ความคิดเห็นที่ 1 |
. -๖-
จากห้องปฏิบัติการด้านศิลป์ หรือที่เรียกหรูๆ กันว่าสตูดิโอ ตุลยาเดินเคียงออกมาพร้อมปิ่มผลิน ในมือข้างหนึ่งของรายหลังมีอุปกรณ์สำหรับวาดและระบายสีหนึ่งชุด อีกข้างกอดกระป๋องทรงผอมยาวสามใบ ภายในบรรจุม้วนกระดาษอันเป็นภาพสเก็ตช์ของตนเองและอีกสองเพื่อนสาว
บัดนี้...หนึ่งในกลุ่มหายตัวไป...ปิ่มผลินต้องรับหน้าที่ขนอุปกรณ์ที่มีมากกว่าคนอื่นเกือบเท่าตัวของณหทัย รวมกับของตัวเอง เดินโซเซเลี้ยวจากหลังบันไดตึกคณะตรงไปยังห้องในมุมชั้นล่าง เหนือกรอบประตูนั้นปิดป้ายเลือนรางว่า
‘ห้องเก็บของ’
ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ให้รู้จักสถานที่ต่างๆ ณหทัยไม่เคยย่างกรายผ่านประตูบานนี้เข้าไปในห้องอีกเลย เช่นเดียวกับวันนี้ที่เจ้าหล่อนอ้างทันทีที่เรียนจบคาบ
‘ปีบ...ฉันฝากของไปเก็บที่ล็อกเกอร์แกเหมือนเดิม เดี๋ยวจะรีบไปจองโต๊ะในโรงอาหารให้...เที่ยงอย่างนี้โต๊ะเต็มไวจะตาย...!’
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเจ้าหล่อนผลุบหายได้ว่องไวปานนั้น...ทั้งนี้ต่อให้โรงอาหารจะอบอ้าว และชวนอึดอัดสำหรับคนที่มักเดินเข้าแต่ ‘ร้านอาหาร’ เพียงใด ทว่าถ้าให้เลือก...ณหทัยยอมไปนั่งฟังเสียงนกกระจอกแตกรัง ยังดีกว่าต้องตามหลังเพื่อนเข้าไปในสถานที่แห่งแรก
เพราะความที่อยู่ลึกเข้าไปยิ่งกว่าห้องใต้บันใด ห้องเก็บของของชาวศิลปกรรมจึงทั้งอับและมีบรรยากาศที่ไม่น่าพิสมัยอย่างยิ่ง
ห้องกว้าง หากการจัดเรียงชั้นล็อกเกอร์ตามขวางแบบยาวตลอด ทำให้ความกว้างที่มีถูกลบเลือนไป แต่ละแถวเรียงเป็นตับ มีช่องทางเดินแคบชนิดพอให้คนอ้วนสวนผ่านกันได้สองคนเฉพาะริมขอบ...หัวและหางแถว บางช่วงเว้นกว้างขึ้นได้หน่อย เพราะมีเสาผุดขวาง บนแต่ละเสานั้นแขวนกระจกเงาบานแคบ ยาวในทางตั้งลงไปจนเกือบจรดพื้น กระนั้นผู้จัดสร้างคงไม่ได้วางแผนหรือออกแบบเอาไว้ก่อน เพราะกระจกเหล่านั้นมิได้ทำมุมต่อกันอันจะเกิดผลให้แสงภายในห้องสว่างมากขึ้นเลย
ปกติตามเวลาเช่นนี้ถึงจะเปิดไฟก็ยังคล้ายกับไม่ได้เปิด หลอดฟลูออเรสเซนต์ยี่ห้อที่คณะใช้คงทำงานได้ทนนานอย่างน่าพิศวง สังเกตได้จากคราบฝุ่นจับเขรอะ จนตัวหลอดกลายเป็นสีเหลืองเก่าเข้าขั้นน้ำตาลแล้วก็ยังอุตส่าห์ใช้การได้...แม้แสงไฟที่ให้จะไม่อาจสู้ลำแดดจางๆ ที่ทอลอดมาจากช่องกระจก (เก่าเขรอะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน) ตรงรอยต่อระหว่างผนังกับเพดานนั่นลงมาก็ตามที
และเพราะความทึบอับดังกล่าว ภายในห้องจึงอวลระคนไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นานัปการ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกระดาษ กลิ่นสีเก่าแห้งกรัง บางสียังดูใหม่สด บางสีดำมืด แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่าสีแดงเข้มขุ่นแข็งราวกับคราบโลหิต โดยเฉพาะยิ่งมีกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ ของอะไรบางอย่างลอยเจืออยู่ในห้องด้วยเช่นนี้
ง่วงจัด ปิ่มผลินอ้าปากหาวหวอดๆ อย่างไม่กลัวต้องอายใคร
ก็ในเวลาอย่างนี้ ในห้องก็มีแต่ตุลยากับเธอเท่านั้นแหละ!
