ความคิดเห็นที่ 1 บรรยากาศประมาณตี 5 กว่า ๆ หน้าโรงเรียนธิดาครับ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 13:10:26

ความคิดเห็นที่ 2 การขายใบสมัครระบุว่า  มีป้ายไวนิลระบุ เพียงวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2552 เพียงวันเดียวเท่านั้น ข่าวลือมักจะบอกว่า เขาบอกว่าให้ตื่นมาเข้าคิวตั้งแต่ตี 4 ใครจะไปเชื่อ นึกว่าเป็นข่าวลือ  เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใดพี่เอย แต่เพื่อความไม่ประมาทลองขับรถมาสำรวจดู มาถึงหน้าธิดาตี 5 มีคนเข้าคิวที่หน้าโรงเรียนแล้ว ตอนนี้พ่อแม่ของเด็กนักเรียนก็นั่งเข้าคิว เป็นลำดับที่ 30 กว่า พอช่วงเช้าแล้วประมาณหกโมงเศษ ๆ ด้านหลังมีรอเข้าคิวอีกนับร้อย ปลายแถวยาวเลยวัดปากน้ำไปแล้ว เพื่อลูก ๆ  พ่อกับแม่ทำได้ ก็ต้องรอ ๆ ๆ สอบถามคนที่มาลำดับแรกๆ เขาบอกว่ามาตั้งแต่ตี 3   (03.00 นาฬิกา) เปิดรับสมัคร 8:30 น. ตอนแรกเขาบอกว่าจะตื่นไปเข้าคิวตอนตี 4 หลังจากที่เข้าคิวกันแบบ ท ทหารอดทน ทรหดอดทน เวลาประมาณ 07.40 น. ทางโรงเรียนได้เปิดให้ผู้ปกครองเข้าไปตรวจสอบเอกสารในเบื้องต้นก่อน โดยอนุญาตให้เข้าไปครั้งละ 8 ท่าน เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว ก็ต้องไปเข้าคิวรอซื้อใบสมัครที่อาคาร "มาเรีย บัลโด" ผู้ปกครองบางท่าน เดินเร็ว ๆ บางท่านก็วิ่ง เพื่อที่จะได้คิวในอันดับต้น ๆ ใต้อาคาร "มาเรีย บัลโด" มีการเข้าคิวต่อแถวกันเป็น 2 แถว เพื่อรอซื้อใบสมัครใบละ 100 บาท จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 13:11:37

ความคิดเห็นที่ 3 ภาพคิวยาวร่วมสองร้อยเมตร จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 13:12:54

ความคิดเห็นที่ 4 เปิดจำหน่ายใบสมัคร ผู้ซื้อคนแรกจะได้หมายเลข 01 ผู้ปกครองท่านต่อไป ก็จะได้หมายเลขเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ในเวลาก่อน 8 โมงครึ่ง มีซิสเตอร์ ได้เอาใบสมัครมาให้เจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่ให้ขายเลยเพราะมีซิสเตอร์ยืนคุมอยู่ เปิดขายใบสมัครในเวลา 08.30 น. ก็เหมือนธรรมดา แต่ที่นี่ไม่ธรรมดา ตรงต่อเวลามาก   มากมายและอย่างแรง ๆ  08.29 น. 30 วินาที ก็ไม่ได้ ต้องตรงเป๊ะ ๆ พอดี เป็นโรงเรียนที่ตรงต่อเวลามาก ๆ นักเรียนจะได้มีวินัย รับผิดชอบในหน้าที่ สามารถจัดการบริหารเรื่องเวลาได้ ใบสมัครนั้น จะเรียงตามหมายเลข ใครเข้าคิวก่อนก็จะได้หมายเลขต้น ๆ มาก่อนได้ก่อน first come first serve จะมีช่วงที่สอบสัมภาษณ์ด้วย ซึ่งระบุไว้ตรงใบสมัครเลยครับ แบ่งออกเป็น 4 วัน ในแต่ละวันก็มี 2 ช่วง เช้า - บ่าย ผู้ปกครองที่ได้ใบสมัครแล้ว ก็ต้องมานั่งกรอกรายละเอียดกันแบบนี้ ในการกรอกใบสมัครนั้น ทางอาจารย์บอกว่าไม่ต้องรีบ เพราะจะไม่มีผลอะไรแล้ว  เนื่องจากคิวนัดสัมภาษณ์นั้น ก็ได้แจ้งไว้ในใบสมัครแล้ว จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 13:14:45

