Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
What the heck! The series/ Episode 1: When I'm feeling blue - มีชีวิตอยู่เพื่อใคร  

ฉันเคยมีความเชื่อว่า มนุษย์เราจะสามารถหาสิ่งบันเทิงใจเพื่อคลายเครียดไปได้ในแต่ละวัน และนั่น มันเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ ตื่นนอนตอนเช้า แปรงฟัน บ้วนปาก อาบน้ำ ขับถ่าย แคะขี้หู ถูขี้ไคล ตะไบเล็บ กินข้าว ร่ำลาคนที่บ้าน ออกไปทำงาน แล้วก็ไปทำตัว ‘เป็นการเป็นงาน’ มีสังคมแบบเพื่อนร่วมงาน ตกเย็น กลับบ้าน ทักทายครอบครัว ตบหัวเล่นหมาหรือแมวที่เลี้ยงไว้ ออกกำลังกาย กลับมาอาบน้ำ กินข้าว ดูข่าวภาคค่ำ นั่งขำกับละครตอนดูกับคนที่บ้าน แล้วเข้านอน

เพื่อที่ตื่นมาในอีกวัน มันก็จะเป็นแบบนี้อีกครั้ง และอีกครั้ง วนไปจนครบห้าวัน เริ่มจากวันจันทร์ แล้วก็มีกิจวัตรที่แปลกไปอีกสองวันในรอบสัปดาห์ เสาร์ และ อาทิตย์ ตื่นสาย กินกาแฟกับขนมปังตอนเช้าได้โดยไม่ต้องรีบตาลีตาเหลือกออกไปเกลือกกลั้วกับรถราขวักไขว่แย่งชิงสิ่งที่หามาเพิ่มไม่ได้ นั่นคือ ‘เวลา’

คิดแบบนั้นตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยจนโตมาหมาชิสุเลียก้นไม่ถึง แล้วจึงมาค้นพบว่า...


“แม่ม มันไม่ใช่ว่ะ” ธนเศรษฐ์ส่ายหน้าวืดหนึ่งตอนที่อ่านงานเขียนในมือไปได้เพียงสองวรรคแรก แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวเองที่นั่งจ๋องในสภาพสุดโทรมอยู่ตรงกันข้าม

“ไม่ใช่อะไรของแกอีก นี่ฉันอดนอนเขียนให้แกเชียวนะ” สภาพมนุษย์ผู้หญิงที่เหมือนถูกตกแต่งจากโปรแกรมภาพสามมิติเสมือนจริงในโหมดหลังถูกข่มขืนขยับปากเล็กน้อยแล้วทำหน้านิ่งพูดออกมาหลังจากเอาปลายนิ้วชี้ที่เล็บกระด่อนกระแด่นเขี่ยปอยผมยุ่งเหยิงออกจากปาก

“ฉันไม่ได้ต้องการเรื่องแบบนี้ ฉันอยากได้งานเขียนแบบที่ดึงอารมณ์คนอ่านให้รู้สึกห่อเหี่ยว เบื่อหน่ายชีวิต มองโลกในแง่ร้ายจนกลายเป็นพวกจิตตก ไม่ใช่เล่าเรื่องชีวิตน่าเบื่อของแกให้คนอ่านฟัง”

“โรคจิตนะแกน่ะ” เพียงทรายพึมพำดังๆ พร้อมทำหน้าไร้อารมณ์มองเพื่อนที่อยู่ตรงกันข้ามทั้งตำแหน่งที่นั่งและกายภาพวางกระดาษปึกเล็กๆ ลงบนโต๊ะ แล้วกางแขนออกสองข้างพาดไปตามเบาะพิงด้านหลังอย่างสบายๆ

“แล้วฉันก็ไม่ได้ประสงค์ให้แกอดนอนเขียนให้ฉันด้วย แกเพิ่งเขียนเมื่อคืนทั้งที่ฉันบอกไปสองสัปดาห์แล้ว ความผิดแก”

แม้คนถูกโยนความผิดพยายามจ้องเขม็งไปที่เพื่อนหนุ่ม แต่สุภาพบุรุษที่สุดในระยะรัศมีสองเมตรก็ตอบมาได้โดยไม่ระคายปากสักนิดว่าเป็นความผิดของเพียงทราย แล้วนั่นก็ทำให้เธอถอนหายใจเฮือกยาวก่อนพูดออกมาเนือยๆ

