ดารากลางหทัย บทที่ ๓ : ปิ่นเงินของกำนัล (ท่อนจบ)
|
|
****** แหะ ขอทักทายคนอ่านก่อนนะคะ คืออินมีข้อผิดพลาดใหญ่หลวง เลยขอแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองนิดส์นึงนะคะ ^^"
แฮ่... เรื่องอายุของพระเอกนางเอก ที่อินเคยบอกไว้ว่าห่างกันเกือบรอบนึงนั่นน่ะ ขอเปลี่ยนแปลงค่ะ ที่จริงสองคนนี้อายุห่างกันรอบกว่าๆ เกือบ 2 รอบได้ (19 ปีค่ะ) คราวที่แล้วอินคำนวณผิดพลาดเอง เลยบอกว่าห่างกันรอบเดียว ต้องขออภัยคนอ่านที่น่ารักมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ T_T *******
บทที่ ๓ : ปิ่นเงินของกำนัล (ท่อนจบ)
กลิ่นหอมฝาดของดอกพญาสัตบรรณที่ปลูกไว้รายรอบคุ้มมยุรากรุ่นกำจายตามสายลมต้นเหมันต์เข้ามากระทบฆานประสาท กลิ่นนั้นช่วยปลุกสติสัมปชัญญะของวรกายสูงที่ยังบรรทมอยู่ในห้วงนิทรารมย์ให้ตื่นขึ้น แพขนพระเนตรดกหนากระพริบถี่ก่อนเปิดออก แต่แล้วก็ต้องทรงกดเปลือกพระเนตรให้ปิดลงอีกครา เพราะแสงสว่างยามเช้าแลแสงแดดอ่อนที่ทอดลำเข้ามาภายในห้องพระบรรทม ก่อนจักค่อยๆลืมพระเนตรขึ้นอีกคราอย่างช้าๆ เพื่อทรงปรับพระเนตรให้คุ้นชินกับแสงสว่างทีละน้อย
เจ้าหลวงเมืองคำทรงยันพระองค์ขึ้นจากพระที่ แต่ความปวดพระเศียรที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วยังให้ต้องทรงยกหัตถ์ขึ้นกุมพระเศียรแลทิ้งองค์ลงบรรทมอีกคำรบ ชะรอยว่าน้ำจัณฑ์รสเลิศต้นตำรับเวียงฟ้าคงทำฤทธิ์เอาเสียแล้ว รสหวานละเมียดของมันทำให้ทรงเผลอองค์เสวยเข้าไปใช่น้อย ทั้งที่องค์เองก็ทรงรู้องค์ดีว่าพระศออ่อนเรื่องน้ำจัณฑ์เพียงใด กอปรกับภายหลังจากที่ทรงสำแดงลีลาฟ้อนเจิงให้เป็นที่ประจักษ์ บรรดาพระประยูรญาติ พระราชอาคันตุกะแขกเมืองก็แวะเวียนเปลี่ยนหน้าเข้ามาชื่นชมแลตบท้ายด้วยการรินน้ำจัณฑ์ร่ำเมรัยมิขาดสาย ครั้นจักทรงปฏิเสธก็ให้เกรงพระทัยหนักหนา จำพระทัยจำยอมต้องเสวย
กว่างานเลี้ยงจักเลิกรา เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ก็พระพักตร์แดงก่ำ ทรงวรกายแทบมิอยู่ด้วยความเมามายเสียแล้ว ร้อนถึงคำอินทร์แลสินทรที่ต้องประคองวรกายสูงขึ้นประทับบนเสลี่ยงเพื่อเสด็จกลับคุ้ม แลยังต้องประคองกลับเข้าคุ้มด้วยความทุลักทุเลยิ่ง ด้วยสองพระสหายสนิทก็ร่ำสุราเข้าไปใช่น้อย ทว่าก็ยังดีกว่าผู้เป็นนายมากนัก
