Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
13 ปีในคุกน้ำแข็ง (ตอนที่ 1)  

ท้าวความ....13  ปีในคุกน้ำแข็ง

13  ปีที่แล้วดิฉันถูกส่งมาเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่มอสโคว

ผ่านร้อน ผ่านหนาว  ผ่านเรื่องราวมากมาย  มีทั้งที่น่ารำลึกถึง และสมควรลบออกไปจากความทรงจำ   ผ่านการเป็นนักศึกษาปริญญาตรี  นักศึกษาปริญญาโท และ นักศึกษาปริญญาเอก

ณ  วันนี้ใคร ๆ ต่างเรียกดิฉันว่า “ด็อกเตอร์”  บางคนเติมคำว่า “ท่าน” แถมให้ด้วยเพื่อความโก้เก๋โดยที่ดิฉันไม่ได้ขอ  

ค่ะ.....ดิฉันเป็นด็อกเตอร์จบหมาด ๆ   เป็น Ph.D ทางด้านการสอนภาษารัสเซียสำหรับชาวต่างชาติ  ยังคงใช้ชีวิตในห้องแคบ ๆ ร่วมกับรูมเมทชาวรัสเซียและชาวอัฟริกันในหอพักของมหาวิทยาลัยเพื่อรอใบปริญญา  ว่ากันว่ามันใช้เวลาอย่างต่ำครึ่งปีเชียวล่ะ

กว่าดิฉันจะก้าวมาถึงจุดนี้ ดิฉันต้องใช้ความอดทนสูงมาก  ด้วยความที่ต้องดิ้นรนเอาเองดิฉันจึงต้องทำงานสารพัด ไม่เน้นว่าจะเป็นงานแบบไหน ขอแค่เป็นงานสุจริต ไม่ผิดต่อตนเองและประเทศชาติ  เริ่มงานแรกในมอสโควด้วยการขอท่านทูตล้างจาน   วันนั้นเป็นวันพ่อ  เขาจัดเลี้ยงกันที่ทำเนียบทูตแล้วแม่บ้านชาวรัสเซียล้างจานไม่ทัน ดิฉันเลยทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปบอกท่านว่า หากท่านอนุญาตดิฉันขอช่วยล้างจานแลกกับอาหารที่เหลือไปกินที่หอ  ล้างเสร็จแล้วท่านไม่แค่อนุญาตให้ห่อของกินกลับ แต่ยังแถมไวน์ให้หนึ่งขวด และให้เงินมาอีก 50  เหรียญสหรัฐ  นั่นเป็นเงินก้อนแรกที่ดิฉันหาได้ในมอสโคว  และเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าดิฉันพร้อมที่จะทำงานหนักทุกอย่าง   จากวันนั้นเป็นต้นมาท่านก็เรียกไปทำงานเรื่อย ๆ  เริ่มจากการเป็นล่ามให้กับสำนักงานพาณิชย์ประจำกรุงมอสโก  (ภาษาราชการเขาให้เขียนว่า กรุงมอสโก ไม่ใช่มอสโคว หรือ มอสโคว์)  ตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ที่กรมส่งเสริมการส่งออกเข้าร่วม  หลังจากนั้นก็เริ่มรับคณะราชการต่าง ๆ  นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีไปยัน อบต.  รวมไปถึงนักธุรกิจไทยที่มาเจรจาการค้า  หากมีเวลามากหน่อยก็รับแปลเอกสารและรำไทยตามภัตตาคาร

ชีวิตในมอสโควของดิฉันเจอคนไทยหลากหลายรูปแบบ  อาจเป็นเพราะการที่ต้องใช้ชีวิตเมืองนอกมันยากลำบาก  คนเราก็เลยต้องเห็นแก่ตัว  มันคงไม่ใช่แค่ที่นี่หรอก  ดิฉันไม่เคยมีวาสนาจะได้ไปประเทศอื่นก็เลยไม่รู้ว่าเขาอยู่กันยังไง แต่ก็เดาว่ามันคงไม่ต่างกันมาก  เมื่อใดก็ตามที่คุณเป็นผู้มีประโยชน์ คุณก็จะเป็นที่ต้องการของใคร ๆ  เคสของดิฉันไม่ใช่ลูกเศรษฐี จึงตัดเรื่องเงินออกไปได้  แต่ดิฉันเชี่ยวชาญการใช้ภาษารัสเซีย และมีประสบการณ์ในการทำงานสูง เป็นผู้รอบรู้โดยสถานการณ์พาไป  ผลก็คือมีคนโทรหาตั้งแต่หกโมงเช้ายันตีหนึ่งโดยไม่เคยสนใจว่ามนุษย์โลกปกติเขานอนกันอยู่  ไม่เคยมีใครโทรหาดิฉันตอนตัวเองมีความสุข มีแต่หาความทุกข์มาให้ ดิฉันเลยเกิดความเบื่อหน่าย  นาน ๆ เข้าก็เป็นความอคติ  ดิฉันเป็นพวกเห็นคนไทยแล้ววิ่งหนี กลัวคนที่เจอจะโทรมาหาดิฉันตอนตีหนึ่ง  ให้ช่วยน่ะไม่ว่าหรอก...แต่ไม่รู้เป็นยังไง ช่วยเสร็จแล้วต้องเอาไปด่าลับหลังด้วย

