ความคิดเห็นที่ 1 |
บนเส้นทางที่เพื่อนครูเซเดอร์บอกว่ามีโบสถ์ตั้งอยู่แทบร้างคนโดยสิ้นเชิง และเมื่อชายหนุ่มมาถึงอาคารผุพังซึ่งมีเหล็กหล่อเป็นสัญลักษณ์อารามสุริยเทพตั้งเอียงพิงซากหลังคาที่ถล่มลงมา ก็ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย
ว่ากันตามจริง มันดูวังเวงจนแมกนัสชักไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงอย่างแอนเธียจะมาอยู่ในนี้คนเดียวได้
...แต่ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว เข้าไปดูนิดหน่อยจะเสียเวลาเท่าไรกัน...
ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดหินที่มีรอยแตกพังเป็นร่อง ราวสิบก้าวก็ถึงประตูโบสถ์ที่เป็นไม้เก่าผุ ประตูเปิดแง้มอยู่ เขาจึงแทรกตัวเข้าไปเพราะไม่อยากใช้มือแตะให้สกปรก
ภายในนั้นมืดสลัว มีแสงจากพวกเห็ดราเรืองแสงสีต่างๆ ขึ้นเป็นหย่อมๆ เหมือนในท้องถ้ำ บางส่วนลามขึ้นเพดานเป็นลวดลายแปลกตา
ในโถงมีเก้าอี้ยาวตั้งเรียงราย น่าแปลกที่ไม่ถูกคนในเก็ตโตขนออกไปทำฟืนหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นมันคงถูกความชื้นกับรากินจนเสื่อมสภาพ ทำไปก็ไม่คุ้ม ด้านหน้าโถงมีแท่นบูชาเหมือนโบสถ์ทั่วไป ช่องแสงบนเพดานมีแสงซึ่งสลัวอยู่แล้วส่องลอดลงมาอย่างสลัวยิ่งกว่า เป็นไปได้ว่ากระเบื้องหลังคาหรือหอคอยที่ประดับตราสุริยเทพคงตกลงมาทับ
ไม่มีใครอยู่ในนั้น แมกนัสกลับหลังหัน กำลังจะออกไปพอดีเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงฮัมเพลงเบาๆ
...ให้ตายสิ เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง...แต่ได้ยินจังๆ อย่างนี้ขนหลังก็ลุกซู่ขึ้นมาได้เหมือนกัน...
ถึงอย่างนั้น แมกนัสก็ยังอยากดูให้รู้แน่ เสียงนั้นฟังคล้ายแอนเธียอยู่ บางทีเธออาจอยู่ในนี้ เขาจึงเดินใกล้เข้าไปอีก เดินอย่างแผ่วเบาที่สุด
ในที่สุดเขาก็พบเธอ หญิงสาวยังสวมเสื้อไหมพรมสีนวลตัวเดิมกับกางเกงยีนส์ขายาว เธอนั่งยองๆ อยู่ระหว่างม้านั่งยาวแถวต้นๆ มิน่าเขาถึงมองไม่เห็นแต่แรก
แอนเธียยังคงฮัมเพลงพร้อมกับโยกตัวไปมาช้าๆ แมกนัสลังเลว่าควรเรียกเธอตอนนี้หรือไม่ แต่แล้วเมื่อก้าวเข้าไปใกล้ ก็ดูเหมือนบางอย่างจะตัดสินใจแทนเขาเสียก่อน
เสียงขู่แฟ่ดังขึ้น แทบพร้อมกัน ร่างของหญิงสาวผุดลุก หมุนตัวกลับมา ชักปืนพกติดที่เก็บเสียงเล็งใส่เขาทันที
