Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
......ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑๐.....  

ณ ที่ซึ่งหัวใจอุ่นไอรัก บทที่ ๑ - ๙

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=07-2009&date=17&group=16&gblog=1
.....................................................................................................................................................




                                                     บทที่ 10



               แน่นอนว่าในเวลานี้ สูทอ่อนของปรมัตถ์ ไม่ได้ช่วยป้องกันลมฝนหรือร้อนหนาวอันใดให้กับตัวเขาได้อีกแล้ว หนำซ้ำประโยชน์ของมัน ที่หวังจะให้พรสวรรค์ได้รับ ยังถูกกองทิ้งไว้อยู่ตรงที่เดิม ที่หอศิลป์นั่นเสียอีกด้วย

เท่านั้นยังไม่พอ

หลังจากที่ตัดสินใจละวางเรื่องของพรสวรรค์เอาไว้ก่อน แล้วตั้งใจว่าจะตามล่าข่าวของวารินทร์จากปากของภาสกรต่อไป เขารีบบึ่งรถกลับมาที่ร้านอุ่นไอรักทันที โดยไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่จะได้พบเจอในข้างหน้านั้น จะทำให้ทรมานสักเพียงไร

สายฝนนั้นซาสายแล้วขาดเม็ด ม่านเมฆคลี่คลายไปมากแล้ว แดดบ่ายเพิ่งกลับมาส่องแสงผ่านหมู่เมฆ จนแลคล้ายเพิ่งย่างเข้าสู่ยามเช้า ยวดยานที่แออัดเริ่มลับหาย เมื่อปรมัตถ์หักเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายเก่าอันคุ้นเคย

ถนนโล่งจนสุดตา ทำให้เขายิ่งเร่งเครื่องเต็มที่ หักเลี้ยวอีกครั้งเพื่อลุยเข้าไปในซอยอุ่นไอรัก ไม่สนใจว่าน้ำเขรอะโคลนที่ยังเจิ่งถนนอยู่นั้น จะกระเซ็นสาดไปทิศทางใด แน่ละที่เนื้อตัวอันเปียกปอนจะยิ่งเปื้อนเปรอะ กระทั่งรถยุโรปคันใหญ่ที่จอดจ่ออยู่ปากซอย ก็ยังถูกลูกหลง

ทางคนเดินในซอยแคบ ยิ่งลื่นเพราะบัดนี้ถูกฉาบด้วยคราบโคลนเลอะเทอะ ทั้งหมดกระเด็นกระทบกำแพง แล้วดีดกลับได้ยิ่งกว่าเร็ว จนทั้งเนื้อตัวหัวหูของปรมัตถ์เหมือนถูกสาดด้วยน้ำครำ

เขาต้องรีบชะลอรถ เพราะบางส่วนกระเซ็นเข้าตา ความชำนาญในการกะระยะทำให้หยุดรถพอดีกับหน้าร้าน พร้อมกับที่น้ำโคลนจากเรือนผม เริ่มไหลลงมาที่ใบหน้า ระหว่างที่ปาดมันทิ้ง ก็เห็นราวกับว่า มีภาพลวงตามาปรากฏ

รอยยิ้มละมุนระคนเขินอายของพรสวรรค์ เป็นรอยยิ้มที่น่ามองที่สุดเท่าที่เคยเห็น หรือเธอจะยิ้มให้กับเขา...

ปรมัตถ์รีบขยี้ตา

แล้วก็เห็นชัด

แค่ปลายหางตาของพรสวรรค์ตอนนี้ ก็ไม่ได้แม้แต่จะชำเลืองแล เธอกำลังยิ้มให้ใครอีกคนที่ยืนหันหลังให้กับเขา ใครคนนั้นที่มองจากข้างหลังยังคุ้นตา ตัวสูงไหล่กว้าง และผมสีอ่อนทรงเนี้ยบ...

ไม่อยากจะเชื่อ!