ความคิดเห็นที่ 5 วันสัมภาษณ์ต้องมาพร้อมกันทั้งบิดามารดา เหมือนกับโรงเรียนในกรุงเทพฯ หลายโรงเรียน ถ้าครอบครัวแตกแยกหรือล่มสลายหรือหย่าร้าง หรือภายในครอบครัวมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งไร้คุณภาพชีวิตกับเด็ก อยู่ในเกณฑ์คัดกรองเบื้องต้นในการพิจารณาเบื้องต้น ว่าสมควรจะรับให้เรียนต่อหรือไม่  ต้องสัมภาษณ์กันอย่างละเอียด เพราะครอบครัวคือ พื้นฐานเบื้องต้นของการศึกษา ถ้าพื้นฐานล้มเหลวหรือไม่ดี ก็จะเป็นการผลักภาระทุกอย่างให้โรงเรียน เหมือนเช่นปัจจุบันที่  ทำอะไรส่วนมากมักจะโทษโรงเรียน โทษการศึกษา แต่ไม่เคยคิดจะโทษครอบครัวตนเอง  ที่ไม่สนใจใยดีดูแลลูกหลานตนเอง ทุกอย่างมักจะผลักให้โรงเรียนทั้งหมด คอยแก้ไขปัญหาทั้งหมด ก็คงเหมือนกับหลาย ๆ คนที่พบเจอคือ   ช่วงวัยเด็กที่ลูกต้องการพ่อแม่ แต่พ่อแม่มัวยุ่งกับการทำมาหากิน หรือรับใช้เจ้านายจนไม่มีเวลาให้กับลูก หรือใช้เงินเลี้ยงลูกแทนการให้เวลากับลูก แต่พอช่วงเวลาลูกไม่ต้องการคุณแล้ว   คุณกลับมีเวลาให้ลูกมากขึ้น หรือต้องการให้ลูกมาอยู่กันคุณมากขึ้น สรุปต้องเลือกเอาว่า   จะเลือกครอบครัวที่ต้องอยู่กับคุณตลอดชีวิต   หรือเจ้านายหรืองานประจำของคุณ   ที่อยู่กับคุณชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จากไป เหลือแต่ครอบครัวที่อยู่กับคุณตลอดชีวิต โรงเรียนควรจะเป็นผลผลิตสุดท้ายของวงจรหรือห่วงโซ่การศึกษา แต่ถ้าต้องมาตามแก้ปัญหา  ตามปลอบโยนเด็กที่มีปัญหา เพราะมีบางครั้งเด็กนักเรียนถูกทอดทิ้งไว้ที่โรงเรียนเป็นวันหรือหลาย ๆ วัน เพราะไม่มีผู้ปกครองหรือเกี่ยงกันว่าใครควรจะมารับนักเรียนกลับบ้าน   หรือเด็กนั่งร้องห่มร้องไห้เพราะปัญหาพ่อแม่  ปัญหาครอบครัว การพิจารณารับเด็กเข้าศึกษานั้น ทางโรงเรียนมิได้ดูลำดับก่อนหลังเลย ทางโรงเรียนพิจารณาจากความสามารถของเด็ก สภาพครอบครัวของเด็กว่ามีความพร้อมในการให้การศึกษาเด็กหรือไม่ เพื่อคัดกรองออกก่อนเป็นการเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด วันนี้มีคนมาสมัครตอน 9 โมงกว่า มาถึงจอดรถแล้ว ก็เดินเข้ามาซื้อใบสมัครได้เลย ไม่ต้องรอคิว 5 ชั่วโมง  ผู้ปกครองที่มาซื้อใบสมัครตอน 9 โมงกว่า ก็แทบจะไม่เชื่อกับตัวเองว่า ยังสามารถซื้อใบสมัครได้ แต่ก็ได้ซื้อ ข้อแตกต่างเพียงนิดเดียว ในการสมัคร คือ คนที่มาก่อนก็มีสิทธิ์ได้สัมภาษณ์ก่อนแค่นั้น มิได้เป็นหลักประกันว่า มาก่อนจะได้เข้าธิดาแน่นอน ต้องขออภัยเจ้าของภาพเหล่านี้ด้วย เพื่อประกอบการบรรยายข้อเท็จจริงเท่านั้น ขอขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรุ้ร่วมกันของสังคมไทย แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 15:11:28 แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 13:27:27 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 13:16:53