เสียงเคาะบานพระทวารดังขึ้นสามครา ก่อนที่บานพระทวารหนาหนักจักเปิดออกอย่างออมเสียง พักตร์เข้มหันไปทางต้นเสียง ก็ทอดพระเนตรร่างสูงของคำอินทร์ก้าวข้ามธรณีบัญชรเข้ามาภายในพร้อมกับอ่างแก้วขนาดเขื่องบรรจุน้ำอยู่ครึ่งค่อนในมือ แท้แล้วหน้าที่จัดเตรียมเครื่องสรงนี้พึงจักเป็นของเจ้านางหลวงหรือเจ้านางพระชายาพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง สุดแท้แต่ราตรีนั้นเจ้าหลวงจักทรงประทับแรมราตรีอยู่ที่คุ้มใด แต่เมื่อเจ้าหลวงเมืองคำมิทรงยอมมีนางแก้วคู่พระบารมีเสียที หน้าที่นี้จึงตกเป็นของสองพระสหายสนิทแทน แลเมื่อสินทรมีภาระครอบครัวของตน คำอินทร์จึงต้องรับหน้าที่นี้ไว้เพียงผู้เดียว
ตื่นแล้วรึคำอินทร์ ข้านึกว่าเจ้าจักมิตื่นเสียอีก
สุรเสียงทุ้มรับสั่งทัก เมื่อคำอินทร์คลานเข่าเข้ามาวางอ่างแก้วบนโต๊ะเล็กข้างพระแท่น รับสั่งนั้นยังให้คนสนิทหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
มิตื่นก็เห็นจักมิได้หรอกเจ้า ตราบใดที่หน้าที่จัดเตรียมเครื่องสรงนี้ยังเป็นของข้าเจ้า ต่อเมื่อใดทรงยอมมีเจ้านางหลวง เมื่อนั้นข้าเจ้าจึงจักขอตื่นสายบ้าง
เห็นจักยาก ข้าตั้งใจมั่นเสียแล้วว่าชาตินี้มิขอมีเมีย
รับสั่งได้เพราะยังมิทรงพบเนื้อคู่หรอกเจ้า วันใดที่ทรงพบ ความตั้งพระทัยที่ทรงดำริว่ามั่นคงประดุจหินผานี้ก็จักโยกคลอนทลายลง
คำอินทร์ทูลตอบยิ้มๆ ใจจริงเขาอยากทูลออกไปด้วยซ้ำว่า เนื้อคู่ของอีกฝ่ายที่เขาว่าเพลานี้ก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อมหัตถ์คว้า แต่ก็จนใจนักว่านางแก้วคู่พระบารมีนั้นยังเยาว์ชันษานัก ทั้งผู้เป็นนายเองก็ดูจักยังมิทรงรู้สึกพระองค์ แลยิ่งไปกว่านั้น ความคิดนี้เป็นแต่เพียงสังหรณ์ของตนเองเท่านั้น จักแม่นยำถูกต้องเพียงใดก็ยังมิอาจรู้ได้
ปากดีไปเถิดคำอินทร์ แล้วคนพูดล่ะ ข้ายังมิเห็นจักมีนางใดมาร่วมเรือนสักคน สี่แม่ทัพใหญ่สหายข้าออกเรือนไปแล้วสาม เหลือแต่เจ้าคนเดียวที่ยังเป็นบ่าวเคิ้นอยู่นี่
ข้าเจ้าจักยอมมีแม่เรือนก็ต่อเมื่อเจ้าหลวงทรงยอมมีเจ้านางหลวงเท่านั้นเจ้า เป็นบ่าวเคิ้นกันทั้งนายทั้งข้านี่ล่ะเหมาะนักเจ้า