ธุระเรื่องของวารินทร์หลุดลอยออกไปจากหัวใจ ปรมัตถ์ปรี่เข้าไปหมายจะกระชากเขาคนนั้นให้หันมา น้ำหน้าอย่างนั้น ไม่คู่ควรสักนิดที่จะได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นไม่ว่าจะจากใคร

แต่ใครคนนั้นเบี่ยงตัวหลบได้ราวกับมีตาติดอยู่ที่หลัง และพื้นที่ลื่นก็ทำให้ปรมัตถ์เสียหลักไปข้างหน้า ทั้งพรสวรรค์และอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ต่างรีบถอยห่าง

“ไงละเอ็ง  นี่ละนะ โทษฐานของการไม่ใส่หมวกกันน็อก”

หนึ่งในสามคนที่ถอยหลบ ส่งเสียงเย้ยซ้ำ เพราะสภาพของปรมัตถ์ในตอนนี้ดูไม่ได้เลยสักนิด แต่พอตั้งหลักได้ ปรมัตถ์ก็สวนคำถามกลับทันที

“มันเกี่ยวอะไรกับหมวกกันน็อกล่ะไอ้ภาส”

“ก็หน้าหล่อๆ ของเอ็งถึงมอมยังกะหมาหยั่งงี้ไงล่ะเว้ย”

แล้วภาสกรก็ใส่เสียงหัวเราะร่วนตามมาอีกเป็นนาน นานจนปรมัตถ์อยากจะถลาขึ้นไปถีบเสียก่อนจะหันมาจัดการกับไอ้หนุ่มใส่สูท

“พี่ปอ”

แต่เสียงเรียกของรัชพล ทำให้ปรมัตถ์ชะงัก

“พล...”

คำรับเป็นคำถาม แค่คำเดียวก็กินความหมายมากมายจนรัชพลไม่รู้จะสานต่อบทสนทนาอย่างไรเหมือนกัน

“ขึ้นไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนไหมคะคุณปอ”

อีกเสียงแทรกเข้ามาบ้าง คราวนี้เป็นเสียงของนภา ซึ่งกำลังทำมือไม้ให้เขาเดินอ้อมร้านไปล้างตัวตรงลานหลังครัวเสียก่อน

“พี่บอกแล้วว่าถ้าไม่จำเป็น...”

ปรมัตถ์ไม่ได้ฟังเสียงนภาด้วยซ้ำ ตอนเอ่ยคำนี้

“แล้วพี่ปอคิดว่า ที่มาถึงนี่มันจำเป็นไหมล่ะครับ”

“ไอ้...”



หลังจากมารดาของปรมัตถ์เสียชีวิต นายธนวัฒน์พ่อของเขาก็แต่งงานใหม่กับคุณวิชชุลดา ทำให้ปรมัตถ์ได้น้องชายน้องสาวพ่อเดียวกันอีกสองคน คนหนึ่งคือรัชพล กับอีกคนคือน้องสาวคนเล็กที่ชื่อรชาตา

เพราะคุณสุรางค์แม่ของปรมัตถ์ตายไปตั้งแต่เขายังแบเบาะ และพ่อก็รีบแต่งงานด้วยหวังจะให้ภรรยาคนใหม่ช่วยเหลือเลี้ยงดูลูกชายคนโต ทำให้เขากับรัชพลอายุห่างกันแค่ปีเศษ วงศ์ญาติเข้าใจได้ดี ว่าทำไมคุณวิชชุลดาปล่อยให้ตัวเองมีลูกขึ้นมาอีกคน แล้วก็เลี้ยงให้เติบโตขึ้นมาพร้อมกัน แต่ญาติวงศ์ส่วนใหญ่ก็หาเรื่องคิดอะไรในทางอกุศลไปไม่ได้มากกว่านั้น เพราะคุณวิชชุลดาฟูมฟักทะนุถนอม เด็กชายทั้งสองไม่ต่างกัน

และก็จนอีกร่วมหกปี กว่าที่คุณวิชชุลดาจะยอมมีลูกสาวให้กับครอบครัวอีกคน ด้วยเหตุผลที่ว่า ตั้งใจจะเลี้ยงลูกชายของคุณธนวัฒน์ทั้งสองคนให้ดีที่สุดเสียก่อน

หากใครไม่รู้ประวัติของปรมัตถ์ ก็จะคิดไปว่าเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกที่แสนจะอบอุ่น เพราะคุณวิชชุลดาไม่ได้มีวี่แววของความเป็นแม่เลี้ยงเลยสักนิด นอกจากการบอกให้ปรมัตถ์รู้ว่า มารดาที่แท้จริงของเขาชื่อคุณสุรางค์ และกับการที่คุณวิชชุลดายังดูสาวเสียจนแลเหมือนเป็นพี่สาวคนโต