ความคิดเห็นที่ 6 จริงหรือคะ ว่าเด็กที่พ่อแม่หย่าร้างจะทำให้ตกคุณสมบัติ เพราะเชื่อว่า ครอบครัวเป็นพื้นฐานการศึกษา ตายจริง ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ดิฉันขออนุญาตส่งข้อมูลให้กระทรวงศึกษาธิการตรวจสอบเนื่องจากว่าเป็นการละเมิดสิทธิเด็กนะคะ เด็กหลายคนที่พ่อแม่อยู่กันครบ พ่อแม่สมรสถูกต้องก่อปัญหาก็มาก หลายโรงเรียนที่ปัญหาเริ่มจากบุคลากรภายในก็มีไม่น้อย ถ้าคิดกันอย่างนี้ เยาวชนของชาติก็คงลำบากเพราะผู้ใหญ่ตีโจทย์ไม่ออกเสียแล้วว่าเด็กสักคนจะเติบใหญ่ให้เป็นคนที่มีคุณภาพ จะทำได้อย่างไรบ้่าง เมื่อคิดไม่ออก ก็กำหนดคุณสมบัติบูดๆ เบี้ยวๆ อย่างนี้เอง เอวัง จากคุณ : alynnbook (alynnbook) เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 13:32:26

ความคิดเห็นที่ 7   เอ.... ทำไมคห.หกติดไฟแดงหนอ ก็เป็นการแสดงความเห็นแย้งที่สุภาพแล้วไม่ใช่หรือคะ? ส่วนตัวหนมจีนชอบนโยบายของโรงเรียนนะคะ สิ่งแวดล้อมก็ดูดี เรื่องการตรงต่อเวลา การนัดสัมภาษณ์ก็เข้าท่า หนมจีนไม่ค่อยชอบระบบตื่นแต่ตีสามไปเข้าคิวเลย แค่เริ่มต้นก็เครียดเสียแล้ว แล้วก็เห็นด้วยอีกเหมือนกันว่าสถาบันครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็แอบตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยกับการเลือกสัมภาษณ์เด็กที่มาจากครอบครัวแตกแยกเป็นพิเศษ เหมือนกับโรงเรียนคิดแต่จะพัฒนาเด็กที่พื้นฐานดีเท่านั้น แล้วผลักภาระการดูแลเด็กที่มีมาจากสิ่งแวดล้อมที่มีปัญหาไปเสีย ฟังแล้วเหมือนจะขัดกับจรรยาบรรณของโรงเรียนในความคิดหนมจีนยังไงไม่รู้ แต่คิดในแง่ดีนะคะ การสัมภาษณ์พวกนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าโรงเรียนต้องการเตรียมความพร้อมในการดูแลเด็กๆก่อนเปิดเทอมจริงก็ได้ ด้วยความเคารพค่ะ จากคุณ : หนมจีน เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 17:07:30 A:125.25.126.227 X: TicketID:063710

ความคิดเห็นที่ 8 เริ่มเข้าคิวตอนที่ 3  -_-'' จากคุณ : โก้ (เซโก้4) เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 18:27:45

ความคิดเห็นที่ 9   เฮ้อ......... ขอให้โชคดีก็เเล้วกันขอรับ จากคุณ : 666 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 18:31:28 A:113.53.61.241 X: TicketID:204639

ความคิดเห็นที่ 10 ทำอะไรส่วนมากมักจะโทษโรงเรียน โทษการศึกษา แต่ไม่เคยคิดจะโทษครอบครัวตนเอง   ที่ไม่สนใจใยดีดูแลลูกหลานตนเอง ทุกอย่างมักจะผลักให้โรงเรียนทั้งหมด คอยแก้ไขปัญหาทั้งหมด ข้างบนนี้เห็นด้วยที่สุด อันนี้ไม่เกี่ยวกับว่าครอบครัวแตกแยกหรือไม่นะคะ พ่อแม่นักศึกษาที่มีปัญหาบางคนเคยถามว่ามหาวิทยาลัยจะช่วยอะไร บ้างก็โทษสถานศึกษา ลืมคิดว่าไปว่าลูกอยู่กับตัวมาตั้งนานเท่าไหร่แล้ว จากคุณ : scottie เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 22:32:17