ทั้งสองนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นนาน จนกระทั่งแอนเธียถอนใจและเก็บปืน
“คุณเองเหรอ”
“ข...ขอโทษ ที่ทำให้ตกใจ” แมกนัสพูด แล้วก็มานึกได้ทีหลังว่า...เขาก็ตกใจเหมือนกันนั่นล่ะ
“คุณมาถึงนี่ได้ยังไง”
“ฉัน...เอ้อ...ไปหาเธอที่ร้านหมอ เห็นคุณมาร์กาเร็ตบอกว่าเธอออกมาเดินเล่น เลยมาตาม เมื่อกี้เจอบิวเรน มันบอกว่าแถวนี้มีโบสถ์ร้าง ฉันเลยลองมาดู เผื่อจะเจอเธอ”
“...คุณบิวเรนไม่ได้บอกว่าฉันอยู่ที่นี่เหรอคะ”
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ
“ฉันมาอยู่ที่นี่พักหนึ่งแล้ว ได้ยินเสียงเขาเข้ามา เลยหันไปทัก เขาไม่ได้บอกคุณว่าฉันอยู่ที่นี่เหรอคะ”
แมกนัสเกาหัวแกรก นึกสาปแช่งเพื่อนร่วมงานอย่างเบาะๆ อยู่ในใจที่แอบอมพะนำ
“ไม่ได้บอก” ชายหนุ่มพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด “แล้วเธอมาที่นี่ทำไมล่ะ”
“แค่มาคิดอะไรเงียบๆ ค่ะ ที่นี่สงบดี แล้วฉันก็ไม่ได้มานานแล้วด้วย พอมาถึงก็ได้เจอเพื่อนเก่าพอดี”
“เพื่อนเก่า?”
แทนคำตอบ หญิงสาวก้มลงอีกครั้ง ก่อนจะอุ้มก้อนขนฟูๆ ลายขาวสลับเทาดำที่มีตาสีเขียวเรืองแสงสองดวงขึ้นในอ้อมแขน
...แมวเหรอนั่น... แมกนัสนึกกับขนาดตัวอันใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม และหน้าตาไม่รับแขกของมัน
“ไม่นึกว่าจะยังอยู่ที่นี่ เหมือนเมื่อตอนนั้นเลย”
...แล้วเมื่อตอนนั้นมันเมื่อตอนไหน... ชายหนุ่มตั้งคำถามในใจ
“แปดปีก่อน มันยังอยู่ตรงนี้ เหมือนตอนนี้ไม่มีผิด” แอนเธียตอบราวกับอ่านใจเขาได้
“เธอเคยมาที่นี่เหรอ” แมกนัสถาม แล้วก็ระลึกได้ว่ามันเป็นคำถามที่งี่เง่าสิ้นดี
...เออ...ก็เธอเพิ่งเคยบอกหยกๆ ว่าเคย แล้วถ้าไม่เคย จะรู้จักหมอโจเซฟกับภรรยาได้ยังไงกัน...
“ค่ะ ก่อนฉันไปอยู่โบสถ์เซนต์แชริตี” แอนเธียเล่าเรียบๆ พร้อมกับวางเจ้าแมวแก่อ้วนปุกลง “ฉันเคยพักบ้านคุณลุงโจเซฟสักพักหนึ่ง”
“อ้อ” ชายหนุ่มรับ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปอีก “ตอนนั้นฉันเพิ่งผ่าตัดใหญ่ค่ะ ใช้เวลาพักฟื้นอยู่นาน แล้วก็เพิ่งมาจากเวสต์แลนด์ ไม่รู้จักใครเลย นอกจากหลวงพ่อนิโคลัส ลุงโจเซฟ กับป้ามาร์กาเร็ต พวกเขาดีกับฉันมาก แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหงาๆ อยู่ดี มีที่นี่แหละค่ะ ที่ทำให้ใจสงบได้บ้าง”
“แต่มันเป็นโบสถ์ร้าง...”