เรื่องการเล่าถึงแม่ที่แท้จริงของปรมัตถ์และการสอนให้เขาเรียกตนว่า “น้า” นั่น ไม่มีใครรู้ว่าเพราะคุณวิชชุลดาคิดเอาไว้อย่างไร มีเพียงปรมัตถ์คนเดียวเท่านั้นที่อึดอัดกว่าใคร เพราะความรักเต็มปรี่ของคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนั้นเป็นแค่แม่เลี้ยง ไม่ใช่มารดาผู้บังเกิดเกล้า ความรักที่เต็มจนน่าจะล้นนั้น จึงพร่องอยู่เสมอในหัวใจของเขา

เมื่อคุณธนวัฒน์เสียชีวิตลงกะทันหัน ตอนช่วงที่เขากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ปรมัตถ์จึงไม่รีรอเลยที่จะขอแยกตัวออกมาอยู่ต่างหาก เพื่อทบทวนถึงอะไรบางอย่าง ที่เขารู้สึกว่ามันขาดหายไปจากชีวิต

การออกมาอยู่คนเดียวนั้น แม้คุณวิชชุลดาจะไม่ได้เหนี่ยวรั้ง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาเหลิงจนลอย สิ่งที่จำเป็นกับชีวิตความเป็นอยู่ เธอพร้อมจะจัดหาให้ตามใจปรมัตถ์อย่างพร้อมสรรพ แต่เป็นเขาเองต่างหาก ที่เลือกเพียงเฉพาะที่จำเป็นกับรสนิยม

ในส่วนของสามพี่น้องคือ ปรมัตถ์ รัชพล และรชาตา ทุกคนล้วนสนิทสนมกันดี ไม่เคยมีเรื่องคับข้องหมองใจอันใดต่อกัน เพียงแต่ว่ารัชพลเป็นคนมุ่งมั่นเกินไป และรชาตาติดจะเป็นคุณหนูคนเล็ก เลยทำให้ปรมัตถ์ออกจะรำคาญๆ เสียมากกว่า กับทั้งความพยายามจะเป็นผู้นำในทุกอย่างของรัชพล และการแสวงหาชีวิตวัยรุ่นสมบูรณ์แบบของรชาตา

เมื่อปรมัตถ์ก้าวออกมาจากบ้าน สิ่งเดียวที่เขาขอไว้ก็คือ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ต้องพบกันให้เสียเวลา โดยเขาไม่ได้ถามตัวเองหรอกว่า ที่เดินออกมานั่น เพราะน้อยใจที่คุณวิชชุลดาไม่ยอมให้เขาเรียกว่า “แม่” หรือเปล่า

“คุณแม่อยากให้พี่ปอไปพบ เพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษา”

รัชพลเพิ่งจะทำน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน หลังจากพรสวรรค์เดินเมินหนีไปจากตรงบันไดทางเข้าร้าน

“นี่ละครับที่จำเป็น มีหลายเรื่องที่จำเป็นต้องคุยกัน”

“แค่นี้ใช่ไหม  นัดวันมาแล้วกัน ตอนนี้นายกลับไปได้แล้ว”

“ยังไม่ได้ครับ ผมหมดหน้าที่หมดธุระของผมกับพี่แล้ว แต่ต้องจัดการเรื่องอื่นต่อ”

ลมแม่น้ำพัดลิ่วมาตามทางลม เสื้อผ้าที่เปียกปอนของปรมัตถ์ทำให้รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจสั่นไหวได้มากกว่าก็คือคำพูดถัดมาของน้องชาย

“ผมสนใจผู้หญิงคนนั้น”

แล้วก็เหมือนมีใครเอาไฟมาจี้เข้ากลางใจ อาการของปรมัตถ์จึงแลดูเหมือนคนเป็นไข้ร้อนสลับหนาว เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนจ้องหน้าน้องชายอย่างฉงนสนเท่ห์ เพราะเดาไม่ถูกว่ารัชพลกับพรสวรรค์ไปมีโอกาสทำความรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร

“ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนดีว่านะคะคุณปอ ดูสิ...ปากคอสั่นไปหมดแล้ว”

คราวนี้นภากลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่ เธอเร่งเขาอีกครั้ง พร้อมกับเดินลงมาถึงตัว

แต่ปรมัตถ์ยังยืนนิ่ง เพราะรัชพลยังไม่มีท่าจะขยับหรือจะกลับไปทางไหน

“แล้วนายจะมายืนอยู่ทำไม”

ในที่สุดปรมัตถ์ก็ต้องถาม

“คือ ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง”

“หน้าอย่างนายนี่นะ ไม่รู้จะเริ่มต้นจีบผู้หญิงยังไง”