ความคิดเห็นที่ 11 มาดูรูปโรงเรียนเก่า สมัยที่เรียนอนุบาลที่นั่น ตึกในรูปแรกที่มีธงชาติอยู่ข้างหน้าเพิ่งสร้างเองค่ะ เป็นตึกอำนวยการ เป็นเรือนพักของนักเรียนประจำด้วย สมัยนั้นไม่หรูอย่างในรูปนั่นเลย ดอกไม้อะไรก็ยังไม่มี สะพานทางเข้าโรงเรียนยังเป็นไม้อยู่เลยค่ะ น้องชายเข้าเรียนอนุบาลด้วย เป็นนักเรียนประจำคนเดียวที่เป็นผู้ชาย คุณแม่อธิการคงเห็นว่ายังเล็กมาก แถมพี่สาวก็เรียนอยู่แล้ว ก็เลยยอมให้อยู่ประจำ เรื่องวินัยกับเรื่องเวลานี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ เข้มงวดยังไงก็คงอย่างนั้น จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 00:54:22

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นแล้วรู้สึกเหนื่อยใจจังค่ะ เป็นพ่อแม่สมัยนี้ ต้องคัด ต้องกรองโรงเรียนให้ลูก ส่วนโรงเรียนก็ต้องคัดเด็กเข้าเรียนเหมือนกัน ตัวเองก็เข้าใจทั้งโรงเรียน และผู้ปกครองนะค่ะ ในฐานะคนเป็นแม่คนหนึ่ง ก็อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดี แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม เฮ้อ ! - -" ดูท่าอนาคตข้างหน้าโรงเรียนดี ๆ จะต้องแย่งกันเข้ามากกว่านี้นะเนี่ย จากคุณ : jiw_lee (jiw_lee) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:32:09

ความคิดเห็นที่ 13 เข้ามาดูโรงเรียนเก่าเหมือนกันค่ะ ^^ จากคุณ : Conglomerate เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 16:02:00

ความคิดเห็นที่ 14   โชคดี โชคดี โชคดี จบแล้วไปเป็นเจ้าคนนายคน จากคุณ : tanlove เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 01:15:14

ความคิดเห็นที่ 15 เราคิดว่า ... การที่โรงเรียนเลือกที่จะพิจารณากลุ่มเด็กนักเรียนที่มีปัญหาด้านครอบครัวอย่างละเอียด ก็เพื่อจะวิเคราะห์ว่า หากเด็กนักเรียนมีพฤติกรรมเช่นนี้เป็นเพราะอะไร จะได้หาทางแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด(เมื่อนักเรียนเกิดปัญหาขึ้น) บอกตรงๆนะ ที่เราได้เห็นมานักเรียนที่มีปัยหาส่วนมากๆเลย ก็มาจากครอบครัว รองลงมาก็มาจากเพื่อน แต่เราไม่คิดหรอกนะค่ะว่า ทางโรงเรียนไม่น่าจะนำตรงจุดนี้มาพิจารณาเป็นหลัก  (คิดว่านะ) จากคุณ : ไร้สาระ... (sinva) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 01:44:43

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าเป็นอย่างที่คุณ ไร้สาระ.. ว่า เป็นจริงก็เป็นเรื่องน่ายินดีค่ะ เพราะฟังแล้วน่าตกใจมากว่าเลือกเฉพาะเด็กที่ครอบครัวอยู่ครบไม่หย่าร้างเท่านั้น เนื่องจากการกระทำนี้ ถึงไม่ออกแบบลายลักษณ์อักษร แต่ถ้ามีการถือปฏิบัติ เช่น ถ้าพ่อแม่หย่าร้างแล้วไม่รับเด็กเข้าเรียน กฎหมายเมืองนอกเรียกว่า Discrimination ผู้ปกครองสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ในบางประเทศที่มีกฎหมาย Discrimination ที่ว่านี้ โรงเรียนอาจถูกสั่งปิด Discrimination คือความไม่เป็นธรรมในสังคมที่ทำให้คนบางประเภทไม่ได้รับความเท่าเทียมกัน อาทิเช่น ไปสมัครงานแล้วไม่ได้ให้เข้าทำงาน หรือโรงเรียนแบบนี้ ส่วนใหญ่ Discrimination มาจาก เชื้อชาติ ศาสนา เพศ ความพิการ จากคุณ : alynnbook (alynnbook) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 05:22:24