“ค่ะ ร้างมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เขาว่ามีผีสิง เลยไม่ค่อยมีใครกล้ามา แต่ผีที่เขาว่ากัน อาจจะมีแต่เจ้าแมวตัวนี้ลับเล็บ วิ่งไล่จับหนู หรือร้องขึ้นมาก็ได้”
เจ้าแมวอ้วนร้องหง่าวรับ ก่อนจะเดินสีขาของแอนเธียรอบหนึ่ง แล้วทิ้งตัวลงนั่งเลียเนื้อตัวอย่างเกียจคร้าน โดยไม่วายส่งสายตาไม่ใคร่เป็นมิตรให้แมกนัสที่จ้องมันอยู่
...ให้ตายเถอะ อย่างน้อยแกต้องเป็นแมวแก่หง่อมสักแปดปีขึ้นไปแล้ว อย่ามาทำเป็นประจบสาวไปหน่อยเลย... ชายหนุ่มนึกในใจ
เขาลืมจุดประสงค์เดิมของตนไปแล้ว จนหญิงสาวถามขึ้นมาเอง
“ว่าแต่...คุณมาหาฉันทำไมเหรอคะ” เธอไม่แค่ถาม ยังเดาถูกตรงเผง “คิดจะขอโทษเรื่องเมื่อคืนเหรอ”
แมกนัสเกาหัวแกรก
“ก็...ทำนองนั้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ” แอนเธียสั่นศีรษะพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ฉันเองก็เริ่มเมา เลยพูดด้วยอารมณ์เกินไปเหมือนกัน ลืมมันเสียเถอะ”
...ลืมได้ง่ายๆ ที่ไหนเล่า... สารพัดคำประชดประชันที่เธอพูดตอนนั้นยังวิ่งวนในหัวเขาอยู่เลย
“แต่...ยังไงฉันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี”
“ฉันเจอคนพูดไม่ดีกว่านี้มามากแล้วค่ะ พวกอัสลานบาปหนาบ้างล่ะ นอกรีตบ้างล่ะ ไปตายซะให้หมดบ้างล่ะ บางทีฉันยังนึกเลยว่า...พวกเราอาจจะบาปหนาจริงๆ ก็ได้ ถึงได้ตายตามคำแช่งกันมากมายขนาดนี้”
“แต่...” แมกนัสเริ่มไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี “ยังไงฉันก็อยากขอโทษ ฉันอุตส่าห์มาหาเธอถึงนี่แล้ว”
หญิงสาวมองเขานิ่งอยู่ นัยน์ตาสีเขียวหยกของเธอดูเหมือนสะท้อนแสงได้ดีเหลือเกินในความมืด ชายหนุ่มถูกมองมากเข้าก็เริ่มประหม่า ไม่รู้จะพูดอะไรดี นอกจาก...
“ฉัน...ขอโทษ ฉัน...ข...ขอโทษ เอ้อ...”
...ไอ้บ้า! ใครเขาขอโทษซ้ำๆ บ้างวะ! บอกเหตุผลที่ขอโทษสิโว้ย!... เสียงหนึ่งด่าเขาในใจ
...แต่แอนเธียก็รู้แล้วว่าขอโทษทำไม ขอโทษแค่นี้ก็พอแล้ว พูดครั้งเดียวพอ แม่เคยบอกว่ายิ่งพูดพร่ำเพรื่อจะยิ่งน่ารำคาญ จะดูเหมือนเสแสร้งไม่ใช่เรอะ...
...งั้นก็ของขวัญ ไอ้ที่แกเตรียมมาขอโทษเขานั่นล่ะ...
แมกนัสล้วงเข้าไปในเสื้อโค้ต หยิบช่อดอกไม้พลาสติกออกมา ถือค้างไว้ต่อหน้าหญิงสาวที่มองอย่างสงสัย ไม่มีวี่แววดีใจแม้แต่น้อยที่เห็นมัน
ครูเซเดอร์หนุ่มเพิ่งระลึกชาติได้ตอนนั้นเอง ว่าเธอทำดอกไม้ดินปั้น เหมือนจริงหรือเปล่าเขาไม่รู้หรอก เพราะไม่เคยเห็นดอกไม้ของจริงเลย (หรือถึงเคยมีดอกไม้จริงอยู่ในระยะสายตา ก็ไม่ใส่ใจจะมอง) แต่ดอกไม้ที่เธอทำก็สวย (เท่าที่ตาของคนไร้ศิลปะอย่างเขาจะมองออก) อย่างน้อยก็ต้องสวยกว่าดอกไม้พลาสติกกิ๊กก๊อกราคาถูกช่อนี้
“ฉ...ฉันรู้ว่ามันไม่ได้มีค่ามากมาย ไม่ได้สวยอะไรเลยด้วย แต่...แต่ฉันอยากให้เธอรู้ ว่าฉันขอโทษจริงๆ ฉันเลย...”
