Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศึกวนาลัย ภาค ผลึกแก้วเกล็ดหิมะ บทที่ 1 หุบเขาแห่งไพร  

ความรัก นำชีวิตหนึ่งเข้าสู่หนทางแห่งความมืดมิด
แต่การเสียสละ พาแสงสว่างกลับคืนมาให้
*/*/*/*/
ศึกวนาลัย
ภาค
ผลึกแก้วเกล็ดหิมะ
*/*/*/*/
บทที่ 1
หุบเขาแห่งไพร

แม้จะเป็นป่าที่อยู่ในเขตของอาณาจักรโกเรียนไลท์ แต่ก็มีความกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ผืนป่าที่อยู่รอบนอก พื้นแผ่นดินทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยพืชพรรณน้อยใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น แต่ละต้นล้วนมีขนาดใหญ่และสูงตระหง่านจนมองแทบไม่เห็นยอด กลิ่นของดอกไม้ป่าซึ่งงอกงามอยู่บนคบไม้สูงหอมตลบอบอวลไปทั่วสร้างความสดชื่นให้กับเหล่านักเดินทางจนแทบลืมความเหนื่อยล้าไปจนสิ้น

เสียงย่ำเท้าบนใบไม้ดังมาจากชาวพฤกษ์สามคนซึ่งกำลังเดินทางกันอย่างรีบเร่ง แม้จะออกจากนครโกเรียนไลท์กันตั้งแต่เช้าตรู่แต่ความหนาทึบของผืนป่าผนวกกับระยะทางที่ค่อนข้างคดเคี้ยวทำให้การเดินทางของพวกเขาล่าช้ากว่าที่คิดไว้มาก กรุนน์ลูฟ เจ้าชายแห่งนครไพรเงยหน้าขึ้นมองดวงตะวันซึ่งเริ่มลดระดับต่ำลงและถอนใจออกมาก่อนจะก้าวนำต่อไป

“ไม่คิดว่าอาณาเขตป่าในโกเรียนไลท์จะกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้” คาลีฟ บุตรชายของเขาพูดขึ้น กรุนน์ลูฟชำเลืองตามองเขาก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“เพราะเจ้าและมัลดัสต์สนใจแต่ป่ารอบนอก” เขากระโดดขึ้นไปยืนอยู่ต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งล้มขวางทางก่อนจะหันกลับมาดึงแขนของซิลเวอร์เรนผู้เป็นชายาให้ก้าวตามขึ้นไป คาลีฟยิ้มขณะประคองมารดาของเขาอย่างระมัดระวัง

“เพราะท่านพ่อไม่เคยเล่าให้พวกเราฟังต่างหาก”

“เจ้ากล่าวราวกับสนใจสิ่งที่ข้าพูด” กรุนน์ลูฟหยุดยืนและกวาดตามองไปโดยรอบ “มีธารน้ำอยู่ข้างหน้าไม่ห่างจากตรงนี้เท่าใดนัก เจ้าพอจะเดินไหวไหม”

ประโยคสุดท้ายเขาหันไปถามชายา นางยิ้มก่อนตอบเสียงไม่ดังนัก

“ข้าไปได้”

กรุนน์ลูฟประคองร่างซิลเวอร์เรนซึ่งมีท่าทางเหนื่อยล้าพร้อมกับกล่าวอย่างอ่อนโยน

“ข้าจะช่วยพยุงเจ้า อดทนสักนิดพ้นพุ่มไม้นี่ก็ถึงแล้ว”

“ป่าแห่งนี้สมบูรณ์ยิ่งนัก ซ้ำยังไม่ต้นไม้ที่ข้าไม่รู้จักอีกมากมาย” คาลีฟพูดพลางเอื้อมมือไปแตะใบไม้ที่มีรูปทรงคล้ายหัวธนู ซิลเวอร์เรนยิ้ม

“นั่นเป็นต้นซับศรเลือด ใช้รักษาผู้ที่ต้องธนูโดยเฉพาะ”

บุตรชายของนางขมวดคิ้วขณะมองใบไม้ด้วยความแปลกใจ

“ทั้งที่เป็นต้นไม้ใช้รักษาบาดแผลจากธนูแล้วเหตุใดจึงมีชื่อน่ากลัวเช่นนั้น”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นทีเจ้าคงต้องไปขอคำตอบกับท่านตา” ภริยากรุนน์ลูฟกล่าว
คาลีฟนิ่วหน้า

“ข้าไม่ค่อยอยากถามอะไรท่านตามากนัก”

“เพราะเหตุใด” มารดาของเขาถาม ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ

“ท่านไม่เคยตอบตรงกับคำถามเลยสักครั้ง จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก ข้ากับมัลดัสต์ไปเจอแมลงตัวหนึ่งกำลังไต่อยู่บนกิ่งไม้ พวกเราไปถามท่านตาว่ามันเป็นตัวอะไรท่านกลับบอกให้ตามดูเอง”

