เรื่องของนักแสดงคนหนึ่ง
|
|
บันทึกของคนเดินเท้า
เรื่องของนักแสดงคนหนึ่ง
เทพารักษ์
เมื่อต้นปีวอก พ.ศ.๒๕๔๗ ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ในวงการ ภาพยนต์ไทย อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คือมีภาพยนต์ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับดนตรีไทย เข้าฉายเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผลปรากฎว่ามีคนดูน้อยเต็มที รอบแรกของวันแรกที่ฉาย มีผู้ชมเดินออกมาจากโรง ไม่ถึงยี่สิบคน รอบถัดไปก็มีคนไม่มากไปกว่านั้น
แม้ว่าจะมีหนังสือเวียนจากมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับดนตรีไทย เชิญชวนให้ผู้ที่รักดนตรีไทยไปชมในสามวันแรกให้มาก เพื่อที่ทางโรงจะได้ไม่ถอดออกจากโปรแกรม ก็ไม่ทราบว่าจะมีผู้ไปชมเพิ่มขึ้นสักเท่าไร แต่ก็ทำให้ภาพยนต์เรื่องนี้สามารถฉายต่อไปได้ อย่างเงียบเหงาเต็มที
ครั้นเมื่อฉายไปได้ประมาณสิบวัน โรงภาพยนต์ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ก็ถอดภาพยนต์เรื่องนี้ออกจากโปรแกรม เหลืออยู่เพียงบางโรงที่ฉายเพียงวันละรอบสองรอบ อย่างเสียไม่ได้ แต่กลับมีผู้ชมเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่ได้ไปชมมาแล้วต่างชื่นชอบกันอย่างมาก และบอกเล่ากันต่อ ๆ ไป
สื่อต่าง ๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และอินเทอร์เนต ก็เผยแพร่คุณงามความดี ของภาพยนต์เรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง ถึงขั้นที่ว่าเป็นคนไทยต้องดูหนังไทยเรื่องนี้ และเรียกร้องในทางโรงภาพยนต์ เพิ่มโรงและเพิ่มรอบฉายให้มากขึ้น จนเป็นผลสำเร็จ ทางบริษัทเจ้าของโรงภาพยนต์ชั้นหนึ่ง ต่างก็เพิ่มโรงฉายให้มากขึ้น และเพิ่มรอบฉายเป็นวันละหกรอบ แล้วก็มีคนดูแน่นทุกโรง
ภาพยนต์เรื่องนี้คือ โหมโรง หรือ The Overture เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ประมาณว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ชื่อนายศรบุตรของนายสินครูดนตรีไทย ซึ่งมีความตั้งใจที่จะเป็นนักดนตรีไทย โดยเล่นระนาดเอก แม้ว่าบิดาจะไม่สนับสนุนในตอนแรก แต่ลงท้ายก็ยอมสอนให้เสมือนเป็นลูกศิษย์เอก จนนายศรเก่งกล้าสามารถเอาชนะนักดนตรีชื่อดัง ในการประชันหน้าที่นั่งได้ ในอีกหลายปีต่อมา และได้เป็นครูดนตรีแทนบิดา
จนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทางการกีดกันในการแสดงดนตรีไทย เพราะคิดว่าเป็นของคร่ำครึไม่ทันสมัย เหล่าศิลปินประเภทนี้จึงประสบความหายนะไปตาม ๆ กัน ครูศรก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ด้วยความคับแค้นใจ ครูศรก็ได้แต่งเพลงขึ้นบทหนึ่ง ในอารมณ์ที่ โศกเศร้าเพราะถูกบีบคั้นจากทางราชการ เพลงนั้นมีชื่อว่า แสนคำนึง
