ดารากลางหทัย บทที่ ๑๗ : ศึกรบ ศึกรัก
|
|
สวัสดีปีใหม่ค่ะ อินขออวยพรให้เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคน มีความสุขตลอดปีนี้นะคะ
ปีที่ผ่านมา มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายเกิดขึ้น ทั้งดีและร้าย เรื่องไหนที่ดีก็เก็บไว้เป็นความทรงจำ เมื่อเวลาผ่านไปนึกย้อนถึงก็ยังทำให้ยิ้มได้ ส่วนเรื่องไหนที่ร้ายๆ ก็ขอให้ทิ้งไปกับปีเก่านะคะ อย่าเก็บมันไว้เลย ^^
ขอบคุณมิตรภาพ และความจริงใจที่เพื่อนพ้องน้องพี่ในถนนนักเขียนนี้มีให้กับอินนะคะ ถึงบางท่านอินจะไม่ได้พบปะรู้จักกันเลย แต่อินก็รู้สึกสนิทเหมือนกับว่าได้พบกันมาแสนนาน ผ่านทางตัวอักษรที่ปรากฏ
ขอบคุณทุกแรงใจ ที่ทำให้อินก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสมาได้
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ^^
บทที่ ๑๗ : ศึกรบ ศึกรัก
วรกายสูงดำเนินออกมานอกกระโจมพัก แหงนเงยขึ้นทอดพระเนตรผืนฟ้าที่เริ่มแปรเป็นสีเทาอ่อนด้วยสีพระพักตร์มิสู้ดีนัก ทิวานี้แล้วสิหนอ ที่พระเชษฐาจักทรงคุมพลเข้าต่อตีด้วยทัพเวียงภูแก้ว เจ้าอุปราชเทียนถงระบายปัสสาสะยาว เมื่อทรงหวนดำริถึงดวงพระชะตาที่ทรงตรวจดูเมื่อชั่วยามที่ผ่านมา
นับแต่วิหคราตรีกลับคืนไปสู่เจ้าของ เจ้าอุปราชเทียนถงก็มิอาจจักข่มพระเนตรบรรทมได้อีก ครั้นจักทรงเข้าฌานสมาธิ ดวงจิตก็หาได้นิ่งสงบไม่ ท้ายสุดจึงทรงลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้พร้อมจักออกเดินทาง แลกษณะที่ประทับรอคอยเพลานั้นเอง ได้ทรงตรวจดูพระชะตาของเจ้าหลวงเมืองแก้วแลพระเชษฐา ด้วยทรงสังหรณ์พระทัยบางประการ เมื่อแรกที่ดวงพระชะตาของกษัตริย์ทั้งสองปรากฏเคียงกันบนกระดาษนั้น เจ้าอุปราชเทียนถงก็ถึงแก่กาลนิ่งงัน ตรัสอันใดมิออกอยู่เป็นครู่ ครั้นได้พระสติกลับคืนมา แลทอดพระเนตรสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์อีกครา ก็ทอดถอนพระทัยยาว ด้วยดวงพระชะตานั้นดูเผินๆ ก็คล้ายกับว่า พระบารมีพระเชษฐานั้นทัดเทียมกันกับของเจ้าหลวงเมืองแก้ว ต่อเมื่อพิจารณาดูถ่องแท้แล้ว จึงทอดพระเนตรดาวเบียนในลัคนาเจ้าหลวงเทียนคง ดาวดวงนั้นมีอำนาจแลอิทธิพลมากพอที่จักทำให้เจ้าของพระชะตาถึงกับพบความวิบัติ แลอาจถึงแก่ชีวิต กระดาษฟางแผ่นนั้นถูกจ่อเข้ากับเปลวไฟในชวาลา เรื่องเยี่ยงนี้หามีผู้ใดควรทราบไม่ ด้วยมันมิได้ส่งผลดีแก่ผู้ใดเลย รังแต่จักบั่นทอนขวัญของทหารหาญเสียมากกว่า