“ผมเริ่มต้นไปแล้วพี่ปอ แต่ไม่รู้จะสานต่อยังไงน่ะสิ”

“งั้นก็รีบๆ กลับไปซะ”

ปรมัตถ์เลยไล่เอาดื้อๆ จนนภาต้องแปลกใจกับปฏิกิริยาประหลาดๆ ของพี่น้องคู่นี้ เพราะพอคนพี่พูดดังนั้น คนน้องกลับทำตามแต่โดยดี ทั้งที่... ในใจของทั้งคู่ตอนนี้ น่าจะมีอะไรที่ถูกใจอยู่ตรงกัน



พรสวรรค์เกือบจะปลื้มใจกับลีลาการเอาใจใส่ของรัชพลอยู่แล้ว หากปรมัตถ์ไม่ได้ทำท่าเหมือนจะรีบมาสารภาพความผิด พอสองคนพี่น้องมายืนอยู่ตรงนั้น เธอถึงเพิ่งเอะใจ กับนิสัยที่ชอบเอาแต่ใจของคนทั้งคู่ ที่เหมือนกันไม่มีผิด

ปรมัตถ์ทิ้งเธอให้อยู่คนเดียว จะไปไหนก็ไม่บอกไม่กล่าว ราวกับว่าในโลกนี้มีเพียงกิจธุระของเขาเท่านั้นที่สำคัญ

ขณะที่ รัชพล ผู้ที่ตะกี้เธอแน่ใจแล้วว่าเป็นน้องชายของปรมัตถ์แน่นอน ก็แอบสะกดรอยตามมาจนถึงที่นี่ ตอนที่คนขับแท็กซี่บอกว่าเหมือนจะมีรถขับตาม เธอยังมองหา พอเห็นว่ารถนั่นเลี้ยวหลีกไปในแยกหนึ่ง ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก แล้วดูสิ ในที่สุดก็ตามมาจนได้

เหตุผลของรัชพลก็หวานจนเลี่ยน เขาบอกว่าอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากให้ลำบากตอนหาทางเอาเสื้อไปส่งคืน

แต่ทั้งหมดที่ทั้งสองพี่น้องทำลงไป ก็เรียกได้ว่าเอาแต่ใจตัวเองนั่นละ

“พี่ว่ามันแปลกๆ นะคะคุณแจ๋ม คุณรัชพลอะไรนั่น ท่าทางไม่น่าไว้ใจ คนอะไร เจอกันครั้งแรกก็ตามมาถึงที่”

นภาเอ่ยขึ้นหลังจากวางถ้วยชาร้อนไว้บนตั่งตัวเตี้ย

กับนภา พรสวรรค์ก็ยังไม่หายเคืองเรื่องเมื่อเช้า เลยแกล้งประชดไปว่า

“น้ำตั้งสติอีกหรือเปล่าคะพี่ภา”

ทำให้นภาได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับมาให้แทนคำตอบ เพราะในใจก็รู้ว่าตัวเองผิดอยู่เต็มประตู แล้วยิ่งรูปการณ์กลับตาลปัตรออกมาเป็นเช่นนี้ แทนที่จะสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้น กลับเหมือนจะจงเกลียดจงชังกันยิ่งกว่าเดิม เธอเลยไม่รู้จะแก้ตัวว่าอย่างไร

อยากจะถามพรสวรรค์เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเช้า แต่บรรยากาศในตอนนี้ไม่น่าเลยสักนิด ที่จะคิดกระพืออารมณ์ร้อน

“อันนี้ชาร้อนแก้หวัดค่ะ ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล แล้วก็ใส่ใบมิ้นท์ลงไปสองสามใบ”

พรสวรรค์ชำเลืองมองชาที่ว่านิดหนึ่ง สีสันไม่ได้ผิดประหลาดอะไร เพียงแต่มีใบมิ้นท์หรือใบสะระแหน่ลอยหน้าอยู่ กับมีกลิ่นหอมๆ เย็นๆ ชวนชื่นใจ

“อันนี้ค่อยๆ จิบๆ เรื่อยๆ ก็ได้ค่ะ จะช่วยให้โล่งคอโล่งจมูก ป้องกันหวัดได้ผลดีเหมือนกัน”

“พี่ภาน่าจะตั้งชื่อว่าน้ำสำนึกผิด”

พรสวรรค์ยังไม่ยอมคลายจากอารมณ์เคืองๆ ไปได้ง่ายๆ

“พี่ขอโทษจริงๆ นะคะคุณแจ๋ม ที่จริงคุณปรมัตถ์เขาก็เป็นคนดี พี่ไม่คิดว่ามันจะลงเอยกันแบบนี้”