“แหมะ...” คำนั้นคือ ‘แหม’ ของสาวเสียงต่ำตัวอ้วน
"เมื่อคืนมัวแต่ทำอะไรอยู่ล่ะ เห็นปีบแทบจะสัปหงกตั้งแต่ในสตูแล้ว?”
คนถาม ถามพลางไขกุญแจเปิดบานประตูล็อกเกอร์ของตน
ล็อกเกอร์เป็นแบบช่องกว้างประมาณหนึ่งช่วงศอก ยาวตลอดความสูงของตัวตู้ มีช่องด้านข้างและแผ่นเหล็กสำหรับเสียบแบ่งเป็นชั้นได้ตามความต้องการของผู้เป็นเจ้าของ งานคณะทำให้นักศึกษามีเครื่องมือเครื่องไม้เยอะ แต่ถึงอย่างนั้นหลายรายก็ไม่ได้ใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์เท่าที่ควร
ล็อกเกอร์ของฝ่ายชายซึ่งอยู่อีกห้องไม่ไกลนัก...หากค้นออกมาคงพบว่าเต็มไปด้วยขยะ ลูกบอล ลูกบาส หรือสิ่งของอันเป็นไปในทางอบายซะมาก ด้านฝ่ายหญิงเองก็ใช่จะต่างกันซักเท่าไหร่
ไม่มีใครปฏิเสธได้หรอกว่าหนึ่งในแหล่งสะสมหรือซุ่มซ่อนความลับ ย่อมไม่พ้นไปจากชั้นล็อกเกอร์ส่วนตัวของแต่ละคน
“จะบ้าตาย! ของที่จะล้นออกมาจากล็อกเกอร์ฉันนี่มีแต่ของของยัยหทัยบ้าหอบฟางทั้งนั้น!”
ปิ่มผลินไม่ได้ตอบคำถามเพื่อน เปิดประตูออกมาก็มีเรื่องให้โวยเสียก่อน
“เออะ! นี่ยังไม่ได้ขอลูกกุญแจของหทัยมาอีกเหรอปีบ? ของของหทัยก็เก็บใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของมันสิ”
สาวอ้วนหันเหความสนใจไปตามคำ ถามมาจากหลังบานประตูล็อกเกอร์ซึ่งอยู่ห่างไปเพียงหนึ่งล๊อก...ล๊อกกลางก็เป็นของสาวตัวดีที่ถูกพูดถึงอยู่นั่นแหละ
“จะว่าไปล็อกเกอร์ของฉันก็เริ่มจะเต็มเพราะสมบัติของหทัยแล้วเหมือนกันนะเนี่ย”
“คุณเธอบอกว่าทำลูกกุญแจหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ล่ะ”
“หา?!” คำอุทานไร้อารมณ์สิ้นดี “แล้วอย่างนี้ของที่เก็บไว้ข้างในนั่นล่ะ?”