“แล้วจะเอาไง ฉบับนี้ยกเลิกคอลัมน์ ‘เรื่องของกู’ ไปก่อนเลยไหม” เป็นคำถามแรกของวันที่แสดงถึงการมีความรับผิดชอบในฐานะนักเขียนบทความประจำของนิตยสารแหวกแนวในสำนักพิมพ์เปิดใหม่ด้วยเม็ดเงินหนุ่มนักเรียนนอกที่ดันเรียบไม่จบกลับมาแบมือขอเงินบิดามาผลาญแทน

“ไม่ยก แกกลับไปเขียนมาใหม่”

เพียงทรายกลับมานั่งจ้องหน้าเพื่อนพร้อมสายตาพิฆาตอีกครั้งหลังจากที่เขาทำหน้าเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรและสั่งการออกมาง่ายๆ

“ไหนว่าวันนี้ปิดเล่ม”

“ฉันโกหก ปิดมะรืน หลอกไง แกได้ขยันหน่อย... อะไร นี่แกยังไม่ชินอีกเหรอ โดนหลอกน่ะ” ธนเศรษฐ์ทำท่าเหมือนเป็นเรื่องขำขันประจำวันธรรมดาที่หาได้ตามซิทคอมทั่วไป แต่คนที่โดนขำใส่นี่สิ

“ไม่ขำ ไม่ต้องทำตลก ฉันเหนื่อย ง่วง แถมดวงตก แล้วยังต้องมานั่งเป็นข้ารองบาทให้แกอีก แกเห็นฉันเป็นอะไร” เพียงทรายใกล้ตบะแตก อาจด้วยระดับเอ็นโดรฟินที่ต่ำลงถึงขั้น Minimum level หรืออาจเพราะอดนอนจนขอบตาคล้ำดำปืด

“รู้น่าว่าแกโกรธ และรู้ด้วยว่าแกกำลังจะด่าว่าฉันไม่เห็นใจเพื่อน เลวกับเพื่อน... แต่ยังไงเสีย แกก็เพื่อนฉัน ไม่เคยสักครั้งที่จะเทียบแกเป็นลูกจ้าง ฉันขอแค่ความช่วยเหลือจากแก คอลัมน์นี้ถ้าไม่ใช่แกเขียน มันก็ไม่มีความหมาย ในฐานะเพื่อน ช่วยกันหน่อยได้ไหม นะ ทราย... ขอพรุ่งนี้นะ”

เพียงทรายเงียบกริบเม้มปากแน่น จ้องตาเพื่อนที่งัดไม้ตายมาเล่นอีกครั้ง มันเป็นไม้เด็ดที่ธนเศรษฐ์มักจะใช้กับคนทั่วไป เน้นว่าโดยเฉพาะผู้หญิงที่มันก็สำเร็จแทบทุกครั้ง ไม่มีใครหรอกที่จะไม่ใจอ่อนกับท่าทางแบบนี้ของเขา ด้วยรูปพรรณสัญฐานที่ออกจะดูดีถึงดูดีมากของเขาแล้ว การใส่มารยาหนุ่มที่มีมากกว่าร้อยเล่มเกวียนเข้าไปอีกนิด มันแทบจะพิชิตได้ทุกอย่าง แม้แต่...

“อย่ามาทำตอแ-ล แกเคยเรียกฉันว่าทรายที่ไหน นับครั้งได้ ทีนี้จะมาหลอกใช้ฉัน แกก็งัดเอาชื่อฉันมาเรียก มาทำตาออดอ้อน มาพูดจาสวยหรู ปกติ แกเรียกฉันไอ้กรวด แกเคยว่า ชื่อทรายมันของผู้หญิงสวยๆ เขาโน่น... ไม่รู้ละ ฉันจะเขียนใหม่ แต่จะใช้การตัดสินใจของฉันเองว่าจะเขียนแบบไหน แกไม่ชอบใจ... ก็เรื่องของแก เพราะคอลัมน์นี้นะ ‘เรื่องของกู’ จำไว้ ไอ้เสด บอกออีเดียต... ฉันเกลียดแก”