“พี่ภาไม่ได้เป็นแจ๋ม พี่จะไม่รู้เลย ว่านี่มันทำให้แจ๋มรู้สึกแย่ขนาดไหน”

พรสวรรค์ถอนใจอีกยืดยาว ก่อนจะเอ่ยต่อไป

“แจ๋มพูดจริงๆ นะคะพี่ภา แจ๋มกลัวค่ะ กลัวความเจ็บปวด แจ๋มยังไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาอีก ยิ่งพวกศิลปินกินๆ นอนๆ พวกนี้ แจ๋ม่ยิ่งเข็ด”

“ถ้าอย่างนั้น คุณรัชพลอะไรนั่นล่ะคะ แสดงว่าคุณแจ๋ม...”

นภาจ้องจับน้ำคำอย่างละเอียดยิบอยู่แล้ว จึงได้ถามตามออกมา

“ไม่ใช่เรื่องตลกนะคะพี่ภา”

“แต่พี่หวังดี อายุน้องแจ๋มเพิ่งแค่นี้ จะมานั่งอมทุกข์อมโศก ปิดล็อกหัวใจตัวเองอยู่อย่างนี้ ให้มันได้อะไรขึ้นมา”

“แจ๋มก็มีความสุขดีอยู่แล้วนี่คะ แค่คิดเรื่องกู้สถานการณ์ร้านนี้ ก็ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นแล้วละค่ะ”

เรื่องร้านอาหารเทิร์นนิ่งพ้อยน์ ที่เธอเองเปลี่ยนชื่อมาจาก อุ่นไอรัก ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันขนานใหญ่ ตั้งแต่บรรยากาศจนถึงเมนูอาหาร มีการจัดทำคูปองและโปรโมชั่นต่างๆ จนวันนี้ร้านเริ่มเป็นที่รู้จักและพูดถึงในหมู่นักท่องเที่ยวแถบนั้น แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่แวะเวียนกลับมาอีก แต่มีหลายคนที่หันมาฝากท้องไว้กับรสชาติและบรรยากาศของร้าน

นภาเห็นว่าพูดถึงเรื่องพี่น้องสองหนุ่มนั่นต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงเปลี่ยนหัวเรื่องตามพรสวรรค์บ้าง

“พูดถึงเรื่องร้าน เราซื้อขายเงินสด ได้เงินเป็นรายวัน แถมยังเป็นเงินหมุน ทำเลร้านเราก็ไม่ใช่ว่าจะดีนัก  ถึงแม้ว่าร่วมเดือนที่คุณแจ๋มเข้ามาดูแล ทุกสิ่งอย่างจะดูดีขึ้นทันตาทันใจ แต่นี่ก็ปลายเดือนแล้ว รายจ่ายประจำก้อนใหญ่ๆ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเครดิตเครื่องดื่ม กับยอดหนี้ยอดบิลที่เราผัดผ่อนอีกล่ะคะ”

พอพูดถึงเรื่องภาระของร้าน สองสาวก็มีอันต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกัน เพราะต่างคนต่างรู้ปัญหาของร้านอยู่แก่ใจ แต่ก็พยายามทำใจไม่ให้วิตกกับมันมากจนเกินไป จนเวลาใกล้เข้ามาทุกทีอย่างที่นภาว่า แล้วปัญหาที่นภาว่ามานี้ก็ยังไม่ได้มีทางแก้ไข

“แจ๋มอาจจะเอาร้านนี้ไปจำนอง จะลองโทรไปถามเพื่อนๆ ที่โน่น ว่าจะมีใครพอช่วยเหลือได้บ้าง”

พรสวรรค์พูดออกมาเพื่อให้นภาสบายใจมากกว่าคิดอยากจะทำอย่างนั้นจริงจัง ซึ่งนภาก็พอจะอ่านน้ำเสียงนั้นออก

“หรือเราจะลองพูดกับคุณปร...”