ข้าเจ้านึกว่าเจ้าอุปราชยังมิตื่นบรรทมเสียอีก เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ ปลุกให้คนที่ยังยืนทอดพระเนตรผืนฟ้านิ่งอยู้ให้รู้สึกพระองค์ พักตร์คมคายหันมาทางเจ้าของเสียง เมื่อทอดพระเนตรชัดว่าเป็นผู้ใดแล้ว ก็แย้มพระโอษฐ์อ่อนๆ ประทานให้ ท่านแสงบุญหรอกหรือ มาแต่เมื่อใดเล่า เพิ่งมาถึงบัดเดี๋ยวนี้เจ้า ตั้งใจว่าจักมาปลุกพระบรรทม แต่เพลานี้เห็นจักมิต้องแล้ว แม่ทัพอาวุโสทูลยิ้มๆ สายตาที่ทอดจับผู้เป็นนายนั้นเต็มไปด้วยแววแห่งความจงรักภักดี แลความรักใคร่เอ็นดูชัดเจน ด้วยแสงบุญผู้นี้หาใช่แม่ทัพคนสนิทธรรมดาไม่ หากเขาเป็นทั้งพระพี่เลี้ยงที่คอยดูแลอภิบาลอีกฝ่ายมาแต่ยังเยาว์ชันษา แลยังเป็นทั้งอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการต่อสู้ทั้งปวงถวายอีกด้วย จักออกเดินทางกันแล้วฤๅ บอกตามตรง ข้ามิอยากทำสงครามครานี้เลย ข้าเจ้าเข้าใจเจ้า แต่เมื่อเพลาล่วงเลยมาเพียงนี้แล้ว เรามิอาจหลีกเลี่ยงได้หนาเจ้า ท่านแสงบุญ ยังพอมีเพลาเหลือสักน้อยฤๅไม่ ข้าอยากถามอันใดท่านสักอย่าง วานท่านตอบข้าตามสัตย์จริงเถิด แสงบุญมองผู้เป็นนายด้วยความแปลกใจยิ่ง แต่ก็มิได้ขัดอันใดออกไป คงยอมทำตามที่อีกฝ่ายมีพระประสงค์แต่โดยดี สีหน้าของแม่ทัพใหญ่ค่อยขรึมลงทีละน้อยๆ เมื่อยินพระวาจาที่พรั่งพรูดั่งสายน้ำไหลนั้น ทั้งพระสุรเสียง แลทั้งสีพระพักตร์ตลอดจนแววพระเนตรนั้น สำแดงชัดว่าทุกถ้อยพระวาจาที่ตรัสออกมาเพลานี้นั้น เจ้าอุปราชเทียนถงได้ทรงมีพระดำริมานานแล้ว แลพระดำรินี้จักเป็นความจริงมิได้เลย หากขาดความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย ความที่ผ่านโลกมามากยังให้เขามองเห็นเค้าลางของความยุ่งยากที่กำลังก่อตัวขึ้น ลำพังแต่ตัวเขานั้น พร้อมที่จักทำตามพระประสงค์ของเจ้าอุปราชเทียนถงด้วยใจยินดี แต่คนอื่นนั้นเล่า จักเห็นคล้อยฤๅไม่ นั่นเป็นสิ่งที่เขามิอาจล่วงรู้ได้ แลที่แน่ใจยิ่งกว่าอื่นใด ผู้ที่จักเข้าคัดค้านแลขัดขวางจนสุดกำลังเป็นคนแรกก็คือสินจัน หากสิ้นสินจันเสียสักคน บางทีพระดำรินี้อาจเป็นจริงขึ้นมาได้
แสงอโณทัยเพิ่งจักเยือนฟ้าได้เพียงมินาน กองทัพเกรียงไกรของอาณาจักรจินแสงก็เคลื่อนเข้าสู่ทุ่งยุทธนาเป็นที่เรียบร้อย องค์จอมทัพใหญ่ทรงฉลองพระองค์แดงเพลิง ห่มทับด้วยเกราะเหล็กสีดำมะเมื่อมตามแบบอย่างของชาวจินแสงโดยแท้ เมื่อเสด็จถึงกลางทุ่งยุทธนา จึงยกพระแสงหอกขึ้นเป็นสัญญาณให้ทหารหาญทั้งปวงยั้งพักพลรอคอยเพลาอยู่ชั่วคราว ด้วยวิสัยแห่งการศึกนั้น จักบุกเข้าไปโดยที่มิบอกกล่าวให้อีกฝ่ายได้เตรียมตั้งรับนั้น ก็หาต้องด้วยหลักธรรมยุทธไม่ ทั้งที่โดยพระทัยแท้จริงแห่งเจ้าหลวงเทียนคงนั้น ทรงใคร่จักกรีธาทัพเข้าเหยียบธาตวากรเสียให้สิ้นบัดเดี๋ยวนี้ แลหากทรงทำดั่งพระทัยปรารถนาจริง อาณาจักรแว่นแคว้นอื่นคงมองจินแสงด้วยสายตาหยามเหยียดเป็นแม่นมั่น แลเมื่อเป็นดั่งนั้นจึงจำต้องทรงตัดพระทัยส่งทหารสามนายเชิญพระราชสาสน์ท้ารบเข้าไปถวายฝ่ายอริราชเสียก่อน ขนงเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันทันใด เมื่อทอดพระเนตรทหารทั้งสามนายนั้นกลับคืนกองทัพในเพลาเพียงมิถึงอึดใจ จริงอยู่ว่าทรงมีพระราชโองการให้คนทั้งสามเดินทางล่วงหน้าไปก่อนที่กองทัพจักยาตรามาถึงทุ่งยุทธนานี้เพียงครู่เดียว แต่ถึงอย่างใดก็มิน่าจักรวดเร็วปานนี้ ฤๅว่า... เจ้าหลวงเทียนคงมิทันจักได้รับสั่งถามว่าอย่างใด คำตอบนั้นก็ปรากฏชัดขึ้นในคลองจักษุ สายพระเนตรสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายกร้าว เมื่อทอดพระเนตรผงคลีที่ฟุ้งตลบอยู่เบื้องพระพักตร์ พระกรรณสดับเสียงฝีเท้าของคนแลสัตว์ย่ำผืนปฐพีดังเลื่อนลั่น สำแดงชัดว่ามีกองทัพใหญ่อีกกองทัพหนึ่งกำลังยาตรามายังทิศนี้ แลกองทัพนั้นจักเป็นของผู้ใดไปมิได้ นอกจากราชดัสกรตัวฉกาจของพระองค์
ทันทีที่ผงคลีค่อยจางลง รูปเศวตสีหราชลอยเลื่อนบนเมฆาอยู่กึ่งกลางธวัชพื้นแดงสดโบกสะบัดท่ามกลางสายลมเหมันตฤดูเป็นประจักษ์พยานยืนยันความเข้าพระทัยของเจ้าหลวงเทียนคงได้เป็นอย่างดี องค์จอมทัพใหญ่ทรงขบพระทนต์แน่น หัตถ์ที่ทรงกำสายบังเหียนเกร็งแน่นโดยมิรู้องค์ แน่แล้ว คงมีผู้ใดสักคนในกองทัพนี้ส่งข่าวไปให้เจ้าหลวงเมืองแก้วได้ทราบเสียก่อนเป็นแม่นมั่น หาไม่แล้ว คงมิมีทางจักกรีธาทัพมาตั้งรับได้ทันท่วงทีเยี่ยงนี้แน่ ระยะทางจากทุ่งยุทธนานี้ กว่าจักเข้าถึงเขตเมืองได้ก็ต้องใช้เพลาอย่างน้อยที่สุดถึงหนึ่งชั่วยาม เจ้าหลวงเทียนคงทรงครุ่นคิดหนัก แต่จักหาตัวคนผู้นั้นได้มิใช่เรื่องง่ายสักน้อย ด้วยการศึกทิวานี้ผู้ที่รู้เรื่องนั้นมิใช่มีเพียงหนึ่ง หากเป็นทหารทั้งกองทัพทีเดียว
วรกายสูงสง่าทรงฉลองพระองค์นิลกาฬห่มเกราะทองชมพูนุท ประทับองอาจเหนืออัสดรสีนิลดุจเดียวกัน วงพักตร์เข้มคมปรากฏรอยแย้มพระโอษฐ์พรายอย่างมิทรงทุกข์ร้อนอันใด เมื่อได้ระยะพอเหมาะ เจ้าหลวงเมืองแก้วก็ทรงยกพระแสงดาบประจำพระองค์ขึ้นชูเหนือเศียรเป็นสัญญาณหยุดทัพ ก่อนจักทรงกระตุ้นอัสดรให้ล้ำหน้าออกมาหนึ่งช่วงม้า สายพระเนตรคมกริบกวาดทอดพระเนตรประเมินกำลังพลของฝ่ายตรงข้ามเพียงวิบเดียวก็แจ้งแก่พระทัยว่า