ซิลเวอร์เรนหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะกล่าวถามบุตรชาย

“แล้วเจ้าทำอย่างไร”

“ข้าตามดูอยู่สามวัน เห็นแมลงตัวนั้นชอบกินยอดอ่อนของหญ้าพิษและมักบินไปถ่ายในที่เดียวกันเสมอ ที่แปลกก็คือมูลของมันจะมีสีเหลืองดุจอำพัน ข้าเลยเดาเอาเองว่าชื่อของมันคงจะเป็นมูลอำพัน แต่ท่านตาหัวเราะและบอกว่าชื่อของมันคืออำพันทอง”

“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อแมลงชนิดนี้” กรุนน์ลูฟหันไปมองหน้าภรรยา นางยิ้มพร้อมกับอธิบาย

“อำพันทองจะอาศัยอยู่แต่ในป่าที่มีหญ้าพิษ มูลของมันสามารถแก้พิษได้สารพัด ท่านเองก็เคยกินมาแล้ว”

สีหน้าของเจ้าชายแห่งโกเรียนไลท์ฉายแววประหลาดใจ เขามองหน้าชายาพร้อมกับถาม

“เจ้าให้ข้ากินตอนไหน”

“ครั้งที่ท่านต้องธนูพิษของพวกอสูรไพร” ซินเวอร์เรนตอบพลางเอื้อมมือไปกอดแขนของกรุนน์ลูฟและซบใบหน้าลง “ตอนนั้นข้ากลัวเหลือเกินว่าอำพันทองจะไม่ได้ผลเพราะตัวของท่านร้อนเหลือเกิน”

“แต่เพราะความเอาใจใส่อย่างดีเยี่ยมของเจ้า ข้าจึงรอดมาได้” เจ้าชายไพรพูดพร้อมกับก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา คาลีฟมองคนทั้งสองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงแกล้งกระแอมไอออกมา

“ธารน้ำอยู่ข้างหน้านี่แล้ว ท่านทั้งสองจะหยุดพักหรือเดินทางต่อ”

กรุนน์ลูฟคลายอ้อมแขนของตนและหันมาตอบบุตรชาย

“เราควรหยุดพักสักหน่อย เพราะดูเหมือนมารดาของเจ้าจะอ่อนล้าเต็มทน”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” คาลีฟพึมพำและอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเก้อเขินของทั้งคู่ เขาแสร้งทำเป็นเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้และไล่สายตาไปโดยรอบอย่างระวัง

“ป่าแห่งนี้ทั้งกว้างใหญ่และเงียบสงบ”

“เพราะมันอยู่ในอาณาเขตของโกเรียนไลท์” ซิลเวอร์เรนพูด คาลีฟหันหน้ากลับมามองมารดาและถาม

“อีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงบ้านของท่านตา”

“อีกราวครึ่งวัน คืนนี้พวกเราคงต้องนอนค้างที่นี่ก่อนและออกเดินทางต่อก่อนตะวันขึ้น เราต้องไปให้ถึงชายป่าอีกด้านก่อนเที่ยง”

“ทำไม” กรุนน์ลูฟเป็นฝ่ายถาม ซิลเวอร์เรนเลิกคิ้ว

“ท่านลืมไปแล้วหรือว่าบ้านของท่านพ่อตั้งอยู่บนหน้าผา ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันจึงจะขึ้นไปถึง”

“เราต้องปีนเขาด้วยหรือท่านแม่” คาลีฟถามด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายหันมาตอบ

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่ามีทางเดินขึ้นไปจนถึงบ้านของท่านตา เสียแต่ว่ามันออกจะกันดารและคดเคี้ยวไปสักนิด”

“นานขนาดนั้นใครจะไปจำได้” รัชทายาทหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก กรุนน์ลูฟซึ่งกำลังจัดเตรียมที่พักหันหน้ามายิ้ม

“ตอนนั้นคาลีฟยังเด็กนัก ไม่แปลกที่เขาจะลืมเส้นทางไปจนหมด” เจ้าชายแห่งไพรเลื่อสายตาไปยังบุตรชาย “เจ้าควรจัดเตรียมอาหารได้แล้ว”

หลังจากจัดการมื้อค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้วกรุนน์ลูฟจึงให้ซิลเวอร์เรนนอนพักในกระโจม ส่วนตัวเขากับคาลีฟผลัดกันเฝ้าเวรยาม รุ่งขึ้นก่อนตะวันจะปรากฏบนขอบฟ้า ทั้งสามจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้งและไปถึงยังเชิงเขาซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของนครโกเรียนไลท์ จากนั้นจึงใช้เส้นทางลับซึ่งลัดเลาะขึ้นไปตามไหล่เชามุ่งหน้าตรงไปยังที่พำนักบิดาของซิลเวอร์เรนน์