พูดจบก็พาสภาพน่ารังเกียจกับหัวฟูๆ หน้าซีด ตาคล้ำโหล ปากแห้ง ตัวเหี่ยวในยืดคอวีตัวหลวมที่สวมทับกางเกงยีนส์สีเข้มกับย่ามสะพายไหล่เดินออกไปจากส่วนสำนักงานของเพื่อนที่พ่วงตำแหน่งเจ้านายผู้จ่ายค่าครองชีพให้รายเดือน ส่วนเจ้านายนั้น ได้แต่ผิวปากหวือตามหลังนักเขียนบทความของนิตยสาร “What the heck! Magazine” ด้วยความชอบใจในวาจาดุเดือดของเพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่เขาเรียกได้สนิทปากว่า ‘เพื่อน’



เพียงทรายเดินสะโหลสะเหลพร้อมวังวนมืดครึ้มในหัวว่าจะไปเหลางานเขียนในบทความที่ตัวเองรับผิดชอบแบบไหนในหัวข้อเท่ๆ ว่า ‘When I’m feeling blue’ ที่เพื่อนจั่วหัวข้อมาให้ แม้ว่าเธอจะไม่เคยเข้าใจในสมองของเพื่อนคนนี้เลยว่าคิดอะไรอยู่ จากแต่ละหัวข้อที่หยิบยื่นให้เธอเขียนทุกสองสัปดาห์ มีแต่หัวข้อประหลาด แต่เธอก็ยังเขียนให้เขาเสมอไป เพราะสุดท้ายก็ต้องยอมรับ ว่าเขาเป็นเพื่อนที่สามารถผลาญเงินพ่อมาเปิดสำนักพิมพ์และจ่ายค่าจ้างให้เธอด้วยตัวเลขสวยงามไม่น่าเชื่อ แลกกับบทความโรคจิตแค่สองเรื่องต่อเดือนเท่านั้น

“อยากรู้นัก หน้าไหนมั่งวะที่จะซื้อหนังสือมันมาอ่านคอลัมน์กูเนี่ย” เธอบ่นใส่ตัวเองเบาๆ ตอนที่พยายามเสียบกุญแจสตาร์ทรถ เพื่อที่จะพบว่า... สตาร์ทไม่ติด

“ไอ้สะ...” เพียงทรายออกมายืนเตะยางรถข้างนอกแทนการด่ารถตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกมีไฟลัมระบุ เพราะอย่างน้อย เธอก็ยังอยากเก็บสมบัติของส่วนตัวเอาไว้จากการบริภาษใส่ของตัวเอง

‘รถแบตหมด กุญแจฝากน้องซากอ้อยไว้ ชาร์ตแล้วเอาไปให้ฉันที่คอนโดด้วย ไม่งั้นฉันเขียนไม่จบพรุ่งนี้แน่/ กรวดทิ่มตีนแก’

เธอกดส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือถึงเพื่อนอีเดียตที่เพิ่งด่าใส่หน้าไปไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่ส่งกุญแจรถยนต์คันเก่าจนไม่คิดว่าจะมีใครลงทุนมาขโมยไปขายทิ้งเป็นเศษเหล็กให้กับน้องน้ำหวาน สาวสวยหน้าแฉล้ม พนักงานต้อนรับและโอเปอร์เรเตอร์ในชื่อเฉพาะว่า ‘ซากอ้อย’ ที่ไว้เรียกกันสองคนระหว่างเธอกับธนเศรษฐ์ ด้วยเหตุที่น้องน้ำหวานเคยมีสามี พร้อมมีลูกเล็กๆ แล้ว ดันบอกคนโน้นคนนี้ว่ายังไม่เคยมีใครเพื่อโปรยเสน่ห์ม่ายสามีหนีของเธอ น้ำหวานรับกุญแจไปพร้อมรับคำกำชับไว้ว่าให้ส่งถึงมือนายใหญ่ธนเศรษฐ์เท่านั้น เป็นเรื่องสำคัญมากกับเส้นตายปิดเล่มรายปักษ์นี้