กำลังทหารของจินแสงที่ยกมาเพลานี้มีเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น หากก็ยังมากกว่ากำลังพลฝ่ายของพระองค์แลเจ้าหลวงวาทิตย์ถึงหนึ่งเท่าตัว มิได้เจอกันนานแล้วหนา เทียนคง บาดแผลที่ท่านได้รับเมื่อกาลก่อนหายดีแล้วหรืออย่างใด เจ้าหลวงเมืองแก้วรับสั่งด้วยภาษาของจินแสงโดยมิติดขัดสักน้อย ถ้อยพระวาจาที่รับสั่งนั้น ฟังเผินๆ ก็คล้ายจักเป็นการถามไถ่ทุกข์สุขตามธรรมเนียม หากกระแสดำรัสนั้นแฝงนัยที่รู้กันเพียงสอง องค์จอมทัพใหญ่ทรงกระตุกมุมโอษฐ์เป็นรอยแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ อย่างเยาะ ยามปรายพระเนตรทอดไปยังธวัชพื้นดำลายสิงห์ทองประจำพระองค์เจ้าหลวงเทียนคง สิงห์ธรรมดาหาญสู้สีหราชกระนั้นฤๅ คราก่อนมิหลาบจำหรืออย่างใด จึงได้เคลื่อนทัพมาอีกคราดั่งนี้ เจ้าหลวงเทียนคงพักตร์ชากับรับสั่งนั้น ทั้งเจ็บทั้งอุธัจ แลคั่งแค้นแน่นหทัย สายพระเนตรที่จ้องจับอยู่ที่คนพูดนั้นทอประกายแรงร้อน มาตรว่าจักแผดเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้ลงเสียบัดเดี๋ยวนี้ ผู้ใดเป็นสีหราช ผู้ใดเป็นเพียงสิงห์สามัญ อีกเพียงมินานท่านจักแจ้งแก่ใจ ข้าจักทำให้ท่านรู้ว่าจินแสงนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่อาณาจักรเล็กๆ เยี่ยงเวียงภูแก้วจักหาญเทียบ สุรเสียงห้าวห้วนกดต่ำอย่างพยายามที่จักทรงข่มโทสะ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับสรวลลั่นอย่างมิเกรงสักน้อย ซ้ำยังกระตุ้นอัสดรกรายเข้าหา พร้อมรับสั่งกลั้วสรวลเสียด้วยเล่า ข้าจักคอยดู วรกายสูงสั่นสะท้านด้วยแรงพิโรธถึงขีดสุด ด้วยมิเคยมีผู้ใดกระทำการหยามหยาบต่อองค์เองเพียงนี้มาก่อน กษัตริย์นักรบเยี่ยงเจ้าหลวงเทียนคงผู้นี้ มีแต่ผู้ยอมน้อมเศียรศิโรราบแทบบาท แล้วเมืองแก้วผู้นี้เป็นแต่เพียงเจ้าหลวงหอคำของอาณาจักรซึ่งเทียบกับจินแสงแล้ว ก็อาจเปรียบได้กับภัสมธุลีใต้พระบาทเท่านั้น กลับหาญมาเผยอเทียบพระราชอำนาจ จักให้ทรงยอมได้ไฉน
พระแสงศัตราวุธทั้งสองเล่มสะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายคมปลาบถูกยกขึ้นชูเหนือเศียรเกล้าอีกคำรบ ครานี้มิใช่สัญญาณพักพลเฉกคราแรก ด้วยเจ้าของพระแสงศัสตราวุธทั้งสองพระองค์นั้นทรงสะบัดปลายคมกริบชี้ไปเบื้องหน้า แลมีพระราชโองการสั้นๆ เกือบจักพร้อมกันเพียงคำเดียว ทว่ามีความหมายใหญ่หลวงต่อทหารทุกนาย บุก! สิ้นพระสุรเสียงสีหนาทขึ้นกลางทัพนั้น ทหารทั้งสองฝ่ายก็ตรงเข้าสัประยุทธ์กันแทบจักทันที