Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หมอเถื่อน ณ บ้านไพร ตอนที่ 10  

เช้าของวันใหม่เสียงอันดังก้องและเข้มแข็งของพวกนักเทควันโดที่จะต้องลุกขึ้นมาก่อนใครเพื่อยืดเส้นยืดกล้ามเนื้อออกกำลังกายและทบทวนเชิงการต่อสู้ การฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดความฝืดหรือย่อหย่อนสมรถนะอันเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของพวกนักกีฬาไม่ว่าจะประเภทใดก็ตาม รุ่นพี่อย่างเกตุผู้คุมการฝึกซ้อมแทนโค้ชเช่นเคย สิ่งที่แปลกวันนี้ก็คือขาข้างหนึ่งของเธอมีกระแผกนิดๆเวลาก้าวเดิน ภายใต้กางเกงวอร์มมีผ้าพันรัดหน้าแข้ง การเดินจึงไม่สมดุลเลยเปลี่ยนมายืนคุมอย่างเดียวแต่น้ำเสียงของเธอยังทรงพลังอยู่เช่นเดิม

                “น่าสงสารหนูเกตุเธอนะครับเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ละความพยายามเรื่องจะไปโอลิมปิกอีก”

                 หน้าต่างผ้าใบถูกแง้ม จ่าแจ๋วที่มองออกมาทางหน้าต่างของเต็นท์โดยข้างหลังยังมีผู้กองกับหมู่แม็กยืนและมองอยู่ด้วยเช่นกัน

                “โอลิมปิกมันเป็นเป้าหมายที่เธอไล่ตามมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ความพยายามมากว่าสิบปีและอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นมันน่าเสียดายที่เรื่องนี่เกิดขึ้นมาซะก่อน”ผู้กองผู้มีท่าทีถอนใจ กอดอกเดินวกกลับไปที่เดิม

                 “หากเราตามเณรกานต์มาให้เธอได้เร็วให้ได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน แล้วเด็กทั้งสี่คนนี้ก็กลับไปรายงานตัวที่สมาคมเทควันโดทันขีดเส้นตายเอาไว้ก็ดีซิครับผู้กอง”

                 ผู้กองก้มหน้าเอานิ้วมือลูบดั้งและปลายจมูกเดินหมุนไปมาอย่างไม่มีความหมายขณะตอบคำของจ่าอาวุโส

                 “มันเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้สำเร็จภายในเวลาจำกัดขนาดนั้น อุปสรรคทางนี้มันก็มากเหลือเกินเราไม่สามารถทำอะไรได้อย่างใจเลย”

                 ได้แต่ก้มลงนั่งเก้าอี้บนสนามเอาศอกตั้งเข่ามือกุมขมับตนเองอย่างกลัดกลุ้มวุ่นวายใจ ภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมายกำลังงวดเข้ามาทุกที มีแต่ต้องเดินหน้าไปเพียงอย่างเดียว คณะของหมอกฤษณ์คือเป้าหมายของเขามาแต่แรกที่จะเข้ามาแฝงตัวเพื่อจะเดินทางลึกเข้าสู่ดินแดนเป้าหมายหลีกเลี่ยงปัญหาและอุปสรรค์ เรื่องแนวป้องกันของกองกำลังทหารชายแดนฝังตรงข้ามซึ่งกำลังอยู่ในสภาวะตึงเครียดเตรียมพร้อมรบจากสงครามกับชนกลุ่มน้อย

                 “ผมจำเป็นต้องหอบหิ้วเด็กพวกนี้ไปด้วยอย่างน้อยจะได้รู้เห็นว่าพวกเขาอยู่ในสายตาจะไม่แอบเดินทางไปกันเองอีกซึ่งนั้นมันเป็นอันตรายมาก จ่า จ่าคงไม่นึกตำหนิผมใช่มั้ย ที่ผมทำอะไรห่ามๆไปแบบนี้”

                 “อือม์...อันนี่ก็น่าคิด”

                 จ่าผู้มากประสบการณ์ดูออกว่าผู้บังคับบัญชารุ่นหนุ่มคนนี้กำลังถูกเรื่องส่วนตัวเข้ารุมเร้าจนเสียความเด็ดขาดของผู้นำไป ตัวจ่าเองก็ทำได้แค่ที่ปรึกษาเพราะก็เข้าใจถึงเหตุและผลของนายดีเช่นกัน ภายในเต็นท์จึงเงียบเชียบไม่มีใครปริปากพูด หาญศึกอันนั่งจมก้มหน้านิ่งไปกับความคิดของตนเอง ได้ยินแต่เสียงกดรัวแป้นคีย์บอร์ดคอมฯของหมู่แม็กผู้หมกมุ่นอยู่กับข้อมูล  หันไปทีก็เห็นทหารพรานทองปานอนหงายเหยียดยาวอยู่อีกมุมหนึ่งไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

