน กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ฉันย้ายที่นอนหนีก็ยังไม่พ้น ขนาดฉันเตรียมการไว้ให้มันคลอดในลังไม้ปูผ้าไว้อย่างดี มันก็ยังตามมาคลอดบนผ้าห่มฉันเหมือนเดิม ฉันต้องตัดใจยกผ้าห่มที่เปื้อนไปด้วยเลือด และรกแมวให้ด้วยความไม่เต็มใจ ไปหลายผืนเลยล่ะ เฮ้อ..ไม่รู้อะไรของมันนักหนา ( ถึงฉันจะชอบนอนกับแมว แต่ฉันไม่ชอบนอนกับทารกแมวหรอกนะ กลัวว่าจะนอนกลิ้งไปทับมันตายเอาน่ะสิ)
ครั้งที่กรี๊ดสุดคือ ตอนเช้าวันนึงที่ตื่นมาเจอคดีฆาตรกรรม ศพลูกแมวมีแต่ส่วนหัว และรอยเลือดกระจายไปรอบมุ้ง ทุกคนมั่นใจว่าแต๋มไม่ได้กินลูกตัวเอง ฆาตรกรน่าจะเป็นพ่อแมวมากกว่า การกินทารกพวกเดียวกันนี้ เป็นสัญชาติญาณการควบคุมจำนวนประชากรของสัตว์กินเนื้อเพศผู้ และเป็นการกำจัดคู่แข่งในอนาคตไปในตัว ไม่เว้นแม้แต่ เสือ หรือสิงโต (ตามที่สารคดีเค้าบอกมา)
เจ้าแต๋มแมวนักสู้อยู่กับพวกเราจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และมันเป็นตัวสุดท้าย...ที่จากพวกเราไป นับว่ามันได้ใช้ชีวิตร่วมกับพวกเรามายาวนานที่สุด
จากคุณ |
:
แม่มดราตรี
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ต.ค. 52 12:00:07
|
|
|
|