อัสดรสีน้ำตาลพุ่งปราดเข้าประชิดอัสดรสีนิลโดยมิเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายทันตั้งพระองค์ได้ หากเจ้าหลวงเมืองแก้วทรงระวังพระองค์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อทอดพระเนตรเจ้าหลวงเทียนคงเข้าประชิดองค์เยี่ยงนั้น ก็ทรงชักอัสดรเบี่ยงหลบเสีย เป็นผลให้ปลายพระแสงหอกคมกริบเฉียดอุระเบื้องซ้ายไปเพียงองคุลีเดียว พระแสงดาบในพระหัตถ์ตวัดปลายปัดคมหอกนั้นออกไปทางหนึ่งด้วยกำลังแรง แลทรงใช้สันดาบเคาะเอาข้อพระหัตถ์เจ้าหลวงเทียนคงเข้าโดยแรง องค์จอมทัพใหญ่จินแสงทรงเจ็บร้าวไปทั้งแถบ พระแสงหอกแทบว่าจักหลุดออกจากพระหัตถ์ หากทรงขบพระทนต์ฝืนข่มความเจ็บปวดเงื้อพระแสงขึ้นอีกคำรบ มิว่าจักอย่างใด ทิวานี้พระองค์ก็จักทรงขอสังหารอริราชผู้นี้ให้จงได้
เจ้าหลวงเมืองแก้วทอดพระเนตรการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแล้ว ก็ทรงล่วงรู้ว่าอธิราชหนุ่มหาได้ตั้งตนอยู่ในความรอบคอบไม่ ตรงข้ามกลับยึดเอาความร้อนของพระอารมณ์เป็นที่ตั้งเพียงประการเดียว การจู่โจมบุกเข้ามานั้นถึงจักเต็มไปด้วยพละกำลัง หากก็เต็มไปด้วยช่องว่างมากมาย แม้พระองค์จักทรงสวนกลับแลหมายปลิดพระชนม์ชีพเสีย ก็ทรงทำได้มิยาก ทว่าเพลานี้มิทรงมีพระราชประสงค์จักทรงทำดั่งนั้น เทียนคง สติแลความรอบคอบของท่านหล่นหายเสียที่ใดฤๅ ท่านมุ่งหมายจักเอาชีวิตข้า แต่เท่าที่ข้าดูเพลานี้ ท่านต่างหากที่จักถูกข้าเอาชีวิต ภายหลังจากทรงป้องปัดคมหอกของอีกฝ่าย แลสวนกลับเป็นการเตือนมาพักหนึ่งแล้ว เมื่อทอดพระเนตรจอมทัพจินแสงมิทรงรู้สึกถึงการเตือนนั้นเลย องค์จอมทัพใหญ่เวียงภูแก้วจึงตัดสินพระทัยรับสั่งขึ้นด้วยสุรเสียงทอดอ่อนเต็มไปด้วยความปรานีมากกว่าจักเยาะให้ได้อาย ถ้อยพระวาจานั้นยังให้คนที่กำลังเงื้อหอกขึ้นถึงกับชะงักไปชั่วครู่ เมื่อทรงทวนพระวาจานั้น ก็เข้าพระทัยในสิ่งที่อีกฝ่ายทรงเตือนในบัดดล เนตรสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายของความหลากพระทัยหนักหนา เหตุใดท่านจึงทำดั่งนี้ แม้นว่าท่านเห็นดั่งนั้น ไยจึงมิฉวยโอกาสสังหารข้าเสียเล่า จักเสียเพลาเตือนข้าอยู่ด้วยเหตุอันใด เจ้าหลวงเมืองแก้วแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ก่อนจักรับสั่งตอบ การยุทธนาที่ดีนั้น มิใช่มุ่งหวังเพียงชัยชำนะของตนเป็นที่ตั้ง โดยที่ยังมิได้รบเต็มกำลังกายแลกำลังสติปัญญาของตน ข้าพูดเท่านี้ หวังว่าท่านคงแจ้งใจ
*** มีต่อค่ะ
| จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
| เขียนเมื่อ |
:
2 ม.ค. 53 16:22:58
|
|
|
|