ความคิดเห็นที่ 17 ขอแย้งคุณ alynnbook เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ discrimination นะคะ ต้องวงเล็บก่อนว่าไม่เกี่ยวกับว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายไม่รับเด็กที่มาจากครอบครัวแตกแยกหรอกนะคะ ว่ากันตามตัวบทกฎหมายอย่างเดียว ในต่างประเทศ ขอยกตัวอย่างอเมริกาก็แล้วกันนะคะ โรงเรียนเอกชนมีสิทธิตั้งกฎเกณฑ์ของตัวเองตามที่เห็นสมควรโดยที่กฎหมายทำอะไรไม่ได้ค่ะ เหตุผลสำคัญก็คือโรงเรียนหรือแม้แต่วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเอกชน เป็นสถาบันซึ่ง support ตัวเอง ไม่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐหรือรัฐบาล จึงมีสิทธิตั้งกฎเกณฑ์และข้อกำหนดได้เอง เปรียบไปก็เหมือนคนอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองนั่นแหละค่ะ จะตั้งกฎแปลกประหลาดมหัศจรรย์ให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านของตัวเป็นอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ยิ่งเป็นสถาบันที่เกี่ยวข้องกับศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งมีสิทธิเต็มที่ในเรื่องนั้นค่ะ ตัวอย่างง่ายๆ มหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับที่ทำงาน ระบุชื่อเลยก็ได้ค่ะ มหาวิทยาลัยนั้นชื่อ Bob Jones University เลื่องชื่อมากเรื่องกฎระเบียบเพี้ยนๆ อย่างเช่นสมัยก่อนไม่รับนักศึกษาผิวดำเข้าเรียน ระยะหลังนี้เปลี่ยนกฎข้อนี้และเริ่มรับแล้วค่ะ (เขาเปลี่ยนของเขาเองนะคะ ไม่ได้มีใครบีบบังคับ) ไม่ยอมให้คู่หญิงชายที่เป็นแบบ interracial couple เข้าไปในบริเวณมหาวิทยาลัย ไม่รับนักศึกษาที่มาจาก interracial marriage คือง่ายๆ ว่าไม่รับคนที่เป็นลูกครึ่งน่ะค่ะ ไม่รับนักเรียนที่พอดูออกว่าเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน มีอีกหลายข้อค่ะ เอาแค่นี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะยาว เรื่องของเรื่องคือไม่มีใครแตะต้อง Bob Jones University ได้เพราะเขาถือว่าเขาเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ไม่เคยรับเงินช่วยเหลือจากรัฐค่ะ เพราะฉะนั้นการที่โรงเรียนเอกชนจะตั้งกฎเกณฑ์การรับหรือไม่รับนักเรียนอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ถือว่าผิดกฎหมายค่ะ เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา ตราบใดที่เขาไม่ได้รับเงินจากรัฐ รัฐก็ไม่มีสิทธิเข้าไปกำหนดอะไรได้หรอกค่ะ มีการฟ้องร้องโรงเรียนหรือวิทยาลัยเอกชนในเรื่องของการ discriminate หลายกรณีแล้วค่ะ แต่ลองหาดูสิคะ ไม่มีแม้แต่ case เดียวที่ฝ่ายฟ้องร้องเป็นผู้ชนะ ตราบใดที่อีกฝ่ายเป็นสถาบันเอกชน ต่ออีกนิดเรื่องสถาบันการศึกษาในอเมริกานะคะ ถ้าเป็นวิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับศาสนา สมมติสนใจจะสมัครเข้าทำงานนะคะ ถ้านับถือศาสนาอื่นก็เลิกคิดได้เลยค่ะ สมมติมีประกาศรับสมัครงานนะคะ เขาจะระบุในใบสมัครเลยว่าต้องนับถือศาสนาเดียวกับเขาเท่านั้น ของศาสนาคริสต์นี่ บางแห่งต้องนิกายเดียวกันด้วยซ้ำ นั่นก็ไม่ผิดกฎหมายเหมือนกันค่ะ ทั้งๆ ที่มองจากสายตาคนนอก มัน discriminate กันเห็นๆ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 05:48:59