“ไม่มีทาง ไม่มีทางที่แจ๋มจะขอความช่วยเหลือจากนายนั่น”

พรสวรรค์ตัดบททันควัน ในนาทีนี้เธอคิดว่ายอมบากหน้าไปพูดกับเพื่อนยังดีเสียกว่า จะต้องมาเสวนากับนายนี่

เธอคว้าน้ำชาขึ้นดื่ม ความอุ่นอันพอเหมาะ ทำให้ดื่มได้จนหมดแก้วในรวดเดียว ก็ทำให้ในตัวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ กลิ่นมิ้นท์ที่อวลขึ้นจมูกช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นอีกมาก อดไม่ได้ที่จะต้องเตือนตัวเอง

“จะต้องใจเย็นๆ จะต้องหัดใจเย็นให้ได้มากกว่านี้”



ปรมัตถ์พยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุไรความคิดถึงวารินทร์จึงสูญหายไปได้ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของพรสวรรค์ และรู้สึกหวงแหนรอยยิ้มอันนั้น ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มอบให้กับเขา

ตอนภาสกรเอาชุดมาให้เปลี่ยน แล้วแซวว่าเขาหึงหวงพรสวรรค์ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกร้อนวูบวาบในหัวใจ แถมเมื่ออยู่กับภาสกรตามลำพังอีกครั้ง ก็ไม่ได้ใส่ใจจะถามข่าวคราวเรื่องวารินทร์อีกแล้ว

“ไอ้พลมันมาตอนไหน”

ภาสกรยิ้มกว้างทั้งที่ยังแกล้งตีสีหน้าประหลาดใจ เพราะรู้ใจเพื่อนดีว่าอยากจะถามถึงพรสวรรค์มากกว่า

“ก็พอคุณแจ๋มเข้ามาสักพัก น้องชายเอ็งก็ตามเข้ามา เห็นว่าจะตามมาเอาสูทคืนอะไรนี่ละ”

“แล้วเขาไปเจอกันได้ยังไง”

“จะไปรู้เรอะ ขนาดเอ็งไปกะคุณแจ๋มตั้งแต่เช้ายังไม่รู้ แล้วกูจะรู้ไหมครับ”

“แล้วพลมันตามมานี่ได้ไง”

“ไอ้คุณปอขอรับ น้ำโคลนมันไหลเข้าหูเรอะ ถึงเกิดหูอื้อปัญญาอ่อนขึ้นมาตอนนี้ กูจะรู้ไหมครับว่า น้องคุณกับคุณแจ๋มเค้าอะไรยังไงกัน โน่น... อยากรู้นักก็ไปถามเขาเอาเองสิครับ อ้อ... ล้างหูไว้ให้ดีๆ ด้วย ได้ข่าวว่าเอ็งทิ้งเค้าไว้นี่นะ”

พร้อมประโยคสุดท้าย ภาสกรก็ยักคิ้วล้อเลียนเพื่อนอีกครั้ง ดีว่าปรมัตถ์เพิ่งจะเริ่มสอดเท้าเข้าไปในขากางเกง ไม่เช่นนั้นหลังเท้าของเขาอาจจะไปแปะอยู่ตรงกกหูของคนปากดีก็เป็นได้

“ก็เพราะเอ็งนั่นแหละ มายุ่งอะไรด้วยกับเรื่องวารินทร์ นี่ถ้าพี่ที่หอศิลป์ไม่บอก ก็คงยังไม่รู้ว่าเขาตามหาข้าให้ควั่ก”

“เขาตามหาส่วนไหนของเอ็งล่ะ เงินหรือว่าไอ้นั่น”

“ไอ้ภาส อย่าพูดอย่างนี้”

“เออ... ไม่พูดก็ได้วะ แต่อยากจะเตือนอีกครั้ง ว่าอย่ากลับไปตรงนั้นอีก”

ใจจริงภาสกรไม่ได้อยากจะหยุดหรอก แต่เพราะอดีตนักเทควันโดหลายเหรียญทองสวมกางเกงเรียบร้อยแล้ว เขาจึงไม่อยากเสี่ยง

“ยังไงก็แล้วแต่ ข้าว่าเอ็งควรจะไปขอโทษคุณแจ๋มเค้านิดนึง”

“เรื่องอะไร”

“อ๊ะ... ไอ้เวร  ก็เรื่องที่เอ็งทิ้งเค้าไว้ไงล่ะ”

“ไอ้ภาส แค่ไม่กี่นาทีเองนะ แล้วข้าก็รีบซิ่งกลับไป บิดปาดหน้าชาวบ้านไปจนรถจะชนกันตาย พอไปถึงก็ไม่เห็น...”

