ความคิดเห็นที่ 1 “ลมฤดูใบไม้ร่วงแผ่วพัด ในค่ำคืนที่อ้างว้างเปลี่ยวเหงา จันทร์นวลทอแสง สาดอาบใบพฤกษา ที่ถลาร่อนลงดิน กาเดียวดาย เกาะคอนไม้หลับใหล นานครั้งจึงจะขยับกาย ยามลมกระพือพัด คืนนี้หนาวเหน็บ ฉันนอนไม่หลับ จิตใจครุ่นคะนึง ถึงใครคนหนึ่ง ที่จากมา ณ แดนไกล อีกนานไหม ที่เราสองจะได้พบกัน หรือว่าฉันต้องจมอยู่กับค่ำคืนอันโหดร้าย เช่นนี้ชั่วนิรันดร” THE AUTUMN WIND POEMS OF LI PO สมภาร พรมทา แปลเรียบเรียง *********************************** ท่องเที่ยวญี่ปุ่นยามฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ร่วงในประเทศญี่ปุ่นหลากหลายธรรมชาติจะถูกแต่งแต้มสีสันไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเหลือง สีทอง สีส้ม ราวกับจิตรกรรมธรรมชาติของศิลปินนิรนามที่แต่งแต้มรอให้ผู้คนไปเยี่ยมชมด้วยความหฤหรรษ์เปี่ยมไปด้วยความสุขและความสงบของสายลำธาร ป่าไม้ที่ยังอุดมสมบูรณ์และภูผาหลากสีสันยามเมื่อต้องแสงตะวัน   การเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีของชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า “Momiji-gari” ซึ่งการเที่ยวชมธรรมชาติอันสวยงามนี้จะเริ่มตั้งแต่ภาคเหนือของประเทศไล่ลงมาสู่ทางภาคใต้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน จนถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและพื้นที่ในแต่ละแห่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนมากจะเช็คสภาพภูมิอากาศด้วยการดูพยากรณ์จากโทรทัศน์หรือในเวปไซด์ต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการเดินทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีในสถานที่ต่างๆ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 12:04:59 จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:51:26

ความคิดเห็นที่ 2 เรามาดูด้านวิชาการกันบ้างว่าใบไม้เปลี่ยนสีได้อย่างไรก่อนไปเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูมิภาค Tohoku กันครับ ขออนุญาตคัดบทความเรื่องการเปลี่ยนสีของใบไม้ของคุณภาณุพันธ์ ลิมปชยาพร แห่ง www.vcharkarn.com หน้าที่และความสำคัญของใบไม้ ก่อนที่เราจะเข้าประเด็นที่ว่า “ทำไมใบไม้จึงเปลี่ยนสี?” ความรู้พื้นฐานเรื่องแรกที่ควรจะทราบก็คือ หน้าที่และความสำคัญของใบไม้ อย่างที่เราทราบกันดีว่า อวัยวะของพืชที่มีสีเขียวๆ รูปร่างประหลาดๆ ที่เรียกว่าใบไม้นั้น เปรียบเสมือนเป็นโรงอาหารของพืช มีหน้าที่รวบรวมวัตถุดิบ นำเครื่องปรุงเครื่องเทศต่างๆ มาปรุงอาหารเลิศรส และส่งให้พืชทั้งต้นได้ประทังชีวิตยืนอยู่ได้ ถ้าไม่มีใบไม้เหล่านี้แล้ว พืชก็จะไม่มีอาหารทาน เกิดภาวะที่เรียกว่า “อดตาย” (เหมือนคน) แต่วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารของต้นไม้ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย พืชไม่ได้ต้องการหมู เห็ด เป็ด ไก่ ผัก ผลไม้ หรือแม้กระทั่งกุ้งลอบสเตอร์หรือหูฉลาม มันต้องการเพียงน้ำ (H2O), ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และแสงแดด (hv) เท่านั้น โดยรากจะทำหน้าที่ดูดน้ำจากดินส่งผ่านท่อลำเลียงน้ำขึ้นมา ใบไม้จะเป็นตัวเก็บสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และรงควัตถุสีเขียวของใบไม้ที่มีชื่อว่า “คลอโรฟิลล์” (Chlorophyll) จะทำหน้าที่เก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงแดด เมื่อวัตถุดิบทุกอย่างพร้อมแล้ว พืชก็จะปรุงอาหาร โดยกระบวนการปรุงอาหารของพืชเรียกว่า “การสังเคราะห์ด้วยแสง” (Photosynthesis) จะได้น้ำตาลกลูโคส (C6H12O6) และก๊าซออกซิเจน (O2) เป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งพืชจะนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานเพื่อกิจกรรมต่างๆ แล้วยังนำไปใช้เป็นองค์ประกอบของเส้นใย เช่น เซลลูโลส (Cellulose) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังเก็บไว้ใช้ในยามที่ไม่สามารถผลิตอาหารในรูปของแป้งได้อีกด้วย เมื่อเราหายใจเอาก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการเผาผลาญ (Metabolism) จะปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ในทางกลับกันพืชดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงและปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา แลกเปลี่ยนกันเป็นวัฏจักร การอยู่ในสวนสาธารณะที่มีต้นไม้เยอะๆ จึงทำให้เรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและสมองปลอดโปร่งด้วยออกซิเจน ดังนั้นการปลูกต้นไม้ก็เสมือนการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศธรรมชาตินั่นเอง จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:54:46