นี่แหละค่ะ  เหตุผลที่ดิฉันแปลงร่างเป็นนังมารร้าย เปล่า ๆ ...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก  แค่ไม่คุยกับใครเลย  ไม่ทำความรู้จักกับใครด้วย   จากนั้นดิฉันจึงได้เห็นว่าชีวิตสบายขึ้น  ก็ให้ด่ากันไป  จะว่าหยิ่ง แล้งน้ำใจ หรืออะไรก็ตาม แต่อย่างน้อยดิฉันก็ได้นอนเต็มอิ่ม  แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป  มีเรียนไปเรียน มีงานไปทำงาน หรือบ่อยครั้งก็โดดเรียนไปทำงาน  เรียนเอกภาษารัสเซียโดดเรียนไปเป็นล่ามไม่ใช่เรื่องเสียหาย  ตราบใดที่ยังสอบผ่าน

ชีวิตของดิฉันก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ แบบนี้  มีหน้าที่เรียนให้จบ  จบตรีแล้วก็ต่อโท จบโทแล้วก็ต่อเอก  ดิฉันมีพ่อเป็นด็อกเตอร์  เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก  ก่อนหน้านี้ดิฉันไม่เคยเถียงพ่อแล้วชนะเพราะพ่อจะพูดเสมอว่าเขาน่ะเป็นด็อกเตอร์ ส่วนดิฉัน (ในตอนนั้น) เพิ่งจะเรียน ป. ตรี  ดังนั้นเขาจึงถูก   ดิฉันคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าหากวันนึงตัวเองเป็นด็อกเตอร์เหมือนกันแล้วจะเถียงชนะไหม  ซึ่งจนบัดนี้ดิฉันก็ยังไม่ได้รับคำตอบเพราะดิฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน  และอาจเป็นเพราะดิฉันเรียนรู้ที่จะปล่อยวางจึงไม่ได้อยากแข่งกับพ่ออีกต่อไป  มีผู้ใหญ่สอนดิฉันว่าดิฉันต้องรู้จักให้อภัยบุพการี  พ่อ-แม่ก็คือปุถุชน ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง และถ้าท่านทั้งสองจะทิ้งดิฉันเอาไว้ที่มอสโควและตัดความช่วยเหลือด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่  ถึงแม้ดิฉันจะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ  ถึงแม้จะยังช่วยตัวเองไม่ได้  แต่ดิฉันจะต้องให้อภัย  เพราะเราเป็นชาวพุทธ และเพราะนั่นเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามของคนไทย

ช่วงหลัง ๆ ดิฉันบ้าทำงาน  ดิฉันเข้าใจไปเองว่าหากเรามีเงินมาก ๆ ชีวิตเราจะดี  อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อ ใส่เสื้อผ้าชุดละเป็นหมื่นแล้วจะไม่มีใครดูถูก  มีงานอะไรเข้ามาดิฉันรับแหลก  จนวันนึงมีคนโทรมาถามว่า....
เป็นล่ามให้กับเจ้าหน้าที่จากการบินไทยหน่อยได้ไหม   ดิฉันรีบตอบแบบไม่ลังเล .. “ได้ค่ะ”  นั่นเป็นที่มาของเรื่องราวระหว่างดิฉันและบริษัทการบินไทย  จากปี 2005  จนบัดนี้ปี  2010  เรายังคงอยู่ด้วยกัน  พี่ ๆ เจ้าหน้าการบินไทยประจำกรุงมอสโกช่วยเหลือเรา และเราก็รับใช้พี่ ๆ ตามโอกาส   อยู่กันแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า  อยู่กันอย่างพี่ ๆ น้อง ๆ  มีความสุขกันตามสมควร  แต่สำหรับคนบางกลุ่ม ดิฉันคือ  “นังจอยมอสโควที่ชอบดูแลแต่ค็อคพิท” “นังจอยที่บ้ากล้วยนักบิน”  “นังหน้าด้านที่ชอบยิ้มให้แต่ผู้ชายหัวเครื่อง” “นังนักศึกษาปริญญาเอกที่อยากได้ผัวเป็นนักบินจนตัวสั่น”  และอื่น ๆ ตามแต่เขาถนัดที่จะเรียก  