ปรมัตถ์พยายามหาข้อแก้ตัว เขาไม่อยากจะยอมรับว่า เพราะข่าวของวารินทร์ทำให้ลืมอะไรอื่นได้ทั้งหมด และก็คิดว่าตอนที่ลงทุนขี่รถกลับไปหานั่น ต้องตากฝนไปอย่างนั้น ก็เป็นเหมือนการถูกลงโทษที่สาสมอยู่แล้ว

“มันผิดตั้งแต่เอ็งทิ้งเค้าไว้ โดยไม่บอกไม่กล่าว”

ภาสกรพยายามให้สติเพื่อน

“จะให้ข้าไปบอกเค้างั้นหรือ ว่าจะรีบไปตามหาแฟนเก่า”

“ถ้าเอ็งโง่ถึงขนาดจะไปบอกเค้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ละวะ... เห็นฤทธิ์หวานใจของเอ็งหรือยังล่ะ นี่ขนาดได้ยินแค่ชื่อ ยังทำเอาเอ็งโง่ได้ขนาดนั้น”

ภาสกรอดไม่ได้ที่จะแขวะแฟนเก่าของปรมัตถ์อีกครั้ง เพราะได้จังหวะตอนที่ปรมัตถ์กำลังมุดอยู่ในเสื้อกล้ามที่เขากำลังสวมพอดี

เหมือนจะได้ยินไม่ถนัด ปรมัตถ์จึงไม่ได้ขัดคำ เสื้อกล้ามสีขาวมอๆ เกือบจะตัวเล็กเกินไปสำหรับเขา แต่มันก็เน้นให้เห็นรูปร่างแข็งแกร่งชัดเจนขึ้น ภาสกรทำสีหน้าประหลาด ตอนออกปากวิจารณ์

“นี่ถ้าไม่รู้จักเอ็งมาก่อน ไม่รู้ว่าเอ็งคลั่งไคล้วารินทร์ขนาดไหน ข้าต้องคิดว่าเอ็งเป็นพวกอนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกันแน่ๆ รูปร่างขนาดนี้นะ แล้วแบบ... แต่งตัวอย่างนี้นะ หาเจ้าของร้านเพชรรวยๆ สักคนเกาะได้สบาย”

“กูรวยอยู่แล้วครับไอ้คุณภาส”

พร้อมคำตอบนี้ ปรมัตถ์ก็ง้างเท้าจนภาสกรต้องกระโดดหลบ

“พูดก็พูดเถอะ ไหนๆ วันนี้ข้าก็คงไม่แคล้วจะโดนตีนเอ็งแน่ๆ รูปร่างหน้าตาเอ็งก็ขนาดนี้ รวยก็แทบจะล้นฟ้า จะมาดักดานอยู่กะไอ้ที่มันแล้วไปแล้วทำไมวะ”

“ก็กูรัก...”

“มีงรักหรือว่าหลงกันแน่!”

“รัก...”

ปรมัตถ์ยืนยัน จนภาสกรต้องทำหน้าเมื่อยใส่ แล้วเปลี่ยนคำถามใหม่

“งั้น... เอ็งรักอะไร รักตรงไหน  ไม่ต้องตอบหรอกวะเพื่อน ข้าไม่อยากให้เอ็งพูดอะไรที่ทำให้ไอ้ความเป็นแมนของเอ็งมันลดน้อยลง คนอย่างไอ้ภาสคนนี้ มีแต่จะส่งเสริมให้คนอื่นมองเพื่อนในทางที่ดีๆ อย่างเช่นตอนนี้ที่คุณแจ๋มเค้ามองเอ็งว่าสันดอนหนานักนี่ ข้าก็จะขอร้องอีกครั้ง ว่าให้ไปขอโทษเขาซะที”

ถ้อยคำแรกของภาสกร ยอกหัวใจเขาไม่ใช่น้อย นั่นสินะ ปรมัตถ์เริ่มถามตัวเอง ที่บอกว่ายังรักวารินทร์อยู่นั้น มันเป็นความรักหรือความหลง หรือหากเป็นความรักจริงๆ แล้วเขารักเธอตรงไหนกันแน่ เพราะตลอดเวลาที่คิดถึง ไม่มีตอนไหนจะมีความสุขเท่ากับตอนที่ร่วมกันถักสานเรื่องราวใต้ผ้าห่มอุ่นเลยสักหน

“ข้า... ข้าไม่รู้จะขอโทษเขายังไง”

ในที่สุดปรมัตถ์ก็พึมพำออกมา

“อย่ามาทำโง่ซ้ำซากได้ไหมเพื่อน ก็แค่คำว่าขอโทษมันจะไปยากอะไร ก็แค่เดินไป บอกเธอว่า คุณแจ๋มครับผมขอโทษ”

