Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผู้ชายของฉัน ไม่ใช่คนที่ฝันเอาไว้ บทที่ 13  

บทที่ 13

ช่วงเริ่มต้นหนึ่งอาทิตย์หลังการลาออกของเพื่อนร่วมงานนับเป็นจุดเริ่มต้นของนรกอย่างแท้จริง เพราะคาบเกี่ยวกับที่บอสของเธอมักจะต้องเดินทางไปต่างประเทศทำให้การหาคนทำงานคนใหม่ช้าพอๆกับเต่าคลาน งานของเพื่อนก็ถูกแจกจ่ายให้คนที่เหลืออยู่พร้อมกันถ้วนหน้า ซึ่งเหตุผลที่ทางบอสไม่ค่อยกระตือรือร้นจะหาพนักงานเพิ่มคงเป็นหนีไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจกำลังอยู่ขาลง การท่องเที่ยวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงด้วยปัญหาการเมือง

แต่งานเธอไม่ได้ลดลง ยิ่งหนักมากขึ้นอีกต่างหากเพราะต้องใช้แรงกายแรงใจในการหาลูกค้ามากกว่าเดิมในขณะที่คนทำงานลดลง และทั้งที่เป็นแบบนั้น เพชรน้ำหนึ่งไม่อยากจะเชื่อว่าบอสของเธอยังจะยืนยันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้วเถียงยังไงก็ยังยืนยันด้วยคำพูดให้กำลังใจเพียงแค่ว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงแต่ไม่เกินเอื้อมดังนั้นหากเราพยายามก็จะสามารถคว้ามันมาได้

กว่าจะได้ก็ลากเลือด แล้วถ้าไม่ได้ใครต้องรับผิดชอบอีกล่ะ

ไม่ว่าแบบไหนก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่องแต่ก็ต้องทำงานกันไป อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป แต่จะไปทั้งทีต้องไปตอนที่ไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวตอนปลายปีแบบนี้อีกด้วย แกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย!

เพชรน้ำหนึ่งนั่งงึมงำในใจในขณะที่กำลังทำรายงานสรุปยอดขายของเดือน และไม่ใช่เพียงแค่เธอ ทุกคนในแผนกก็นั่งน่าสลอนราวกับมหกรรมลงแขกทำรีพอร์ทยังไงยังงั้น ไม่ใช่เพียงแค่แผนกเธอหรอก แผนกบัญชีก็ไม่น้อยหน้า กำลังนั่งทำเพลินๆก็มักจะมีโทรศัพท์ภายในจากบัญชีมายั่วโมโหเล่นๆเมื่อฝ่ายนั้นพบตัวเลขผิดปกติของในเดือนนั้นๆเพื่อจะได้ปิดบัญชีได้

“หิว! ใครมีไรกินมั่ง” เสียงตะโกนดังขึ้นทะลุความเงียบสงัดยามสามทุ่มของสำนักงาน  

“มีคอนเฟลกซ์ช็อคโกแลต จะกินไหม” อีกเสียงตะโกนตอบ

เพชรน้ำหนึ่งจึงนึกขึ้นได้ ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปที่ตู้เย็นในสำนักงาน “ฉันมีนมเปรี้ยวอยู่ในตู้เย็น เอาไปแก้หิวก่อนไหม”

“บ้าเหรอ ดื่มตอนท้องว่างได้เข้าห้องน้ำสนุกพอดี”

“เออ...ไม่ดื่มฉันดื่มเอง ธาตุแข็งพอเผื่อรองท้องไปได้” แล้วเพชรน้ำหนึ่งก็จัดการจริงๆก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานสุดรกเพราะเอกสารหลายอย่างในช่วงปิดยอดขายของเดือน รำพึงเบาๆ “คิดถึงน้องเฟิร์นแฮะ ไม่น่ารีบจบฝึกงานเร็วๆเลยจะได้มีใครไปจิ๊กของในครัวมากินมั่ง”

“ทีตอนอยู่แกก็จิกมัน” คะนึงนุชซึ่งนั่งเงียบมาตลอดได้โอกาสพูดบ้าง “ทีตอนไม่อยู่ค่อยมานึกถึง น้องมันจะดีใจไหมล่ะนั่น”

