Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Blessing of the sword ตอนที่ 3  

Back to Chapter 1+2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8755300/W8755300.html

---------------------------------------------------------

Chapter 3

“มันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว...”
คำตอบที่ทิลฟิงค์ให้กับชูไทน์เนอร์เมื่อเขากล่าวถามถึงเจ้าอสุรกายน้ำสแวมป์บีส ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นคำตอบที่มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมากขึ้น แต่เขาจะไปตามหามันได้จากที่ใหนล่ะ ในเมื่อมันอยู่ในที่ ๆ เขาไม่สามารถวิ่งไล่ได้ง่าย ๆ แบบไลแคนโทรป หรือตัวอื่นที่อยู่บนพื้นดิน

ชูไทน์เนอร์นั่งหน้าเครียด เพราะเขาพยายามคิดหาหนทางต่าง ๆ เพื่อยั้บยั้งการกระทำของสแวมป์บีส โดยมีทิงฟิงค์เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ หากแต่สำหรับทิลฟิงค์มันเงียบจนตัวมันเริ่มรู้สึกรำคาญ

“นี่...เจ้าหนู ยังพยายามคิดหาทางลากเจ้าสแวมป์บีสมาจัดการอีกเรอะ” น้ำเสียงของทิลฟิงค์ดูเอือม ๆ กับความดื้อรั้นของ
ชูไทน์เนอร์พอสมควรทีเดียว เพราะมันได้บอกความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว หากแต่ก็หาได้ทำให้ชูไทน์เนอร์เลิกล้มความตั้งใจไม่

ชูไทน์เนอร์ที่ก้มหน้าก้มตานั่งคิดอยู่เงยขึ้นมามองทิลฟิงค์  สายตาของเขายังคงมีประกายแห่งความหวังอยู่อย่างมาก ด้วยเขาไม่คิดว่ามันจะไร้ซึ่งหนทางในการตามหาและหยุดยั้งเจ้าสแวมป์บีสซะเลยทีเดียว แต่กระนั้นเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาแรง ๆ เพราะแม้เขาจะมีความหวัง ศรัทธา หรืออะไรก็ตาม แต่ความเป็นจริงคือ เขายังคงมืดแปดด้านอยู่ดี

สิ่งที่เห็นนั้นทำให้ทิลฟิงค์ได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายในใจของมันเอง ไม่รู้จะเรียกว่ายอมแพ้ในความตั้งใจอันเต็มเปี่ยม หรือความเบื่อหน่ายในความดื้อด้านของผู้เป็นนายของมันกันแน่

‘เอาวะ อารมณ์ยังกับเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ เลย’

ทิลฟิงค์รำพึงในใจก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความไม่แน่ใจซักเท่าไหร่

“ถึงข้าจะไม่สามารถไล่หาเจ้าสแวมป์บีสนั่นได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าถ้าไล่ตามกลิ่นไปเรื่อย ๆ อาจจะได้เบาะแสของ ‘ผู้ที่นำมันมา’ ก็เป็นไปได้อยู่”

สิ่งที่ทิลฟิงค์กล่าวทำให้ชูไทน์เนอร์ที่นั่งเครียดตาโตแสดงอาการสนใจ และมีกำลังใจเหมือนต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวได้รับน้ำเย็น รดลงไปเลยทีเดียว

“ถ้าทำแบบนี้ได้ก็น่าจะบอกแต่แรกนะ ทิลฟิงค์” เขาพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ทิลฟิงค์ กระนั้นในคำพูดเขาก็อดที่จะค้อนเจ้าอาวุธช่างพูดของเขาไม่ได้ที่ปล่อยให้เขาแห้งเหี่ยวหมดกำลังใจไปพักใหญ่ทีเดียว

ทิลฟิงค์เงียบไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางความดีใจจนยิ้มออกมาของผู้เป็นนาย มันเองก็ไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับเขาหรอก เพียงแต่เสนอทางที่น่าจะแก้ปัญหาน่าเบื่อตรงหน้าตัวเองได้เท่านั้น ทว่ารอยยิ้มของชูไทน์เนอร์นั้นช่างสั้นนัก เมื่อทิลฟิงค์ได้เอ่ยถามในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

“แล้วเจ้าพร้อมที่จะประหัตประหาร ‘ผู้ที่นำมันมา’ หรือไม่ล่ะ เจ้าหนู”

ข้อคำถาม และน้ำเสียง มันช่างเย็นชาจนชูไทน์เนอร์ถึงกับยิ้มไม่ออก ในใจของเขาไม่เคยคิดเรื่องที่ต้อง ‘ฆ่าคน’ มาก่อน
แน่ล่ะถ้าให้เขาไล่ฆ่าฝูงสัตว์ประหลาด หรือปีศาจล่ะก็ มันยังไงก็ได้ไม่ใช่ปัญหาต่อการตัดสินใจ แต่ที่ทิลฟิงค์ถามมันย่อมหมายถึง เขาอาจจะต้องเข่นฆ่ามนุษย์เฉกเช่นเดียวกันกับเขา เช่นนั้นหรือ