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณ คุณกุลธิดาค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องขอโทษด้วย เพราะจากประสบการณ์ที่อยู่อเมริกามา ทั้งทำงาน ทั้งเรียน ทุกครั้งบนใบสมัคร จะมีเรื่อง Discrimination Policy ทุกครั้งว่าเขาจะไม่กีดกัน ถ้าเป็นโรงเรียนศาสนาก็เข้าใจได้ค่ะว่าเรื่องศาสนาเป็นบริบทสำคัญ อย่างไรก็ดี เจ้าของกระทู้ได้เข้ามาแก้ไขแล้วว่า ไม่ใช่เรื่องการกีดกันไม่รับเข้าเรียน แต่ก็ยังอยู่ในหัวข้ออ่อนไหวอยู่ดี แต่กฎหมายที่ว่านี้หลายประเทศออกมามีความแตกต่างพอสมควร อย่างด้านล่างคือออสเตรเลีย กล่าวว่า public education system ซึ่งในกรณีนี้ไม่แน่ใจว่าหมายถึงระบบการศึกษาโดยรวม หรือเป็นระบบการศึกษาที่จะต้องได้เงินสนับสนุนจากรัฐ แถวนี้หากมีผู้รู้รบกวนช่วยด้วยค่ะ The Anti-Discrimination Act 1977 is an Act of the NSW Parliament, relating to discrimination in employment, the public education system, delivery of goods and services, and other services such as banking, health care, property and night clubs. The Act renders unlawful racial, sexual and other types of discrimination in certain circumstances and promotes equality of opportunity for all people. The Act covers the following types of discrimination: Sex (including breastfeeding, pregnancy and sexual harassment) Disability (including past, present or future disability and also includes actual or perceived HIV status) Race (including ethno-religion) Homosexuality (actual or perceived) Marital or domestic status Age Transgender (including transsexuality) Carer’s responsibilities (but only within employment). นี่คือที่สักครู่ไปหามานะคะ กฎหมายอเมริกาปี 1975 ได้กล่าวไว้ตามที่คุณกุลธิดาบอกจริง ว่าจะต้องเป็นสถาบันศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเท่านั้น แต่ที่พบเป็น Age discrimination act ค่ะ ส่วน Family/ Marital status discrimination act นี่ยังไม่เห็น ถ้าประเทศไทยมีก็คงก้าวหน้ากว่าต่างประเทศในจุดนี้ค่ะ กฎหมายก็มีออกมาหลายครั้งด้วยกัน จนล่าสุดมี 1991 แต่ต้องรีบไปทำงานจึงไม่มีเวลาค้นต่อ และในส่วนตัว ชอบความเห็นแย้งค่ะ ทำให้ได้รับรู้ความคิดที่ต่างไปจากตน ซึ่งอาจจะทำให้ความคิดเดิมเปลี่ยนหรือไม่ก็ได้ แต่เป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างที่คุณกุลธิดาแย้งมา ขอบคุณอีกครั้งค่ะ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 52 07:16:35 จากคุณ : alynnbook (alynnbook) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 07:09:43

ความคิดเห็นที่ 19 ของออสเตรเลีย ในแง่ของสถาบันการศึกษาที่ระบุว่า public education system หมายถึงการศึกษาที่สนับสนุนโดยรัฐค่ะ ไม่ได้ครอบคลุมถึงเอกชน กรณีอื่นๆ อาจจริงที่กฎหมายการ discrimanate ครอบคลุมไปถึง แต่ในแง่ของสถาบันการศึกษานี่ไม่แน่นอนค่ะ หมายถึงถ้าเป็นสถาบันของเอกชนนะคะ ตัวเองก็ทำงานในมหาวิทยาลัยของรัฐที่อาศัยอยู่นี้มา 18 ปีแล้วค่ะ จำเป็นต้องคุ้นเคยกับกฎหมายเรื่องนี้ค่ะ อย่างใกล้ๆ นี่มีอีกมหาวิทยาลัย เป็นของเอกชนเหมือนกัน ที่นั่นไม่รับนักศึกษาที่นับถือศาสนาอื่นนอกจากศาสนาคริสต์ ไม่ใช่คริสต์เฉยๆ ด้วยนะคะ ต้องคริสต์หมายถึง Protestant นิกาย Baptist เท่านั้นด้วยค่ะ นั่นหมายถึงจะจ้างแต่อาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่นับถือ Baptist เท่านั้นด้วยนะคะ หรืออย่างดูที่เวปไซต์ของ Bob Jones University ก็ได้ค่ะ เขาจะระบุไว้เลยว่าไม่ discriminate based on race, age, country of origin รู้สึกจะแค่นั้น สรุปได้เลยว่า discriminate against everything else ซึ่งหมายถึงพิจารณา religious affiliation, sexual orientation และอื่นๆ อีกที่นอกเหนือจากเพศอะไร อายุเท่าไหร่ มาจากประเทศไหน โรงเรียนที่เป็น Christian Academy แถวบ้านกับแถวที่ทำงานก็เหมือนกันค่ะ เขาจะไม่รับนักเรียนที่พ่อแม่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์ค่ะ ถ้าว่ากันในแง่นั้น ธิดานุเคราะห์ยังดีกว่าเพราะตัวเองนับถือศาสนาพุทธนะคะ พ่อแม่ก็พุทธ ยังเข้าเรียนที่นั่นได้เลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 52 08:46:54 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 08:45:19