เดิมทีเดียวทางผู้สร้างจะใช้ชื่อเพลงเป็นชื่อเรื่อง ซึ่งยิ่งจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกได้ทันที ว่าเป็นเรื่องของเพลงไทย ดนตรีไทย และวงดนตรีไทย ที่บรรเลงกันอย่างยืดยาด เชื่องช้าเนิบนาบชวนง่วงนอน
ซึ่งในภาพยนต์เรื่องนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงว่องไว ตามลักษณะของเพลงโหมโรง เฉพาะฉากประชันการตีระนาดเอก ทั้งในครั้งแรกที่นายศรพ่ายแพ้ และครั้งหลังที่นายศรเป็นผู้ชนะ จะทำความตื่นเต้นให้แก่ผู้ชมเป็นอย่างมาก เหมือนฉากบู๊ในภาพยนต์ดุเดือดเลือดพล่านทั่วไป
และนอกจากนั้นในบทอื่นก็ยังมีฉากรัก อันประกอบด้วยเพลงหวานที่บรรเลงด้วยซออู้ รวมทั้งฉากอื่น ๆ ที่แทรกอารมณ์ เคียดแค้น เศร้าโศก และซาบซึ้ง ตามแบบฉบับของภาพยนต์ชั้นดีอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่ครูศรในวัยชรา ร่วมเล่นระนาดเพลงลาวดวงเดือน กับบุตรชายที่ดีดเปียนโน สอดประสานกันไปอย่างกลมกลืน ได้ไพเราะน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง
ภาพยนต์เรื่องนี้สร้างจากจินตนาการ โดยได้รับความบันดาลใจจาก ชีวประวัติของ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ท่านเกิดเ ที่จังหวัดสมุทรสงคราม แดนเกิดของนักดนตรีไทย เมื่อหนุ่มได้เข้ารับราชการเป็นจางวางมหาดเล็กในวัง สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช และความที่เป็นนักดนตรีระนาดฝีมือเอก จึงมีชื่อเสียงเป็นจางวางศร ติดปากบุคคลทั่วไป
ท่านเป็นผู้ประดิษฐ์วิธีบรรเลงดนตรีขึ้นใหม่ ให้เสียงอ่อนหวานเรียกว่า ทางกรอ และ ทางเปลี่ยน คือบรรเลงเพลงเดียวแต่ละเที่ยวไม่ให้ซ้ำกัน และยังได้ประดิษฐ์คิดโน้ตตัวเลข สำหรับดนตรีไทย ที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ มีผู้กล่าวว่าดนตรีไทยรุ่งเรืองที่สุดในยุคสมัยของท่าน
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เกิดเมื่อ ๖ สิงหาคม ๒๔๒๔ ถึงแก่กรรมเมื่อ ๘ มีนาคม ๒๔๙๗ อายุ ๗๔ ปีเศษ
ในด้านภาพยนต์เรื่อง โหมโรง นั้นมีเสียงสนับสนุนจากผู้ชม และผู้จัดรายการทางวิทยุและโทรทัศน์มากมาย เช่น
หนัง โหมโรง ถึงจะดูเงียบ ๆ แต่กระแสปากต่อปาก ที่บอกว่าดีจริง ๆ ก็ทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น ล่าสุดมีวุฒิสมาชิกหลายท่านที่ได้ไปชม ต่างประทับใจกันในเนื้อหาของหนังทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ต่างบอกว่าอยากดูอีก
เป็นหนังที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ในประวัติศาสตร์หนังไทย จาก ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นหนังที่ดีมากเลยครับ มากกว่าความตั้งใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทำอย่างนี้ได้ จาก อนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรม
ผมขอสนับสนุน นี่เป็นภาพยนต์ที่ดีจริง ๆ จาก ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และหลังจากที่เสียงชื่นชม ได้แพร่กระจายออกไปทั่วประเทศ ภาพยนต์เรื่องโหมโรงก็มีการฉายในกรุงเทพเพิ่มขึ้นร่วมยี่สิบโรง และไม่มีกำหนดออกจากโปรแกรม
ท้ายที่สุดกระทรวงวัฒนธรรม กับกระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมกันเชิญคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย ไปชมภาพยนต์เรื่องโหมโรง ณ ศาลาเฉลิมกรุง เมื่อ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ต่างก็ออกปากชมโดยทั่วหน้ากัน
ผู้บันทึกบังเอิญได้รู้จักกับนักแสดงคนหนึ่งในภาพยนต์เรื่องนี้ เขาไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง คือไม่ใช่พระเอกและผู้ร้าย เป็นเพียงตัวประกอบเล็ก ๆ ที่มีบทพูดเพียงสองสามประโยค แต่บังเอิญได้แสดงคู่กับพระเอกในฉากแรก ๆ ของเรื่อง จึงพอจะมีคนจำเขาได้บ้าง
เขาเล่าให้ฟังว่า เดิมเขาเป็นนักดนตรีไทย ต่อมาได้เป็นนักแสดงละครเวที และก็ไม่ใช่ตัวเอกอีกนั่นแหละ แต่เป็นตัวประกอบค่อนข้างสำคัญ แสดงอยู่หลายเรื่องหลายเวที ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
บังเอิญผู้สร้างภาพยนต์เรื่องโหมโรง มอบให้ผู้กำกับการแสดงละครคณะของเขา เป็นผู้คัดเลือกตัวแสดงในเรื่อง เขาจึงถูกใช้ให้เป็นผู้ช่วยในการคัดเลือก คือเมื่อผู้คัดเลือกต้องการผู้แสดงในบทไหน ก็ให้เขาเป็นผู้แสดงคู่กับผู้ที่มาคัดเลือก แล้วก็ถ่ายวีดิโอไว้ ดูการแสดงของผู้ที่มาคัดเลือกนั้น ว่าจะเอาคนไหน
เขาไปช่วยทำงานนี้อยู่หลายวัน เมื่อถึงคราวที่ผู้กำกับจะคัดเลือกรอบสอง เขากลับถูกเรียกให้ไปแสดงในบทที่เขาเป็นผู้ช่วย แทนที่จะเลือกผู้ที่มาสมัครเข้าคัดเลือก
บทนั้นเป็นบทย่อยหรือบทรอง ที่แทรกอยู่ในเรื่องใหญ่ ในสมัยที่ครูศรหรือพระเอกในวัยชรา เป็นบทของนักดนตรีไทยผู้เป็นศิษย์ ของครูศร ได้ใช้ฝีมือระนาดเอกหากินกับการแสดงลิเก และวงมโหรีปี่พาทย์ต่าง ๆ แต่ถูกทางการกีดกันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะผู้นำประเทศเห็นว่าดนตรีไทยเป็นของคร่ำครึล้าสมัย
เมื่อทำมาหากินทางดนตรีไม่สะดวก จึงไปทำงานเป็นลูกจ้างหรือจับกังแบกกระสอบข้าวสาร แต่ด้วยความที่เป็นคนบอบบางไม่แข็งแรง วันหนึ่งจึงเกิดอุบัติเหตุล้มลงในขณะแบกกระสอบข้าวสาร จึงถูกกระสอบทับข้อมือหัก เมื่อรักษาตัวหายแล้วก็ตีระนาดไม่ได้ และทำงานอื่นก็ไม่ได้ จึงยากจนลงกว่าเดิมมาก และเสียดายที่ไม่สามารถยังชีวิตด้วยดนตรีไทยได้ จึงผูกคอตาย
นักแสดงที่เล่าเรื่องนี้สามารถผ่านการคัดเลือกบทนี้ได้ แต่พอเริ่มถ่ายทำจริง ผู้กำกับกลับให้นักดนตรีไทยของกรมศิลปากรเป็นผู้แสดงในบทนี้ แต่ตัวเขาเองกลับได้บทเป็นนักดนตรีลูกวงของครูสินบิดาของครูศร โดยเป็นคนตีฆ้องวง และตัวประกอบในวงดนตรีของทุกวงในเรื่อง เป็นนักดนตรีไทยอาชีพทั้งนั้น