เพชรน้ำหนึ่งอ้าปากเตรียมโต้ตอบ แต่แล้วโทรศัพท์มือถือสีแดงของเธอก็สั่นเป็นเจ้าเข้าเสียก่อนค่อยตามมาด้วยเสียงเรียกเข้า

เธอไม่ได้รับสายในทันทีแต่หยิบโทรศัพท์เลี่ยงออกไปภายนอกห้องสำนักงานที่ตอนนี้แม่พวกนี้เลิกหูผึ่งกับเธอแล้ว ต่างคนต่างชินกับเสียงโทรศัพท์ของเธอเท่าๆกับที่วงกอสซิปก็คงค่อยซาไปจนเกือบเลิกกล่าวถึงเธอและคุณทายาทคนดังของโรงพยาบาลใหญ่เสียที

“ไหนว่าวันนี้มีเรียนไม่ใช่หรือคะ” เพชรน้ำหนึ่งกดรับสายทันทีที่ออกมาหามุมส่วนตัวพูดโทรศัพท์แล้ว

“เลิกเรียนแล้ว พอดีเห็นไม่ไกลที่ทำงานคุณเลยจะชวนไปหาอะไรกิน คืนนี้คุณอยู่ดึกนี่” เสียงเป็นหนึ่งดังมาตามสาย น้ำเสียงออกจะเหนื่อยอยู่บ้าง เสียงรอบข้างเขาดังอื้ออึงเหมือนว่ายังอยู่ในห้องเรียนอยู่ตามที่เขาพูดว่าเพิ่งเลิกเรียนจริงๆ

“งานฉันยังไม่เสร็จเลย คุณไปกินกับเพื่อนคุณเถอะ” หญิงสาวตอบก่อนจะรีบชิงพูดต่อเมื่อเดาอาการเงียบและเตรียมจะพูดอะไรของปลายสายได้ “ฉันกินอะไรรองท้องไปแล้ว” เอ่อ...นมเปรี้ยวนะ “ไม่หิวหรอก คุณกินข้าวไปแล้วไม่ใช่หรือ เห็นเคยบอกว่าเขามีให้นี่”

เป็นหนึ่งเงียบไปเพราะโดนหญิงสาวชิงตอบไปแล้ว

“ก็กินแล้ว แต่ว่า...”

“กินแล้วก็ดี ไว้ค่อยคุยกันนะ เดี๋ยวฉันจะทำงานต่อแล้ว” เพชรน้ำหนึ่งตัดบทจนได้ปลายสายเงียบไปอีกก่อนจะรับคำเบาๆแล้วค่อยวาง

เธอถอนใจนิดหนึ่ง อีตาหมอเงียบขรึมไปมาก ปกติเงียบจนน่าขนลุกอยู่แล้วแต่ยังมีแหย่เล่นได้บ้าง คราวนี้ยิ่งแย่แบบกู่ไม่กลับจนต้องลากออกมาข้างนอกเป็นเพื่อนทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างเธอไม่ได้เจอหน้ามันก็พอทำใจได้ แต่สำหรับเขาต้องเจอหน้าเพื่อนทุกวัน บางครั้งไพรวัลย์ก็คงไปที่โรงพยาบาลไปหาจรินทร์บ้าง และเธอมั่นใจว่านิสัยอย่างเพื่อนสาวคงจะดึงชายหนุ่มไปด้วยแน่ๆ คนเงียบคนนี้ต้องฝืนสีหน้ามากน้อยขนาดไหนนะ...