“มันจะดูเหมือนไม่มีศักดิ์ศรี”

“ไอ้คุณเพื่อนขอรับ ศักดิ์ศรีอะไรของเอ็งน่ะ มันหายไปตั้งกะตอนที่ทิ้งเขาไว้โน่นแล้ว ตอนนี้ละที่จะเรียกศักดิ์ศรีของเอ็งคืนมา กล้าทำก็ต้องกล้ายอมรับ กล้าทำผิดก็ต้องกล้าขอโทษสิวะ”

“แต่เอ็งก็ผิดที่ไม่บอกเรื่องของวา”

“เออ...กูผิด กูขอโทษ”

“เอ้า ไอ้นี่ เอ็งจะขอโทษง่ายไปไหม”

“ก็เอ็งบอกว่าผิด ข้าก็ขอโทษแล้วไง มันยากที่ไหนกันล่ะ”

“แต่นี่มันเรื่องของเอ็งกะข้า แต่ที่จะให้ไปขอโทษเค้า...”

“พอ... ถ้าใจแต๋วขนาดนี้ก็ไม่ต้องก็ได้ ขี้เกียจจะสนตะพายแล้วว่ะ ไอ้คะวายใจตุ๊ด”

ภาสกรทำท่าให้เห็นชัดๆ ว่าอิดหนาระอาใจจัด เพราะคำสุดท้าย

“มีงด่ากูเรอะ”

“เออสิ อยากจะเตะกูไหมล่ะ จะได้เติมให้อีกว่า นอกจากตัวใหญ่แต่ใจปลาซิวแล้ว ยังสักแต่ใช้กำลัง ปัญญานิ่มไร้สมอง”

พอภาสกรมาอีกเป็นชุด ตรงๆ ชัดเจนเช่นนี้ ก็เล่นเอาปรมัตถ์แทบทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่ทำสีหน้าเก้อๆ ขนาดแกล้งขยับเท้าแต่คนใส่เขาไม่หยุดยังไม่ขยับหลบ ก็แสดงว่าภาสกรคงเหลืออดเต็มที่แล้วเหมือนกัน

“เออ... แค่ขอโทษแค่นี้ มันจะยากอะไรวะ พอหยุดด่ากูได้แล้ว”

“หยุดก็ได้วะ คนอย่างเอ็งไม่เจอขอไม่เจอปฏัก ไม่รู้สึกหรอกว่าต้องทำอะไรมั่ง”

“กูบอกให้พอ นี่ก็กำลังจะไปขอโทษเค้าแล้วไงล่ะ”

ตลอดเวลาที่สองหนุ่มพูดจากันอยู่นี้ คือตรงหลังร้านที่เป็นลานซักล้าง ซึ่งมองไม่เห็นจากด้านอื่นใด และหลังจากที่ตกลงกันได้ว่าปรมัตถ์จะต้องมากล่าวขอโทษกับพรสวรรค์ พอเดินตัดห้องครัวจะออกมาจนถึงหน้าร้าน คนเดินนำคือภาสกรก็ชะงักเท้า เมื่อเห็นใครบางคนเคลื่อนตัวตามกันไปทางฝั่งติดแม่น้ำ

“จะลีลาอะไรอีกไอ้ภาส”

ปรมัตถ์ที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก พยายามผลักเพื่อนให้เดินไปข้างหน้า

“ข้าว่าไว้วันหลังดีไหม วันนี้เราฉากไปก่อนดีกว่า”

“อะไรของเอ็ง ตะกี้ด่ากันซะยับ แล้วจะมากลับคำซะงั้น”

“แต่...”

“ไม่แต่แล้ว  ขอโทษๆ ไปซะจะได้จบๆ กันไป”

“แต่”

ภาสกรถึงกับเอามือกางกั้นกรอบประตูเอาไว้ แต่ก็ต้านทานแรงผลักของปรมัตถ์ไม่ได้ คนถูกผลักไปชิดกรอบประตูด้านหนึ่งได้แต่ครางตามหลัง เมื่อเห็นว่าปรมัตถ์รีบเดินตรงไปยังระเบียงริมฝั่งแม่น้ำ

นายรัชพลน้องชายของเขานั่นช่างมันเถอะ แต่ผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยกันนี่สิ จะเป็นตัวเจ้าปัญหา

*********************

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 22:10:31

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 22:09:16

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 22:07:23

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 22:04:55

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 22:03:37

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 22:01:00

แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 21:58:05

จากคุณ : SONG982
เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 21:56:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com