                  จ่าแจ๋วตบบ่าผู้กองจนสะดุ้งพอหันมาสบตา จ่าก็ชี้นิ้วให้ดูลูกน้องสองคนนี้อันมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งขยันมาก แต่ สนใจแต่เรื่องเทคโนโลยีก้มหน้าก้มตาอยู่กับเครื่องคอมฯเพียงอย่างเดียว อีกคนขี้เกียจและเฉือยชาไม่ค่อยทำอะไรเลย สองคนนี้บุคลิกไม่เหมือนทหารสักนิด แต่กองบัญชาการสูงสุดกลับดีดชื่อของสองคนนี้ออกมาให้ร่วมปฏิบัติการอันเป็นความลับสุดยอด พอถูกจับตามองเพียงไม่กี่วินาทีหมู่แม็กก็รู้ตัวหันหน้าออกจากเครื่องคอม ยิ้มแห้งๆออกมา ทองปาก็ลืมตาโพลงทันทีทั้งที่ยังนอนแมบอยู่อย่างนั้น  ประสาทไวกว่าที่คิด

                  จ่าครางอือในลำคอ เลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างไม่เข้าใจสองคนนี้เลย แล้วหันมาพูดกับผู้กองต่อ

                  “หนูเกตุเธอได้เลือดพ่อมาเยอะ สมัยหมู่ธงพ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่ นิสัยก็มุทะลุไม่ค่อยฟังเสียงใคร ใจกล้าละก็ เป็นที่หนึ่ง ในจำนวนลูกน้องคนสนิทของท่านนายพลสามคน คือผม หมู่ธงและก็อีกคนหมู่จำปา เจ้าธงเลือดร้อนที่สุดแต่ข้อดีของมันก็คือนิสัยรักเพื่อนพ้อง ทั้งนายและเพื่อนๆทุกคนต่างรักในน้ำใจของมันด้วยกันทั้งนั้น”

                  หาญศึกเบิกตากว้างขึ้น หันไปมองจ่าแจ๋วและพูดว่า

                  “ใช่ๆ...น้าธงตอนเด็กๆผมยังจำแกได้ เป็นคนชอบพูดเสียงดังท่าทางดุเหมือนน้องเกตุนี้แหละ พูดถึงเรื่องนิสัย น้องเกตุเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่องผิดวิสัยเด็กสาวทั่วๆไป ทำอะไรต้องทำให้สำเร็จไม่ยอมจบง่ายๆถ้าไม่ถึงเป้าหมาย นิสัยข้อนี้ละมั่งซึ่งเธอได้ถ่ายทอดมาจากคนเป็นพ่อ มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของน้องเกตุที่ผมไม่รู้จะชมหรือจะติดี ถ้าน้องเป็นเด็กสาวธรรมดาก็ดีสิ”

                   ในใจหาญศึกนึกถึงแต่ภาพน้องเกตุแต่งตัวสวยๆสมวัยและเดินกรีดกรายอยู่ในห้างสรรพสินค้าเช่นเด็กสาวทั่วไปไม่ใช่มาลำบากอยู่ในสถานที่ๆกันดารและอันตรายเช่นนี้

                    จ่าแจ๋วพูดดึงอารมณ์ของผู้กองไปทางอื่นโดยพูดเรื่องในอดีตจนผู้กองดูจะคลายอารมณ์หมกมุ่นไปได้บ้าง แต่ในใจก็ไม่วายคิดถึงเพื่อนเก่าผู้จากไปทิ้งไว้แต่ทายาท เด็กสาวผู้ก่อปัญหาทางใจให้กับผู้กองขณะนี้

                   “ในยามรบมันไม่เคยทิ้งใครไปก่อนเลยพวกเราได้ชื่อว่าเป็นสามทหารเสือที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านมาตลอด จนกระทั้งไอ้ธงมันสละชีวิตยอมตาย เพื่อช่วยให้พวกเราให้รอดออกมาในการรบครั้งหนึ่ง ผมกับท่านนายพลสัญญาว่าจะดูแลลูกเมียของมันให้ดีที่สุด นิสัยเสียสละและรักพวกพ้องนี้เองซึ่งตกทอดมาถึงหนูเกตุด้วย”

                    หาญศึกดูสงบลงและหันไปยังหน้าต่างมองร่างเด็กสาวผู้สร้างความกลัดกลุ้มวุ่นวายในหัวใจของเขา  มือจับขอบหน้าต่าง เอ่ยคำลอยๆเหมือนรำพึงกับตนเอง

                   “ใช่ พันธะสัญญานั้นยังคงผูกพันตกมาถึงผมด้วยในปัจจุบัน”

                    เสียงดังของพวกนักกีฬาได้เงียบลงอันครบสองชั่วโมงของการฝึก เกตุยืนเอาผ้าซับลูบไล้ตามแขนและต้นคอเหงื่อผุดพราวบนใบหน้าเพราะอดไม่ได้ที่จะลงไปซ้อมด้วยทั้งที่ขาก็เจ็บอยู่ ไม่มีเสียงพร่ำบ่นจากปากเพราะรุ่นน้องทั้งสามร่างกายปรับสภาพเริ่มเข้าที่ดีแล้ว เธอยืนสงบท่าทางใช้ความคิดอะไรอยู่คนเดียวเงียบๆ  อีกสามคนพอฝึกเสร็จก็เข้ากอดคอสุมหัวกันหัวร่อต่อกระซิก

                    หางตาคมปราบของลูกพี่สาวเริ่มจับผิดทันที

                    “แน่ะ! เจ้าพวกนี่ทำอะไรกัน? ทำไม!? ไม่รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามัวสุมหัวอะไรกันอยู่!”