สุดท้ายการจับหมอนั่นผูกติดตัวกระเตงไปไหนมาไหนด้วยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเธอไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียว เธอเองก็มีประสบการณ์มาก่อน และรู้ว่าการอยู่คนเดียวมันทรมานกับความฟุ้งซ่านมากแค่ไหน ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ยิ่งไม่อยากคิดก็ยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่เพราะหยุดคิดไม่ได้

เพชรน้ำหนึ่งแทบจะตัวติดกับเขาในช่วงเวลาว่างของทั้งสองคน ถ้าตอนเย็นเขามีเรียนก็จะเป็นเวลาอิสระของเธอ ถ้าเธอทำงานดึกก็เป็นเวลาของเขาซึ่งจริงๆเธอไม่ค่อยยอมให้มีเวลาแบบหลัง กลัวว่าอีตาหมออยู่คนเดียวเดี๋ยวฟุ้งซ่าน ทว่าตอนนี้ก็ถือว่าเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เป็นหนึ่งก็ไม่ได้มีทีท่าชีช้ำอย่างที่เธอนึกกลัว ถึงอีตานั่นเก็บความรู้สึกเก่งแต่ความที่ใกล้กันพอประมาณ เธอก็พอจะเดาอารมณ์ภายใต้สีหน้าเฉยๆนั่นได้ มาตอนนี้งานท่วมหัวจนเธอยากจะปลีกตัวอีกต่อไป อีตานั่นคงอยู่ได้ไม่เป็นไรแล้ว

อีกอย่างนี่ก็ใกล้สามเดือนตามที่ตกลงกันไป เพชรน้ำหนึ่งอยากจะห่างจากเขาด้วย เธอไม่อยากให้เกิดความเคยชินที่ว่าจะต้องมีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างทั้งที่เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่า...กว่าอะไรล่ะ...เพื่อนงั้นหรือ เธอไม่เคยนับอีตานั่นว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่ชายอย่างนั้นหรือ...แค่เธอมีพี่ชายร่วมโลกจอมกวนประสาทคนเดียวก็พอแล้ว

เอาเถอะ! เป็นอะไรก็ตามที แต่ควรจะได้เวลาที่เธอต้องเริ่มห่างเขาไปบ้างแล้วและกลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิม หัวใจของเธอแข็งแรงขึ้นแล้ว ไม่อยากให้ความผูกพันหรืออะไรที่ให้คำจำกัดความไม่ได้มาทำให้มันอ่อนแอต่อไปอีก

เพชรน้ำหนึ่งกลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่ออีกสักพัก แต่แสงจากคอมพิวเตอร์กับการทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมงทำให้สายตาเธอล้าไปหมด ตัวเลขและกราฟแท่งและกราฟพายที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเบลอเสียจนเธอตัดสินใจหยิบถุงผ้าถักขนมิ้งค์ระยับส่วนตัวของเธอ ลุกไปห้องน้ำเพื่อถอดคอนแทคเลนส์แบบรายวันที่ใส่อยู่ออกแล้วใส่แว่นที่มีทิ้งไว้ที่สำนักงานแทน

เธอไม่ได้สายตาสั้นมาก พอมองเห็นในระยะใกล้ได้สบายๆ แต่ถ้าต้องมานั่งเพ่งจ้องคอมพิวเตอร์ทำงานตลอด ใส่แว่นหรือคอนแทกเลนส์ไว้ก็ดี มาวันนี้คอนแทกเลนส์เอาไม่อยู่แล้ว ต้องมาใส่แว่นก็ช่วยกันแสงรังสีต่างๆ เธอมองหน้าตัวเองผ่านกระจก ผู้หญิงผมดำยาวรวบด้วยยางรัดหลวมๆในชุดสูทของโรงแรมกับแว่นตากรอบบาง ดูแล้วป้าดีจริงๆ แต่จะเป็นไรไป ดึกขนาดนี้จะเอาตัวเองไปอวดโฉมให้ใครเห็นกัน

“หนึ่ง หวานใจตัวโทรมาแน่ะ”

เสียงตะโกนบอกมาจากอีกฟากหนึ่งเมื่อเพชรน้ำหนึ่งเดินเข้ามา หลังจากที่ได้ยินที่หญิงสาวบอกว่าเป็นเพื่อนมาได้ระยะหนึ่ง ทุกคนก็ลงความเห็นกันเรียบร้อยว่าเกินกว่าเพื่อนแน่นอนจนเพชรน้ำหนึ่งเลยตามเลย หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “อือ...ขอบใจ โทรมานานยัง”