ความคิดเห็นที่ 3 ทำไมใบไม้จึงต้องเปลี่ยนสี ในฤดูร้อนที่มีกลางวันยาวนานแต่กลางคืนสั้นนั้น มีแสงแดงและดินที่อุดมด้วยน้ำเพียงพอสำหรับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง พืชจะเปิดโรงอาหารและสร้างอาหารหล่อเลี้ยงต้นตามปกติและเก็บสำรองไว้ แต่เมื่อฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้ามา อากาศจะเริ่มเย็นลง กลางวันจะสั้นลงและกลางคืนจะยาวขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พืชทราบว่าฤดูกาลกำลังจะเปลี่ยนและเป็นสัญญาณเตือนให้พืชเตรียมตัวสำหรับสภาพอากาศอันเลวร้ายและหนาวจัดของฤดูหนาวที่พืชไม่มีน้ำและแสงเพียงพอสำหรับการสร้างอาหารอีกต่อไป ต้นไม้จึงต้องสร้างอาหารเก็บสะสมไว้ให้เพียงพอในฤดูร้อน และปิดโรงงานผลิตอาหารในฤดูหนาว นอกจากนี้พืชยังต้องลดการใช้พลังงานทุกรูปแบบเพื่อความอยู่รอด โดยการสลัดใบของมันทิ้งไปเพื่อลดการใช้พลังงาน นำไปสู่การเปลี่ยนสีของใบไม้ จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:01:09

ความคิดเห็นที่ 4 กลไกการเปลี่ยนสีของใบไม้ สีเขียวบนใบไม้เป็นสีของรงควัตถุที่เรียกว่า คลอโรฟิลล์ เป็นสารประกอบที่ไม่เสถียร สลายตัวได้ด้วยแสงอาทิตย์ พืชสามารถสร้างคลอโรฟิลล์ขึ้นมาใหม่ได้ แต่ต้องอาศัยแสงแดดและอากาศที่อบอุ่น ดังนั้นในฤดูร้อน คลอโรฟิลล์จะสลายตัวด้วยแสงแดดสม่ำเสมอและจะถูกสร้างขึ้นมาทดแทนอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน เพื่อรักษาระดับปริมาณคลอโรฟิลล์ไว้ให้เหมาะสมต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เราจึงเห็นใบไม้มีสีเขียวอยู่เสมอ แต่คลอโรฟิลล์ไม่ได้เป็นรงควัตถุชนิดเดียวที่อยู่ในใบไม้ ยังมีรงควัตถุชนิดอื่นๆ อีกที่ช่วยเก็บเกี่ยวพลังงานแสง (accessory absorber) เช่น แคโรทีน (Carotene) ที่มีสีเหลืองและสีส้ม และแอนโทรไซยานิน (Anthocyanin) ที่มีสีแดงและสีม่วง ในฤดูร้อนจะถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบังไว้หมด แต่เนื่องจากแคโรทีนและแอนโทรไซยานินมีความเสถียรมากกว่าคลอโรฟิลล์ จึงสลายตัวได้น้อยกว่าคลอโรฟิลล์มาก เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวและพืชไม่สามารถสร้างคลอโรฟิลล์ขึ้นมาทดแทน ทำให้คลอโรฟิลล์สลายตัวไป สีเขียวก็จะจางลง เผยให้เห็นสีเหลือง สีส้ม สีแดงและสีม่วงของแคโรทีนและแอนโทรไซยานินที่ซ่อนเอาไว้ เราจึงเห็นใบไม้หลากหลายสีสันในฤดูใบไม้ร่วง จนกระทั่งรงควัตถุทั้งสองสลายตัวไปหมด คงเหลือไว้แต่เพียงเส้นใยเซลลูโลสและหลุดร่วงลงสู่พื้นดิน จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:02:20