“เฮอะ!” คนเป็นคู่ปรับ ยักไหล่ “พนันได้เลยว่ายัยนั่นตั้งใจไม่เก็บอะไรไว้ตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า นี่ฉันยังสงสัยว่ามันคงจะเป็นคนโยนลูกกุญแจทิ้งไปเองด้วยซ้ำ จะได้หาข้ออ้างไม่ต้องเข้ามาทำสปาในนี้ได้เนียนขึ้นไง!”
“เหอะ...” คราวนี้แทนเสียงต้นของการกลั้วหัวเราะ
“สปากลิ่นศพ!”
ในที่สุดคนตัวใหญ่กว่าก็เป็นฝ่ายยัดและปิดล๊อกประตูได้สำเร็จก่อน ตุลยาก้าวมาหาเพื่อน
“ช่วยมั้ย?”
“ไม่เป็นไร”
“งั้นเดี๋ยวรีบเก็บแล้วตามออกไปแล้วกันนะ ในนี้ทั้งร้อนทั้งเหม็นจะตาย แล้วปีบเคยได้ยินมั้ย...ข่าวลือที่ว่าเคยมีคนตาย...แล้ววิญญาณล่องลอยอยู่ในนี้น่ะ?”
“พอเลย!”
เจ้าของเรื่องกุที่ใช้น้ำเสียงได้ไร้ความน่ากลัวโดยสิ้นเชิง ถึงกับหัวเราะเอิ๊ก โดยเฉพาะกับคำรู้ใจถัดมา
“หิวแล้วล่ะสิไม่ว่า อยากรีบไปสั่งของกินนักก็ออกไปก่อนเลยไป๊!”
“แหมะ...งั้นรีบตามไปล่ะ ไม่อยากทิ้งเพื่อนเลยจริงๆ”
ปิ่มผลินยังแสร้งหยิบจับข้าวของใส่ล็อกเกอร์ต่อไป ลอบเหลือบจนพบว่าลับหลังร่างอ้วนหนาแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
ไม่เชี่ยวชาญในการแต่งเรื่องปด...ดีนะที่ล่อใจสาวอ้วนไปเรื่องอื่นเสียได้ ไม่งั้นมีหวังถูกเจ้าตัวซักไซ้จนต้องหลุดความจริงออกไปแหงๆ
จะให้รู้ได้อย่างไร... ใช่! ต่อให้เป็นใครอื่นก็ยังให้รู้ไม่ได้...
ปิ่มผลินปิดปากสนิทเรื่องที่มีตำรวจมาค้นห้องเมื่อสามวันก่อน
อีกทั้งเมื่อเกือบค่อนคืนที่ผ่าน...
หญิงสาวติดพันอยู่กับบทสนทนาทางโทรศัพท์เรื่องกาสะลอง!
‘ส...สวัสดีค่ะคุณป้า...ยังจำหนูได้มั้ยคะ? ปีบ...คนที่มาอยู่ห้องเก่าของข้าเจ้า...ลูกสาวของคุณป้าไงคะ...’
ด้วยตระหนักแล้วว่า ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมา...ผ่านไปโดยทำราว ‘ไม่มีอะไร’ เกิดขึ้น... หญิงสาวตัดสินใจกดเลขหมายที่ขอจดเอาไว้ ต่อสายถึงนางคำหอมหลังจากเหตุการณ์ตรวจค้นล่วงพ้นไปเพียงสองวัน
‘หนูปีบ! สวัสดีจ้ะ ดีใจที่หนูโทรมา...’
ปลายสายมิได้พูดตามมารยาท เสียงหวานที่มักราบเรียบนั้นมีวี่แววตื่นเต้นกระตือรือร้น
หลังจากถามทักกันได้อีกสองสามประโยค ปิ่มผลินไม่รอช้า รีบวกบทสนทนาเข้าเรื่องที่อยากรู้
“ตอนนี้ได้ข่าวความคืบหน้าของข้าเจ้าบ้างรึยังคะ?”