ความคิดเห็นที่ 20 ยอมรับว่า กระทู้เรื่องนี้ ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน จริง ๆ ได้แจ้งขอลบทั้งกระทู้ด้วยตนเองไปแล้วกว่าสามครั่ง แต่ก็ไม่ได้รับการลบจาก pantip.com แต่ในสังคมไทยแล้วมีหลายเรื่องอ้างว่าทำตามกฎหมาย แต่นโยบายภายในอยู่เหนือกฎหมายหรือไม่ยอมรับโดยปริยาย เหมือนกับเหตุการณ์/กรณีหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองไทย แล้วหาคำตอบหรือคำอธิบายไม่ค่อยได้ ก็ต้องขออภัยถ้าเรื่องนี้กระทบต่อจิตสำนึกหรือวิจารณญาณผู้อ่าน ผู้เขียนขอยอมรับผิดแต่ผู้เดียว จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 09:08:31

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ Ravio คะ จากใจจริงๆ นะคะ ว่าตัวเองโอเคกับกระทู้นี้มาก และก็มีความเข้าใจโรงเรียนเหมือนกัน ครูเหนื่อยแล้วกับการเรียนการสอนแต่ต้องมาเหนื่อยกับเด็กๆ ที่มีปัญหาครอบครัว ในการพานักเรียนไปสัมภาษณ์เพื่อสมัครเข้าเรียน มีโรงเรียนกี่แห่งที่นำประเด็นนี้มาเป็นหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก ทั้งทางนโยบายและการปฏิบัติ ในส่วนกฎหมายก็มีความน่าสนใจมาก เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดถึงความเท่าเทียมกันและเสรีภาพ (ประเด็นนี้เกี่ยวเนื่องทั้งสองหัวข้อ เพราะเป็นความเท่าเทียมของนักเีรียนที่พึงได้รับ และเป็นเสรีภาพของโรงเรียนด้วย) แต่มีตัวบทกฎหมายที่คุ้มครองทั้งสิทธิความเท่าเทียมและเสรีภาพที่ว่านี้ได้ประมาณไหนกัน ที่คุณกุลฐิดากรุณาให้ความรู้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ว่ากฏหมายที่ว่าจะครอบคลุมถึงไหนและประเทศต่างๆ ถือปฏิบัติเรื่องนี้กันอย่างไร ตัวเองเลยเริ่มสนใจอย่างจริงจังค่ะ เพราะในการตีความกฎหมาย อย่างเช่น public education system จะต้องมีแจ้งบทนิยามในหัวข้อกฎหมายด้วยว่าหมายความว่าอย่างไร :) ในส่วนตัวไม่มีประสบการณ์การทำงานในมหาวิทยาลัยรัฐนานอย่างคุณกุลฐิดานะคะ แต่ก็สอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นของภาครัฐและเอกชน ทั้งเป็นแบบอาจารย์ประจำและพิเศษ พอเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว ประเด็นการหย่าร้างของพ่อแม่ในการสอบคัดเลือกหรือการสัมภาษณ์เข้าใจว่าไม่ได้เป็นประเด็นเหมือนในชั้นอนุบาลนะคะ และส่วนตัวก็พยายามจะช่วยเหลือนักศึกษาที่มีปัญหาอยู่เสมอ เรียกว่า เมื่อก่อน ห้องพักอาจารย์เป็นมุมร้องไห้ของนักศึกษาสาวๆ หลายคน บางครั้งหนีเรียนหายไปเป็นเดือนก็ไปตามกลับมาเรียน แต่ตอนนี้เป็นอาจารย์พิเศษอย่างเดียวนะคะ หากกระทู้ที่ผ่านมาดูรุนแรงไปบ้างก็ขอโทษคุณ Ravio ด้วยนะคะ จากคุณ : alynnbook (alynnbook) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 09:34:28