ความคิดเห็นที่ 5 ได้รับความรู้เรื่องใบไม้เปลี่ยนสีไปแล้ว จากนี้ผมจะพาเพื่อนสมาชิกย่างก้าวไปกับสายลมแห่งเพลงใบไม้ร่วง ณ ภูมิภาค Tohoku เพื่อชมธรรมชาติอันสวยงามผ่านจินตนาการแต่ละตัวอักษรและมุมมองของภาพถ่ายที่ได้บรรยายถึงมหัศจรรย์ความสวยงาม แห่งสายธาร ภูผาคีรี แมกไม้ และ พงไพร แล้วให้ความงดงามนี้ซึมซับเข้าสู่ประสาทรับรู้แห่งความสุขของเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านในอีกไม่กี่ช่วงนาทีนี้ต่อไป     ถ้าท่านผู้อ่านพร้อมแล้ว ก็ก้าวขึ้นรถไฟสาย Shinkansen จากกรุง Tokyoไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามและเลื่องชื่อแห่งภูมิภาค Tohoku ในยามฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกันเลยครับ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 12:10:53 จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:04:12

ความคิดเห็นที่ 6 ภูมิภาค Tohoku Tohoku  แปลว่า "ตะวันออกเฉียงเหนือ" เป็นดินแดนที่ครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสี่ทางเหนือของเกาะ Honshu  มีชื่อเดิมว่า "มิจิโนคุ" แปลว่าถนนภายในหรือถนนสายแคบ เนื่องจากในอดีตนั้นยากต่อการเข้าถึง ด้วยภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาขรุขระ และฤดูหนาวอันโหดร้าย Tohoku  เป็นดินแดนที่ยังคงธรรมชาติอันสวยงาม ล้อมรอบด้วยทะเล 3 ด้าน เป็นแหล่งของน้ำพุร้อนจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากนั้นยังมีทะเลสาบ น้ำตก ป่าไม้ อีกทั้ง Tohoku เป็นดินแดนแห่งตำนานเรื่องเล่าขานมากมาย และเป็นแห่งสุดท้ายที่ยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตขนบประเพณีญี่ปุ่นโบราณอยู่ รวมถึงหัตถกรรมพื้นเมืองที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ภายใต้ความเจริญและอารยธรรมสมัยใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามาตลอดเวลา ภูมิอากาศใน Tohoku  ถูกแบ่งโดยเทือกเขาที่เป็นแนวยาวจากเหนือลงมาเป็นสองด้าน คือทางด้านฝั่งทะเลญี่ปุ่น จะมีอากาศหนาวเย็น หิมะตกหนักในฤดูหนาว ในขณะที่ทางด้านฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกจะมีอากาศอบอุ่นกว่า ประชากรที่อาศัยอยู่ในแถบ Tohoku  มีอยู่ประมาณ 9.85 ล้านคน หากเทียบกับมาตรฐานของญี่ปุ่นแล้ว จัดว่ามีประชากรค่อนข้างเบาบาง บนพื้นที่ราบและลุ่มแม่น้ำเป็นแหล่งเกษตรกรรม หนึ่งในสี่ของข้าวที่ผลิตในญี่ปุ่นมาจากภูมิภาคนี้ จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:08:32

ความคิดเห็นที่ 7 Tohoku ประกอบไปด้วย 6 จังหวัดคือ Miyagi (หนึ่งในเมืองของจังหวัดนี้ที่รู้จักกันดีก็คือ Sendai), จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:32:54

ความคิดเห็นที่ 8 Fukushima จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:33:33

ความคิดเห็นที่ 9 Yamagata จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:34:35

ความคิดเห็นที่ 10 Iwate จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:35:29

ความคิดเห็นที่ 11 Akita จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:36:38

ความคิดเห็นที่ 12 และ Aomori จากคุณ : CEOTHAI42 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:37:28