ดวงตะวันยามบ่ายเคลื่อนคล้อยลงเรี่ยทิวไม้เมื่อชนพฤกษ์ทั้งสามเดินขึ้นไปยังจุดสูงสุดของหุบเขา คาลีฟมองบ้านขนาดใหญ่ซึ่งสร้างไว้ริมผาด้วยความทึ่งเพราะแม้ด้านหนึ่งจะชิดติดขอบเขาแต่ส่วนที่เป็นระเบียงบ้านกลับถูกสร้างให้ยื่นยาวออกไปตามลักษณะของภูผา เมื่อประกอบกับแสงสีส้มจัดของพระอาทิตย์ยามเย็นแล้วมันเป็นภาพที่งดงามที่ไม่อาจหาดูได้ในนครแห่งไพร

“ช่างเป็นที่พักอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก” คาลีฟรำพึงออกมาด้วยความทึ่งเขาหันไปทางมารดา “แม้จะเคยมาหลายครั้งแต่ข้าไม่เคยเห็นว่ามันจะงามเช่นนี้”

“นั่นเพราะเจ้าไม่เคยสังเกตต่างหาก” ซิลเวอร์เรนกล่าว “มาแต่ละครั้งพวกเจ้าก็เอาแต่วิ่งเล่นไม่เคยสนใจธรรมชาติรอบตัว”

“เวลานั้นพวกเขายังเยาว์นักและเด็กมักตื่นเต้นต่อสัตว์แปลกใหม่ที่ได้พบ” เสียงทุ้มลึกดังมาจากทางด้านหลัง กรุนน์ลูฟค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ

“ท่านเบรนนัส”

“เจ้าชายกรุนน์ลูฟ” ชนพฤกษ์ที่มากด้วยวัยวุฒิตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพเช่นเดียวกันและหันไปทางคาลีฟพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา

“ไม่เจอกันแค่สองสามปี ดูเจ้าโตเป็นหนุ่มขึ้นมาก”

“ครั้งหลังสุดที่พบท่าน คาลีฟเพิ่งอายุได้สิบขวบเท่านั้นนะท่านพ่อ” ซิลเวอร์เรนกล่าวขณะเดินเข้าไปหาเบรนนัส เขาเลิกคิ้ว

“ความรู้สึกข้าเวลายังผ่านไปไม่เท่าไหร่” เขายกมือขึ้นโบกเมื่อเห็นกรุนน์ลีฟทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา “เก็บธุระของท่านไว้ก่อนเถิด เจ้าชายกรุนน์ลูฟ”

บิดาของซิลเวอร์เรนน์กล่าวพลางผายมือ

“พวกท่านเพิ่งมาถึง สมควรพักผ่อนให้สบาย แล้วเราค่อยสนทนาเรื่องราวทั้งหลายในวันรุ่งขึ้น”

“แต่ข้ากลัวว่ามันจะสายเกินไป” คาลีฟแย้งอย่างร้อนใจ เบรนนัสยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน

“ไม่มีคำว่าสายในหมู่ชนพฤกษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวอาร์ดาไรน์ที่อยู่กับน้องสาวของเจ้า”

คำกล่าวของเบรนนัสสร้างความแปลกใจให้กับคาลีฟยิ่งนัก เขาหันไปมองหน้าบิดาพร้อมกับถาม

“ท่านตาทราบเรื่องของซันเนลินได้อย่างไร”

“ไม่มีสิ่งใดในโกเรียนไลท์ที่ท่านเบรนนัสจะไม่ล่วงรู้” เจ้าชายกรุนน์ลูฟตอบพลางตบไหล่บุตรชายสองสามครั้ง “ทำตามที่ตาของเจ้าแนะนำเถิด คาลีฟ”

บุตรของเขามองไปยังเบรนนัสและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรอบรู้ในทุกสรรพสิ่งของชนพฤกษ์ผู้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานกำลังจ้องมองกลับมา มันทำให้คาลีฟต้องถอนใจและผงกศีรษะรับก่อนจะก้าวตามหลังผู้เป็นตาซึ่งเดินนำหน้าตรงไปยังที่พำนักบนยอดเขาเหนืออาณาจักรแห่งไพร

*/*/*/*/*

ผลึกแก้วเกล็ดหิมะ เป็นภาคต่อของศึกวนาลัยภาคปฐมบทแห่งชนพฤกษ์และเป็นตอนจบของนิยายเรื่องนี้ เนื่องจากติดเขียนนิยายเรื่องนักล่าและเซ็นซูทำให้ทั้งสองภาคห่างกันเกือบปี หวังว่าผู้อ่านยังไม่ลืมกันนะคะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 19:32:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com