“เพิ่งเงียบก่อนตัวเข้ามานิดเดียวเอง”

เพชรน้ำหนึ่งจึงโทรกลับไป

“ผมอยู่ตรงล้อบบี้โรงแรมคุณ ช่วยลงมาหาได้ไหม”

“หือ!” เกือบจะพูดต่อแล้วว่ามาทำไม แต่ไม่ได้ เดี๋ยวไปสะกิดต่อมอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“คุณลงมาได้ไหม” ชายหนุ่มยังยืนยันคำตอบเดิมจนเพชรน้ำหนึ่งอ่อนใจ นับวันอีตานี่ยิ่งเอาแต่ใจตัวเองแฮะ แต่ก็ไม่แน่ ไม่รู้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า

“ค่ะ” เธอตอบเรียบๆวางสายจากนั้นก็มองหน้าจอคอมพิวเตอร์กวาดสายตาเล็งว่ายังเหลือจุดไหนที่ต้องเพิ่มเติมอีก จากนั้นก็เดินออกจากตัวออฟฟิศอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ได้บอกใคร ต่างคนต่างก็ทำงานของตัวเองต่อไปเงียบๆ โดยไม่ได้สนใจใครอีกระหว่างทางที่เดินไปเธอก็คิดไปด้วยว่าจะเขียนรายงานอย่างไรต่อไปดี

ล็อบบี้ของโรงแรมในวันนี้ค่อนข้างโล่ง เพชรน้ำหนึ่งเดินลงมาชั้นล่างแล้วกวาดตามองหาร่างสูงในชุดขาวแบบที่คุ้นเคย และก็ไม่ผิดหวัง มีคนบ้าอยู่คนเดียวที่ใส่เสื้อเชิ้ตขาวกางเกงขาว เขากำลังนั่งอยู่โซฟาบุกำมะหยี่เดินลายทองตากวาดมองหนังสือในมือซึ่งคงจะเป็นหนังสือเรียนของเขา หากมีเวลาก็คงจะมองเพลินอยู่หรอก เวลาอีตานี่อยู่ในแสงนวลตา เสี้ยวหน้าคมคายนั่นดูคมสันยิ่งขึ้นเมื่อก้มหน้าตาทอดมองหนังสือผสมผสานกับท่าทางและบุคลิกของเจ้าตัวทำให้หญิงสาวทั้งไทยทั้งเทศก็สะดุดตามองเขาอยู่หลายคน

จู่ๆเพชรน้ำหนึ่งก็รู้สึกหงุดหงิดแบบไม่ทราบสาเหตุ

“มีอะไรล่ะคุณ งานยุ่งจะแย่ยังจะเรียกให้ลงมาอีก” เพชรน้ำหนึ่งทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ตรงข้ามเขาหน้ามุ่ย พอเป็นหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียง เขาก็ชะงักไปนิดเมื่อเห็นเธอถนัดตา

“คุณใส่แว่นด้วยหรือ”

“แว่น...” หญิงสาวเบิกตากว้าง “อ๋อ...ฉันใส่ก่อนที่คุณจะโทรมาแป๊บเดียวเอง ลืมถอด”

ปกติเธอมักจะทำอะไรเฉิ่มๆให้เขาเห็นอยู่บ่อยๆแล้วอีตานี่ก็ไม่ใช่ทาร์เก็ตของเธอด้วยเลยไม่เห็นความจำเป็นต้องแต่งตัวสวย แต่อาการจ้องไม่วางตาของอีกฝ่ายทำให้กระสับการส่ายขึ้นมาเลยต้องแกล้งดึงแว่นออกดึงเสื้อมาเช็ดเลนส์แก้เขิน พอใส่ใหม่ก็ยังเห็นอีกฝ่ายมองอยู่ไม่เลิกจนต้องแหวกลับไปเบาๆ

“มองอะไร อย่าบอกนะว่าเรียกฉันลงมาแค่มองอย่างเดียว”