ชายหนุ่มทูลตอบหน้าตาเฉยก่อนจักคลานเข่าถอยออกไป เจ้าหลวงเมืองคำทรงหยัดองค์ขึ้นกึ่งประทับกึ่งบรรทม เอนปฤษฎางค์พิงหัวพระแท่นที่บรรทม ขนงเข้มขมวดน้อยๆ ทอดพระเนตรตามหลังไปอย่างทรงสงสัยว่าพระสหายจักทำอันใดอีก คำอินทร์หายออกไปครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมกับถ้วยใบย่อมในมือ
เอาอันใดมาอีกล่ะนั่น
โอสถปรุงพิเศษแก้พระอาการเมาค้างเจ้า ขนานนี้ได้ผลชะงัดนักแล
รู้ได้อย่างใดว่าข้าต้องใช้มัน
รับสั่งกลั้วสรวล หัตถ์ใหญ่เอื้อมไปรับถ้วยจากมือของพระสหายมาทรงจิบ เพียงคำแรกที่แตะชิวหา พักตร์เข้มก็เหยเกด้วยความขมจัด หากก็ทรงกลั้นพระทัยเสวยจนหมด อย่างน้อยการเสวยโอสถรสขมก็ยังดีกว่าที่จักทรงยอมปวดพระเศียรอยู่เยี่ยงนี้
ข้าเจ้าถวายการรับใช้มานานเท่าชีวิตของข้าเจ้าเองแล้วหนาเจ้า มีอันใดที่เกี่ยวกับเจ้าหลวงเมืองคำที่ข้าเจ้ามิรู้บ้างหนา เจ้าหลวงเสวยน้ำจัณฑ์คราใดก็ทรงเมาค้างครานั้น ผิดกับพระเชษฐาที่มิทรงมีพระอาการใดๆเลย มิรู้ว่าทรงเป็นฝาแฝดกันได้อย่างใด
สิ้นคำนั้น พระมุฐิของผู้ที่อยู่บนพระที่ก็เงื้อขึ้นเขกลงกลางศีรษะของคนพูดเต็มแรงอย่างทรงหมั่นไส้เต็มแก่ เล่นเอาเจ้าตัวร้องอูยเสียงลั่น ในขณะที่เจ้าหลวงเมืองคำทรงเบือนพักตร์หนีไปสรวลอีกทางหนึ่งอย่างสาแก่พระทัยแกมขันยิ่ง
วรกายสูงเสด็จออกจากห้องพระบรรทม หมายจักเสด็จไปพบเจ้านางน้อยเนตรดารา แต่แล้วก็ทรงชะงักพระบาทไว้เพียงหน้าบานพระทวารโถงกลางเท่านั้น เมื่อทอดพระเนตรพระเชษฐาแลพระเชษฐภคินีประทับรออยู่ที่ตั่งก่อนแล้ว เจ้าหลวงเมืองคำเสด็จเข้าไปทรงไหว้สาแล้วรับสั่งถามอย่างแปลกพระทัย
เจ้าพี่เสด็จมาแต่เมื่อใดเจ้า หรือทรงมีราชกิจอันใด ไยจึงมิทรงให้คนตามน้องไปพบที่คุ้มเจ้า
อ้อ! เพลานี้พี่จักมาหาเจ้าก็ต้องมีราชกิจเสียก่อนกระนั้นหรือ จักมาหาเยี่ยมเยียนอย่างพี่อย่างน้องมิได้แล้วใช่ไหม
เจ้าหลวงเมืองแก้วรับสั่งสุรเสียงขึงขังกึ่งเล่นกึ่งจริง ทำให้พระอนุชาต้องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
มิใช่เช่นนั้นเจ้า
แล้วด้วยเหตุใด ฤๅเจ้ามีเรื่องเร่งร้อนมิสะดวกกระนั้นหรือ
ก็...ก็มิเชิงเจ้า
ละอ่อนน้อยผู้นั้น สำคัญกับเจ้าพี่เพียงนี้เลยหรือเจ้า
***มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 52 16:14:36
| จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
| เขียนเมื่อ |
:
30 ต.ค. 52 15:57:34
|
|
|
|