ความคิดเห็นที่ 22 อ่า แฟนคลับอย่างเราเพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ ส่วนตัวจะชอบศิษย์เก่าธิดา-แสงทองมาก พอเห็นหัวเรื่องนึกออกเลยว่าโรงเรียนไหน ความจริงเรื่องเลือกเด็กเข้าเรียน รร.เอกชน ส่วนใหญ่ก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้นนะคะ เพราะแต่ละ รร. ก็มีเงื่อนไขของตัวเองกันอยู่แล้ว ถ้าอ้างเรื่อง Discrimination ในประเมืองไทย ก็โดนทุกโรงเรียนแหละกระมัง ข้อเสียชัดๆ ของการคัดเด็กแบบนี้หลายครั้งที่เกิดกรณี "เด็กสอบผ่าน แต่พ่อแม่ไม่ผ่าน" แต่ในหาดใหญ่ ก็มีโรงเรียนอื่นๆ ดีๆ คุณภาพพอกัน ให้เลือกเยอะแยะ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเลือกที่นี่ก็ได้ แต่ถ้ายังคิดจะเลือก ก็ต้องยอมเป็นตัวเลือกของโรงเรียนด้วย จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 20:40:18

ความคิดเห็นที่ 23 คิดถึงโรงเรียนเก่า ยังจำดงต้นยางในรูปแรกได้ สมัยเรียนตอนพักเที่ยงชอบไปนั่งเล่นพักเพื่อนใต้ต้นไม้เสมอๆ ตั้งแต่จบมาไม่ได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนอีกเลย แต่เวลากลับหาดใหญ่ยังผ่านไปแถวโรงเรียนบ้าง มองจากข้างนอก มีตึกเยอะขึ้น ดูจะเปลี่ยนไปพอสมควร สมัยก่อนเคยได้ยินว่าเค้ามีโควต้าสำหรับลูก-หลานศิษย์เก่าด้วย ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า เดี๋ยวนี้ต้องเข้าคิวตั้งแต่ตีสามเชียวหรือ เพื่อไปสมัครเรียน ไม่เคยทราบมาก่อนจริงๆ จากคุณ : Jaa3950 เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 22:15:45

ความคิดเห็นที่ 24 ใช่เลยค่ะคุณ Jaa ดงต้นยาง จำดงต้นยางได้เหมือนกันค่ะ ความจริงเรื่องโรงเรียนเอกชน discriminate นี่เมืองไทยสมัยนี้จะเป็นอย่างไรแล้วก็ไม่ทราบนะคะเพราะไม่ได้อยู่เมืองไทยมานานมากแล้ว เกือบ 30 ปีแล้ว แต่โรงเรียนเอกชนที่นี่ พ่อแม่เด็กมีส่วนกำหนดให้โรงเรียนตั้งกฎบางอย่างขึ้นมาด้วยค่ะ พ่อแม่เด็กที่ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนเพราะไม่อยากให้เด็กเข้าเรียนโรงเรียนของรัฐซึ่งต้องรับนักเรียนทุกประเภท และสร้างปัญหาให้ครูและครูใหญ่ปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน พ่อแม่ที่ยอมเสียเงินเป็นค่าเรียนลูกสูงๆ (โรงเรียนของรัฐที่นี่เรียนฟรีค่ะ) ก็เพราะต้องการให้ลูกได้เรียนในสภาพแวดล้อมที่ดีซึ่งโรงเรียนก็คัดเลือกนักเรียนแล้วในระดับหนึ่ง เคยมีข้อถกเถียงกันเรื่องโรงเรียนเอกชนจะรับเงินช่วยจากรัฐ พ่อแม่เด็กที่เรียนอยู่นั่นแหละค่ะที่ไม่ยอม ไม่ใช่ว่าโรงเรียนไม่ยอม เพราะถ้ารับเงินจากรัฐ หรือแม้แต่ยอมให้เด็กรับทุนค่าเล่าเรียนจากรัฐ ก็หมายถึงกฎเกณฑ์การคัดเลือกเด็กทั้งหลายก็ต้องยกเลิกไป ซึ่งพ่อแม่ของนักเรียนไม่ยอมค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 22:58:47