เรื่องมันมีแค่ว่า.....
ดิฉันเป็นล่ามให้กับ  General Manager การบินไทยจากอีกประเทศ ตอนที่ท่านมาดูแลความเรียบร้อยเรื่องการเปิดเที่ยวบินใหม่ “กรุงเทพ-มอสโคว”  เราทำงานร่วมกันหลายเดือน  ไปในหลาย ๆ ที่ ไม่ว่าจะไปประชุมที่สนามบิน  ไปติดต่อเอเจนซี่ต่าง ๆ  หรือไปเลือกทำเลในการตั้งออฟฟิศ  และเมื่อเวลาผ่านไป GM ท่านนี้ก็บอกว่าถึงเวลาแล้วที่บริษัทเราจะต้องเริ่มทำการโฆษณา  ท่านถามว่าถ้าจะให้ดิฉันไปยืนตามบู้ทของการบินไทยในงานต่าง ๆ จะไหวหรือไม่  ก็ทำไมจะไม่ไหว แค่ใส่ชุดไทยแล้วยืนยิ้ม ง่ายจะตาย  จากนั้นไม่นานก็มีชุดไทยที่บรรดาแอร์โฮสเตสใส่กันบนเครื่องส่งมาถึงดิฉันสองชุด  (GM ท่านบอกว่ามันเป็นชุดของแอร์เก่า ๆ ที่มันอยู่ในคลังของบริษัท)  แล้วดิฉันก็ไปยืนยกมือไหว้พร้อมทั้งโฆษณาสรรพคุณของเครื่องที่การบินไทยใช้บินมามอสโคว  ตั้งแต่  MD 11 ไปยัน Airbus 340-600   กี่เครื่องยนต์  กี่ที่นั่ง บินถึงกรุงเทพแล้วยังต่อไปไหนได้อีก  ดิฉันต้องตอบได้  ทำตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มบิน จนพอมีเที่ยวบินแล้วก็ยังคงทำหน้าที่เดิมต่อไปเพราะว่าแอร์ตัวจริงเขาไม่มาทำให้  เขาบอกว่ามันเป็นเวลาพักของเขา ซึ่งมันก็จริง เขาบินมาเหนื่อย ๆ ตั้งแปด-เก้า ชั่วโมง  ได้พักหนึ่งวัน อีกวันก็ต้องบินกลับแล้ว   จะให้พรีเซ็นเตอร์ตัวจริงมาก็เปลืองงบบริษัทเพราะต้องทำตั๋ว  เปิดห้อง  และให้เบี้ยเลี้ยง   พี่เขาบอกว่าจ้างดิฉันนี่แหละมันถูกดี  ใส่ชุดไทยขึ้น แต่งหน้าทำผมหน่อยก็เหมือนของจริงแล้ว แถมเอาตัวจริงมาก็พูดกับคนรัสเซียไม่รู้เรื่องอีก   จ้างดิฉันแค่ 50  เหรียญ ใช้งานได้สารพัด  เป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ได้ ติดดอกกล้วยไม้ไวอีกต่างหาก  แถมหลังเลิกงานยังเป็นกุลีแบกของกลับออฟฟิศได้อีก

วันหนึ่งพี่ ๆ เขาบอกกับดิฉันว่า  สายการบินเราเป็นที่รู้จักแล้ว ไม่ต้องโฆษณาอีกต่อไป ให้เข้าไปช่วยงานในออฟฟิศ  มันก็สนุกดีในวันแรก แต่ดิฉันมันพวกไม่ชอบนั่งอยู่ในห้องแคบ ๆ ก็เลยบอกให้พี่เขาหาคนใหม่ แล้วขอไปช่วยงานตามโอกาส   จากนั้นก็แทบจะไม่ได้ไปยุ่งเลยจนพี่เขาวานให้ไปช่วยต้อนรับกัปตันผู้ใหญ่เกษียณในฐานะ “คนนำเที่ยว”  ในฤดูร้อนของปี 2007  ซึ่งนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดระหว่างพวกเราที่นี่และ “นักบินการบินไทย”  กลุ่มคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตของพวกเราดี  ทำให้ดิฉันรู้สึกอบอุ่นแม้ในยามที่อุณหภูมิ -30 องศา   และทำให้ดิฉันเห็นว่าสมมติฐานที่ดิฉันตั้งไว้ในหลาย ๆ เรื่องนั้นผิด.....

แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 00:54:58

จากคุณ : venograd
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 07:55:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com