มีแต่พระเอกวัยหนุ่มและวัยชราเท่านั้น ที่ไม่เคยเล่นดนตรีไทยเลย ทั้งสองจึงต้องหัดการตีระนาดเป็นเวลาแรมเดือน พระเอกวันหนุ่มนั้นเขาว่าเรียนอย่างจริงจังถึงแปดเดือน ส่วนตัวเขาเองเป็นนักดนตรีไทยสมัครเล่น จึงต้องไปซ้อมเพลงที่จะแสดงกับอาจารย์ดนตรีไทยไม่กี่ครั้ง
เขาไปถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนี้หลายครั้ง แต่ละครั้งต้องแสดงตั้งแต่เช้าจนดึก เพราะวงดนตรีที่เข้าฉากกับพระเอกหนุ่มมือระนาดเอก ในวงของบิดาที่อัมพวาก่อนที่จะเข้ากรุงเทพนั้น ต้องบรรเลงจริงทุกครั้ง ไม่ว่าพระเอกจะแสดงบทบาทอย่างไร และต้องแสดงทุกครั้งที่พระเอกต้องถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้ง ๆ ที่วงดนตรีวงนี้มีบทอยู่น้อยนิดเดียว
ผู้เล่าได้รับบทเป็นคนตีฆ้องวง ซึ่งเป็นคู่แข่งชิงดีชิงเด่นกับคนตีระนาดเอก เมื่อพระเอกตีระนาดเก่งแล้วก็มักจะขาดการซ้อม พอถึงเวลาประชันกับวงอื่น ครูสินก็แกล้งให้คนฆ้องมาตีระนาดเอก แล้วให้พระเอกไปตีฆ้องแทน เขาต้องแสดงความภาคภูมิที่ได้แสดงฝีมือแทนพระเอก
แต่เมื่อคนตีระนาดเอกของวงที่มาประชันด้วย มีฝีมือสูงกว่าเขา ครูสินจึงต้องยอมให้พระเอกกลับมาตีระนาด แล้วตัวเขาก็กลับไปตีฆ้องตามเดิม
เมื่อพ้นฉากนั้นไปแล้วพระเอกก็เข้ามาแสดงฝีมือในกรุงเทพ และมีเรื่องต่อไปอีกยืดยาว จนผู้ดูภาพยนต์จบแล้ว แทบจะไม่มีใครจำผู้แสดงในฉากบ้านนอกได้เลย
แต่เขาก็มีความภาคภูมิใจที่ได้แสดงภาพยนต์เป็นเรื่องแรก และได้แสดงบทของดนตรีไทยที่เขาได้ร่ำเรียนมาแต่เด็ก อีกทั้งเป็นภาพยนต์ไทยเรื่องแรก ที่แสดงอานุภาพของดนตรีไทยให้เห็นเด่นชัด และมีผู้ดูชื่นชมเป็นอันมาก ภาพยนต์เรื่องนี้ได้ชุบชีวิตดนตรีไทย ให้เด่นดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนตัวเขาผู้เล่านั้นคงจะไม่มีใครจำได้สักกี่คน เพราะเขาเป็นคนฆ้องที่ชื่อตาชุ่ม ซึ่งมีความสำคัญอยู่นิดเดียว ที่ทำให้พระเอกมีมานะในการตีระนาดจนชนะคู่ต่อสู้ในการประชันครั้งแรกที่อัมพวา
และมุมกล้องก็จับแต่ลีลาการตีระนาดอย่างมีลวดลายของพระเอก โดยมีเขาประกอบอยู่ข้างหลังอย่างเลือนลางเท่านั้น
เมื่อภาพยนต์ได้จบลง และฉายชื่อผู้แสดง ตลอดจนผุ้เกี่ยวข้องในการสร้างภาพยนต์เรื่องนี้ในตอนท้าย กว่าจะถึงชื่อผู้แสดงเป็นนักดนตรีวงครูสิน คนดูก็เดินออกจากโรงไปจนเกือบจะหมดแล้ว แม้ชื่อของเขาจะเป็นชื่อแรกของกลุ่มนี้ก็ตาม
ผู้บันทึกซึ่งได้แกล้งถ่วงเวลาด้วยการเดินช้า ๆ จึงได้เห็นชื่อของเขา ผู้เล่าเรื่องทั้งหมดนี้
ในปัจจุบันเขาผู้นี้ ก็เป็นนักกวีที่มีนักเขียนและนักอ่านในถนนนักเขียน ของห้องสมุดพันทิป รู้จักกันเป็นอย่างดี เขาคือผู้ที่ใช้นามปากกา พจนารถ ๓๒๒ ไงครับ. ###########
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
9 พ.ย. 52 18:52:09
|
|
|
|