แม้จะอายุน้อยกว่าผู้ถูกพูดถึงประมาณหนึ่งปี ปิ่มผลินก็สะดวกปากเรียก ‘ข้าเจ้า’ เฉยๆ มากกว่าจะเติม ‘พี่’ ลงไปด้วย โชคดีที่คนระเบียบจัดไม่ยักคัดค้าน
“จ้ะ ป้าเองก็เพิ่งโทรถามคุณตำรวจที่ชื่อหมวดแสนวิชชาเหมือนกัน...”
ร.ต.ต.แสนวิชชา...นายตำรวจวัยราวสามสิบรูปร่างบึกบึน น่ามองกว่าอีกรายที่ได้ยินชื่อว่าจ่าสมทบ...
ผู้หมวดคนที่ก่อนกลับยังอุตส่าห์หันมาขอบใจสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างเธอด้วย
‘...เขาว่าข้าเจ้าเก็บข้าวของออกจากหอพักแล้วจริงๆ...’
ในชั้นต้น...จากคำบอกเล่าของกำหนดผู้เป็นเจ้าของหอพัก...กาสะลองออกปากคืนห้องก่อนย้ายจริงประมาณสองวัน
‘...คืน...โดยไม่จองต่อ...มันมีความหมายว่ายังไงหนูรู้มั้ยจ๊ะ?’
‘ก็...’ หญิงสาวลากเสียงยาว ครุ่นคิด
‘อาจจะไม่อยากอยู่หอนี้ต่อ...คุณป้าก็เห็นว่ามันเก่าโทรมขนาดไหน ข้าเจ้าเองก็คงเหมือนหนู...ต้องอยู่เพราะไม่มีทางเลือก บางทีเขาอาจคิดว่าเทอมหน้าจะรีบจองหอในมหาวิทยาลัยให้ได้ก่อน หรือไม่งั้นก็อาจไปอยู่หอนอกอื่นเลยที่ไม่ใช่หอนี้...ที่จริงหนูเองยังคิดอย่างนั้นเลยค่ะ’
ปิ่มผลินคิดอย่างนั้นจริงๆ และคงเพราะเป็นความคิดที่ตั้งใจไว้ จึงกลายเป็นสิ่งแรกที่หลุดปากไป
หาก...นั่นแหละ ความเงียบของปลายสายทำให้รู้สึกคล้ายตัวเองพูดผิด
ผู้มากวัยกว่าคงถามเพราะต้องการความเห็น...ความเห็นที่อาจช่วยคลายความไม่สบายใจในอกได้บ้าง
ใช่...ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าบัดนี้ลูกสาวหายไปไหน เป็น...หรือตาย... ถึงอย่างไรผู้เป็นแม่ก็ต้องพยายามลบประเด็นหลังทิ้ง
ทว่า...ถ้ากาสะลองยังมีชีวิตอยู่...มีชีวิตอยู่โดยไม่กลับมาเรียนต่อ การคืนห้องพักโดยตั้งใจไม่จองล่วงหน้าแต่แรก อาจหมายความว่าหญิงสาวมีทางเลือกอื่น...
ทางเลือกที่มิใช่การศึกษา...
แน่ล่ะ ปิ่มผลินเองก็รู้ดีว่าเกราะคุ้มกันภยันตรายในสังคมกว้างนั้น...สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคำสอนและความรักความอบอุ่นที่พ่อแม่มีให้แก่ลูกน้อยนั่นเอง ด้วยว่าอาวุธหรือเกราะใดจะได้ผลยิ่งกว่า ‘ภูมิคุ้มกัน’ เป็นไม่มี คำสอนที่ถูกต้อง ความรัก ความอบอุ่นจะหล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นมาด้วยความสมบูรณ์แข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่หันเหเบนเบี่ยงไปบนเส้นทางสายอันตรายที่มีนับไม่ถ้วนในโลกภายนอก ผู้ที่มีพร้อมแล้วจะไม่ต้องแสวงหา เด็กที่มีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่ในบ้าน...จะไม่เห็นความจำเป็นให้ต้องออกไปพึ่งพาเพิ่มเติมนอกบ้านเลย...
ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่กาสะลอง
มีหรือคนเป็นแม่จะไม่รู้ว่าลูกสาวเป็นเช่นไร
กาสะลองแข็งนอก แต่อ่อนใน คนอย่างนี้พลาดพลั้งได้ง่ายเพียงเพราะความรักความห่วงใยจอมปลอมจากผู้ไม่ประสงค์ดี
แล้วทีนี้...ถ้าเพียงแต่หญิงสาวถูกมอมเมา ชักจูงด้วยความปรารถนาดีที่ลวงตา... ป่านนี้เธอจะอยู่ที่ไหน?
หรืออีกทาง...หากกาสะลองต้องการย้ายไปอยู่หออื่น... เช่นนั้นย่อมหมายถึงเจ้าหล่อนยังตั้งใจ มั่นคงอยู่ในการเรียนไม่เปลี่ยน
ทว่า...เหตุใดเธอจึงไม่กลับมา...?
ได้ฟังเช่นนี้ มีหรือ ‘ประเด็นหลัง’ นั่นจะไม่ผุดขึ้นมาในความคิดของผู้เป็นแม่
ตาย...หรือไม่...กาสะลองก็ต้องอยู่ในที่ที่ไม่สามารถออกมาได้...ออกมาเพื่อเรียนต่อในคณะที่เธอรัก...
หาก...อีกแหละ...สถานที่นั้นคือที่ไหน...?
ตาย...หรือ...ไม่ตาย...
ไม่ว่าจะเป็นทางสายใดล้วนแต่ไม่น่าจินตนาการถึงเอาเสียเลย!
‘อย่างนี้ก็แสดงว่า...’ ปิ่มผลินเป็นผู้เรียกเสียงของตัวเองกลับมาได้ก่อน หญิงสาวพยายามเบนความหมกมุ่นของนางคำหอมให้ห่างไปจากความคิดเดิม
‘ข้าเจ้าขนของออกจากหอในวันที่...?’
‘ยี่สิบแปดกุมภา...' คนฟังเองก็เรียกความคิดคืนมาเช่นกัน
‘เห็นคุณกำหนดเล่าว่า ข้าเจ้าบอกว่าเป็นวันสอบวันสุดท้ายพอดี...สอบเสร็จประมาณบ่ายสามโมง...’
เออ...ความผิดแปลกผุดขึ้นอีกครั้งในความคิด
กาสะลอง...ลูกสาวที่แทบไม่อาจเข้าหน้ากับผู้เป็นแม่ได้...เหตุใดรีบกลับบ้านไวถึงเพียงนั้น ทั้งๆ ที่ยังมีเวลาอยู่หอต่อได้อีกนาน...อย่างน้อยสำหรับโอ้เอ้พักผ่อนหลังสอบเสร็จ หรือจัดข้าวของ... นั่นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดูเข้าท่ากว่าเร่งเวลากลับไปเผชิญคำกล่าวว่า ความเฉยชา กระทบกระเทียบจากผู้เป็นแม่
หรือว่าห้วงเวลาอันยาวนานจะทำให้หญิงสาวคิดถึงมารดา?
เช่นนั้น...เหตุการณ์แต่ละครั้งที่สนทนากันทางโทรศัพท์จะอธิบายได้ว่าอย่างไร?
หรือกาสะลองคิดถึงเพื่อน?
เพื่อน...
แน่แล้ว! เหตุผลหนึ่งที่ไม่ทิ้งช่วงห่างย่อมเป็นเพราะ...เพื่อน...
กาสะลองคงไม่มีเพื่อนที่นี่!
.
| จากคุณ |
:
ปราปต์ (งี่เง่าบอย)
|
| เขียนเมื่อ |
:
18 ม.ค. 53 11:43:48
|
|
|
|