                   เกตุที่เอามือเท้าสะเอวเมื่อหันไปเห็นพวกนายคงซึ่งยืนหัวร่อต่อกระซิบแล้วแอบชำเลียงตามองมายังเธออยู่หลายครั้ง คล้ายมีแผนการอะไรอยู่ในหัวสมองอันพิเรนท์ๆ

                    “ไม่มีอะไรครับลูกพี่...พวกเราจะรีบไปบัดเดี๋ยวนี่แล้วคร้าบ...”นายคงหันมาก้มโค้งคำนับเธออย่างดีส่งรอยยิ้มปริศนามาให้ก่อนจะแว้งตัววิ่งตามหลังสองคนที่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆคักๆ

                     ดอกไม้ป่าหลากสีสันเหมือนสีสวยของสายรุ้งบนบกต่างพร้อมใจกับผลิดอกบานสะพรั่งขึ้นพร้อมกันบนขอบลานหินรอบๆแค้มป์ อันบ่งบอกถึงเวลาแห่งปลายฝนต้นหนาว สีม่วงเข้มเล็กๆเป็นพืดของดุสิตา มณีเทวาอันขาวผ่อง กลุ่มสีทองของสร้อยสุวรรณา คลาไปกับดอกเสี่ยวรูปพระจันทร์สีฟ้าหม่นของสรัสจันทร เมื่อหันออกไปไกลอีกทีก็จะเห็นทุ่งผืนพรมธรรมชาติด้วยเนรมิตจากดอกไม้สกุลป่า กลีบดอกอันบอบบางยามต้องสายลมต่างปลิดปลิวล่องลอยขึ้นเป็นเกลียวม้วนตัวตามกระแสลมล้อกับฝูงผีเสื้อปีกสีขาวคลิบแดงประกายซึ่งบินอ้อยอิ่งเกาะสายลมเป็นจุดพราว สีสันเหมือนวิจิตรจินตนาการของพวกจิตรกร

                  หญิงสาวนางหนึ่งผู้มีผิวสีน้ำผึ้งดูผุดผาดยามเมื่อต้องแสงแดดอ่อนโยนยามเช้า ร่างเพรียวสูงยาวซึ่งเดินลัดเลาะเปลือยเท้าเยื้องย่างแต่ละก้าวผ่านดอกไม้สวยแต่ละดอกอย่างกลัวดอกไม้จะช้ำ ความงามที่เข้ากันได้ดีกับสวนสวยหาได้ทำให้เกิดความหม่นหมอง

                เกตุผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นแบบสบายๆ สลัดชุดนักเทควันโดออกไป เสื้อคลุมแบบนักกีฬาทับเสื้อยืดรัดเนินอกเต่งตึง กางเกงขาสั้นรัดรูป เผยให้เห็นเรียวขาสวยตั้งแต่หน่องถึงโคนขาอันนวลเนียนผุดผ่อง สะโพกกระฉับแน่นพลิ้วไหวทุกจังหวะเยื้องย่าง
           
                 “เอ้...อยู่ไหนนา? หาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที เมื่อคืนก็จำได้ว่าเอาตากไว้ดีแล้วนี้นา รึว่าลมมันจะพัดออกมาตกแถวนี้ มันก็น่าจะเห็นซิ” ร่างอันกำลังก้มๆเงยๆของเกตุซึ่งคว้านหาอะไรบางอย่างอยู่ในลานดอกไม้ ซึ่งทุกกิริยาท่าทางของเธอตกอยู่ในสายตาของพวกนายคงที่กำลังหลบมองอยู่หลังพุ้มไม้ หัวเราะคิกคักๆอย่างชอบอกชอบใจ กระซิบกระซาบกันกับเรื่องที่พวกมันรวมหัวกันทำเอาไว้

                 เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มของรถจิ๊บวิลลี่สมัยสมครามเย็นที่วิ่งเข้าจอดอีกฟากหนึ่งของลาน    เห็นไกลๆชายในชุดดำซึ่งกำลังเดินลัดแปลงดอกไม้ป่าตรงเข้ามา เมื่อเข้ามาใกล้ในระยะสายตาก็เรียกเสียงฮือฮาของคนหลังพุ่มไม้ได้ทันที ชายที่พวกเขาสู้อย่างแทบเป็นแทบตายมาเมื่อวาน และคู่ปรับตัวฉกาจของเกตุ

                 “นายสัณฑ์!!”

จากคุณ : doctorwar
เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 23:09:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com