แล้วเธอก็หมดอารมณ์จะขึ้นรถเมล์กลับคอนโดเพื่อหลงวังวนความรู้สึกสีน้ำเงินหม่นๆ ตามหัวข้อของท่านบ.ก. เพียงทรายจึงเดินเตาะแตะไปเรื่อยเปื่อย ประกอบกับกวาดสายตาเบลอๆ ไปรอบตัวเผื่อหาอะไรดีๆ ใส่ชิวิตยามสายของวันนี้ พลันสายตาเธอกวาดไปพบกับร้านกาแฟร้านเล็กๆ น่ารักที่ตกแต่งให้ได้บรรยากาศสบายๆ ตามสมัยนิยม ร้านนี้เธอเพิ่งเห็นได้ไม่นานเพราะเป็นร้านที่เพิ่งมาเปิดใหม่ เธอจึงตัดสินใจเดินตรงไปยังจุดที่สายตากำหนด

โต๊ะแรก เก้าอี้แรกที่เธอเคลื่อนตัวไปถึงเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดกับการนั่งแหมะ แล้วสั่งคับร้าน

“ป้า ข้าวมันไก่ใส่หนังเยอะๆ มาจาน ชาเย็นด้วย”

เพราะร้านที่เธอมานั่งทำหน้าเหนื่อยอยู่นี้คือร้านข้าวมันไก่ป้าเลียบ ร้านรถเข็นที่อยู่ห่างจากร้านกาแฟหน้าตาน่ารักนั่นไม่เกินกว่าร้อยเมตร ข้างๆ หม้อน้ำซุปข้าวมันไก่ก็ยังมีโต๊ะวางขายกาแฟเย็น ชาเย็นอยู่ด้วย ด้วยความที่นาทีสุดท้ายก่อนก้าวขาขึ้นร้านกาแฟ เธอก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวานบ่ายแก่ และความหิวติดจับขั้วกระเพาะก็ทำให้เธอต้องการอะไรมากไปกว่ากาแฟหอมๆ กับเบเกอร์รี่ชิ้นเล็กๆ

ระหว่างที่รอแม่ค้าสับไก่ใส่หนังลงบนจานข้าวมัน เธอมองไปรอบๆ ร้านอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ ความมึนเบลอจากกระแสไฟฟ้าสถิตย์ในหัววิ่งหาทางออกให้กับ ‘เรื่องของกู’ ยังดังเปรี๊ยะอยู่ในหัวแบบลัดวงจร เด็กสาววัยรุ่นผิวคล้ำหน้าผอมผมเปียคนหนึ่งกำลังล้างจานอย่างแข็งขันอยู่ด้านหลังรถเข็น เธอสังเกตดูเค้าโครงหน้าแล้วคิดเอาเองว่าไม่น่าใช่ลูกสาวของแม่ค้าผิวขาวที่มีโครงหน้าค่อนข้างเหลี่ยมคนนี้ ลูกค้าโต๊ะอื่นก็เพิ่งลุกออกไปตอนเธอเดินมาถึงร้าน แล้วตอนนี้เธอก็เป็นลูกค้าคนเดียวในร้านยามสาย

“ข้าวมันไก่ใส่หนังเยอะๆ มาแล้ว ระวังน้ำซุปหน่อยนะ มันร้อน”

แม่ค้าข้าวมันไก่คนที่เธอพินิจพิจารณาอยู่เมื่อครู่เดินมาส่งอาหารด้วยตัวเอง ดีอยู่ว่าชาเย็นเป็นร้านของหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างๆ เธอเลยได้ชาเย็นมาดูดให้ชื่นใจไปก่อนหน้าแล้ว แต่ยังไม่ทันที่แม่ค้าจะได้เดินกลับไปยังหน้ารถเข็น เธอก็สังเกตเห็นรอยแผลเป็นฉกรรจ์ที่ข้อมือของเธอหลายแผล เสื้อยืดแขนยาวที่เธอใส่ถูกถกขึ้นเพื่อความคล่องตัว รอยแผลทั้งหมดจึงไม่ถูกซ่อนอีกต่อไป แล้วเพียงทรายก็ไม่คิดจะปิดบังสายตาตัวเองที่จ้องมองไปยังแผลนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิดอีกด้วย



Next>>

จากคุณ : BestChild
เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 17:38:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com