ความคิดเห็นที่ 13 การเดินทางทั่วไปในภูมิภาค Tohoku นั้นสามารถใช้บริการรถไฟสาย JR East ซึ่งครอบคลุมไปถึงตั้งแต่สาย Narita Express จากสนามบิน Narita, รถไฟด่วนสาย Shinkansen, JR Super Express, Rapid และสาย Local เป็นต้น มีเพียงจุดไม่สะดวกเล็กๆ น้อย ๆ ของการเที่ยวชมภูมิภาค Tohoku นี้ก็คือการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ นั้น เพียงการเดินทางโดยรถไฟอย่างเดียวไม่สามารถถึงเข้าจุดต่างๆ ได้โดยตรง เมื่อเพื่อนๆสมาชิกเดินทางถึงสถานีรถไฟแล้ว ก็ต้องต่อรถบัส หรือ เดินเท้าไปอีกตั้งแต่ 5 นาที จนถึง 1ชั่วโมงหรือมากกว่า บางครั้งอาจจะต้องปีนเขา ลงห้วย หรือ ล่องเรือ เพื่อจะเข้าถึงจุดท่องเที่ยวที่สวยงามต่างๆ ดังนั้นถ้าเพื่อนๆสมาชิกจะเที่ยวในภูมิภาคนี้ต้องเตรียมพร้อมร่างกายเพื่อจะได้สัมผัสความงามธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม แต่ผมบอกได้คำเดียวว่าคุ้มครับ เนื่องจากเพื่อนๆสมาชิกจะได้ออกกำลังกายท่ามกลางบรรยากาศขุนเขา ลำธาร โตรกผา น้ำตก ซึ่งเป็นโอเอซิสแห่งความสงบเพื่อสร้างความชุ่มชื่นให้จิตใจที่เราไม่สามารถหาได้จากเมืองใหญ่ พร้อมกันนั้นก็ยังได้รับอากาศบริสุทธิ์เพื่อฟอกปอดที่เต็มไปด้วยฝุ่นไคลให้สะอาด และท้ายสุดก็คือการสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามที่สามารถเรียกได้ว่า “ สวรรค์บนดิน ” ที่เพื่อนๆสมาชิกอ่านจะต้องอุทาน โอโฮ โอโฮ ไปเป็นระยะๆ ถึงแม้เพียงจะเป็นการสัมผัสผ่านตัวอักษรและภาพถ่าย แต่ก็เป็นประสบการณ์การที่อาจต้องใส่ไว้ในตารางท่องเที่ยวแห่งชีวิตสักครั้ง พบกันใหม่ตอนหน้า ....ผมจะพาเพื่อนๆสมาชิกไปเริ่มต้นการท่องเที่ยวชมความงามแห่งธรรมชาติแห่งแรกของทริปนี้กันที่โตรกธาร Oirase อันเลื่องชื่อแห่งจังหวัด Aomori กันครับ สวัสดีครับ Credit : ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล www.yokosojapan.org www.vcharkarn.com www.th.wikipedia.org แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 12:57:31 จากคุณ : ติวเตอร์ตู่ (CEOTHAI42) เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:42:24

ความคิดเห็นที่ 14 รูปสวยจังเลยค่ะ จากคุณ : minafiba เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 11:14:07

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณค่ะ  ที่ให้ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ  ภาพสวยมากค่ะ เห็นแล้วอยากไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้งจังเลยค่ะ ^ v ^ จากคุณ : jiw_lee (jiw_lee) เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 12:22:00

ความคิดเห็นที่ 16 ได้ดูรูปสวยๆแล้วยังได้ความรู้อีก ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : MikaRin เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 19:14:09

ความคิดเห็นที่ 17 แอบรู้สึกว่ารูปจังหวัดน่าจะเป็นมุมที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดด้วย บางรูป เห็นแต่ใบไม้เปลี่ยนสี ที่ไม่บอกเอกลักษณ์ของจังหวัดน่ะค่ะ จากคุณ : scottie เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 21:55:51

ความคิดเห็นที่ 18 ตามติวเตอร์ตู่มาเที่ยวญี่ปุ่นต่อค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 01:02:34

ความคิดเห็นที่ 19   ขอบคุณมากๆ นะคะ รูปสวยมากค่ะ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไปแล้วก็ยังอยากไปอีกค่ะ จากคุณ : nonu เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 06:50:46

ความคิดเห็นที่ 20 รูปสวยมากค่ะบางรูปเหมือนภาพวาดเลย ธรรมชาติแบบนี้ดูแล้วเจริญใจมากค่ะ ขอบคุณที่แบ่งปันความสวยงามนะคะ จากคุณ : kru.toy เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 13:54:40