“ฉันเข้าใจค่ะ” แอนเธียพูดด้วยสีหน้าที่เขาบอกไม่ถูก มันเหมือนจริงจังแต่ก็ไม่ได้เคร่งเครียด เหมือนไม่ได้ยินดี แต่ก็ใช่จะไม่พอใจหรือไม่เป็นมิตร “แต่ที่จริงคุณไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย ถ้าฉันจะยกโทษให้คุณ ก็เพราะฉันเห็นว่าคุณขอโทษด้วยใจจริง ไม่ใช่เพราะของกำนัลอะไรทั้งนั้น”
แมกนัสได้แต่มองเธอเงียบอยู่ จนหญิงสาวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาทางช่อดอกไม้
“แต่ถ้าคุณอยากให้ฉันจริงๆ ฉันก็จะรับไว้ด้วยความยินดี ไม่เกี่ยวว่าต้องเป็นของราคาแพงหรือสวยงามยังไงหรอกค่ะ”
...แสดงว่าไอ้ดอกไม้นี่ดูน่าเกลียดสมราคาสินะ... ชายหนุ่มนึกอย่างปลงอนิจจัง แต่ก็ไม่พูดออกไป ได้แต่มองแอนเธียดูดอกไม้ช่อนั้น ใช้นิ้วไล้ไปตามกลีบดอกสีชมพูด้วยท่าทางครุ่นคิด ก่อนที่จู่ๆ เธอจะเรียกเขาในทันใด
“คุณแมกนัส” สายตาของหญิงสาวพลันเคร่งขรึมขึ้นจนเขาประหลาดใจ “ช่วยหลับตาได้มั้ยคะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย มองหญิงสาวที่โน้มตัวลง เอามือปัดม้านั่งจุดหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะวางดอกไม้ลงใกล้แถวนั้น แล้วหันมามองเขาอีกครั้ง
“นั่งตรงนี้ แล้วหลับตาได้มั้ยคะ” แอนเธียยิ้มอ่อนๆ “ห้ามขยับ ห้ามลืมตาจนกว่าฉันจะบอกให้ลืมตาได้ อย่าโกงนะคะ”
แมกนัสกลืนน้ำลาย หน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ไม่รู้เขาคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่คำขอนั้นท่าทางจะมีอะไร...ใกล้ชิดอยู่นั่นล่ะ
ชายหนุ่มทำตามคำบอกอย่างงงๆ แต่หากเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ ก็ใช่จะไม่ดีใจ บางที หากแอนเธียรู้สึกอย่างนี้กับเขา อะไรๆ คงจะง่ายขึ้น
ขณะหลับตาลงเห็นเพียงความมืด ใจเขาเหมือนจะเต้นโครมครามเป็นสองเท่า เสียงทุกเสียงแทบทำให้ลมหายใจผิดจังหวะ รู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นของอีกร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้า ใกล้เข้ามา มือเล็กๆ คู่หนึ่งวางบนบ่า และหน้าผากทาบแนบหน้าผาก
เป็นครั้งแรกที่แอนเธียอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ และแมกนัสก็แทบอยากดึงร่างของเธอเข้ามากอด ติดที่เธอห้ามไม่ให้ขยับตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงมีแต่ใจที่แล่นพล่านไปเรื่อย คิดว่าเธอคงมีใจให้เขาแน่นอน บางทีเธออาจจะกอดเขาเอง หอมแก้ม หรือไม่อย่างนั้นก็จูบ...
| จากคุณ |
:
Anithin
|
| เขียนเมื่อ |
:
15 ม.ค. 53 15:18:59
|
|
|
|