เป็นหนึ่งยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมอย่างน่าหมั่นไส้ เล่นเอาร่างบางเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย (ขอถอนคำพูดที่ว่าอีตานี่ขรึม ไม่จริ๊งไม่จริง ที่ผ่านมาตาฝาดแน่ๆ!) แต่พอได้ยินคำพูดของเขานี่สิ

“วันเสาร์นี้ผมไม่มีเรียน ไปตีแบตกันนะ”

เพชรน้ำหนึ่งมองขมวดคิ้ว “ไม่รู้เหมือนกัน ฉันอยากนอน”

“งั้นไว้ผมจะโทรมาอีกที ผมกลับล่ะ”

“หา...” อีตานี่บ้าหรือเปล่ามาเพื่อชวนไปตีแบตแล้วกลับเนี่ยนะ

“ก็คุณงานเยอะ ผมไม่อยากกวน”

ถ้าไม่อยากกวนนายจะเรียกฉันลงมาทำเผือกอะไร! ที่โทรมาเมื่อกี้คุยกันก็จบ

เพชรน้ำหนึ่งค้อนตาแทบถลนออกนอกกรอบแว่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว่าเดิมแล้วเดินเหมือนจะผิวปากอย่างอารมณ์ดีจูงมือเธอกลับไปที่ลิฟท์ตรงล็อบบี้ ร่างเล็กมัวแต่พยายามอดกลั้นไม่ให้กรีดร้องเสียงแหลมใส่หูของอีกฝ่าย พอโดนลากมาถึงตรงนี้เพชรน้ำหนึ่งกำจัดลมที่เตรียมจะออกหูไปได้แล้วก็ขมวดคิ้ว

“พาฉันมานี่ทำไม”

“อ้าว...ก็มาส่งคุณขึ้นไปทำงาน” เป็นหนึ่งตอบอย่างแปลกใจ เพชรน้ำหนึ่งเลยทำหน้าเหม็นเบื่อพยายามที่จะไม่ขย้ำคออีตาโรคจิตนี่ให้สมกับความหมั่นไส้ที่มีเกินร้อยอยู่ในขณะนี้อย่างเต็มที่

“เขาไม่ให้พนักงานใช้ลิฟท์แขก คุณเห็นกำแพงตรงนั้นที่มีขีดๆได้หรือเปล่า” เพชรน้ำหนึ่งชี้ไปอีกด้านของกำแพงผนังที่หากไม่สังเกตก็คิดว่าเป็นกำแพงธรรมดา “นั่นแหละประตูที่เข้าไปด้านใน พวกพนักงานเวลาเขาจะทำงานอะไรเขาจะใช้ทางเดินข้างในนั้นกัน ฉันก็ออกมาจากตรงนั้น จะใช้ของแขกในโรงแรมก็ตอนที่พาเขาดูโรงแรมเท่านั้น”

แล้วเพชรน้ำหนึ่งก็ทำท่าจะเดินไปแต่นึกขึ้นได้ว่าอีตาหมอยังจับมือเธอไว้อยู่ก็เลยดึงออกเดินนำไปยัง ‘ประตู’ ที่ว่านั่นซึ่งเป็นหนึ่งก็เดินตามไปแต่พอเพชรน้ำหนึ่งจะหันมาลาก็จัดการยัดเยียดห่อที่อยู่ในมือแต่เธอไม่ได้สังเกตเพราะมือเขาบังอยู่ให้กับเธอ หญิงสาวรับมาแบบงงๆ

“ผมไปล่ะ”

แล้วร่างสูงนั่นก็เดินก้าวฉับๆจากไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนเมื่อตอนที่มา เพชรน้ำหนึ่งมองห่อที่ว่าก็คือถุงพลาสติกแปะยี่ห้อโรงแรมที่เธอทำงานอยู่นี่เอง ข้างในเป็นพวกขนมปังหลายแบบหลายชิ้นขนาดว่าคงกินกันได้สักสามสี่คน แล้วเธอก็มองตามเขาไปอีกครั้งแบบประหลาดใจ

“สรุปแล้วอีตานี่มาทำอะไรของเขากันล่ะเนี่ย”

จากคุณ : peiNing
เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 10:41:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com