“ต้องฆ่าเลยงั้นรึ ทิลฟิงค์” ชูไทน์เนอร์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที เขาไม่ได้หวังคำตอบว่า ‘ต้องฆ่า’ จากทิลฟิงค์

“ข้าคิดว่า ‘จำเป็นต้องทำ’ นะเจ้าหนู” นั่นประลัย... สิ่งที่ชูไทน์เนอร์ไม่อยากได้ยินหลุดออกมาจากทิลฟิงค์จนได้

“ทำไมล่ะ ทิลฟิงค์ จำเป็นขนาดเลยรึไงที่ต้องฆ่าผู้ที่นำพามันมา” ชูไทน์เนอร์โต้ตอบกลับไป เขาไม่ได้เห็นว่าการไล่ฆ่าผู้ทำความผิดที่เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเขานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องสักเท่าไหร่ แน่ล่ะเขาไม่ใช่ผู้ตัดสินชะตากรรมของมนุษย์สักหน่อย

“งั้น ข้าต้องถามเจ้าล่ะ เจ้าหนู....” ทิลฟิงค์ทิ้งคำไว้ เหมือนกับว่ามันกำลังคิดจะถามคำถามอะไรที่อาจจะทำให้ชูไทน์เนอร์ต้องอึ้งไปได้มากกว่านี้

“พวกเจ้าเหล่ามนุษย์ มีสิทธิ์อันใดในการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตบนโลกแห่งนี้ แม้แต่เหล่าปีศาจหรืออสุรกายต่าง ๆ”
เป็นคำถามที่ทำให้ชูไทน์เนอร์อึ้งจริง ๆ มันเป็นเหมือนปัญหาโลกแตกที่สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดตอบได้แน่ ๆ เพราะหากเขาตอบไปว่า เขาเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ แล้วเกิดทิลฟิงค์ย้อนกลับมาว่า ถ้าพวกเทพเจ้าลงมาเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยเหตุผลว่าพวกนั้นประเสริฐยิ่งกว่า มนุษย์จะกล้ารับเหตุผลนี้รึไม่ นั่นทำให้ชูไทน์เนอร์นิ่งเงียบ ด้วยปัญญาของเขา เขาไม่สามารถตอบคำถามของทิลฟิงค์ได้เลยจริง ๆ

ทิลฟิงค์ได้เพียงแต่เงียบรอคอยคำตอบ หากแต่เมื่อไม่มีคำตอบ มันจำต้องเป็นผู้ตอบคำถามนั้นซะเอง

“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ เว้นแต่เจ้าจะกระทำไปเพื่อป้องกันตนเอง และเผ่าพันธุ์ของเจ้า”
“และเพื่อการนั้น แม้ต้องประหัตประหารเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเจ้า ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด”
“นี่ไม่ใช่รึ สิ่งที่เจ้าควรทำ ‘เพื่อปกป้องผู้คนที่เจ้าใส่ใจอยู่ ณ เวลานี้’ เจ้าหนู...”

คำตอบของทิลฟิงค์ไม่ได้ทำให้ชูไทน์เนอร์ทำใจได้เลยสักนิด แต่มันก็ไม่ได้ไร้ซึ่งเหตุผล นั่นสินะ บางทีถ้าเขาต้องเลือกที่จะปกป้องใครสักคน เขาคงต้องเลือกว่าจะต้องเสียสละสิ่งใดไปบ้าง เพราะเขาคงไม่สามารถปกป้องทุกสิ่งได้โดยสมบูรณ์เป็นแน่ ความคิดนี้ทำให้เขาได้แต่เพียงนั่งทำใจ ถ้าเขาเลือกที่จะไล่ตามมันไป แน่นอนภายใต้สถานการณ์ที่ต้องปะทะกัน การล็อคคอไปส่งตำรวจแล้วบอกว่า ‘เจ้านี่พาอสุรกายนั้นมาฆ่าคนครับ’ มันคงเป็นเรื่องน่าชวนหัวสุด ๆ เลยทีเดียว

“แล้วก็...” ทิลฟิงค์กล่าวขึ้นมาให้ขณะที่ชูไทน์เนอร์นั่งเครียดกับเรื่องที่ต้องฆ่าผู้ท่พาเจ้าสแวมป์บีสมา จนเขาต้องกลับมาจดจ้องที่ทิลฟิงค์อีกครั้ง

“ถ้าเจ้าผ่านศึกครั้งนี้ ข้าว่าเจ้าจะได้ไปพัวพันกับศึกใหญ่ในอนาคตเป็นแน่”

พัวพันงั้นเรอะ ไปกันใหญ่แล้ว ทิลฟิงค์กล่าวซะจนเขานึกไปถึงว่าจะเป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ซะอย่างงั้นล่ะ

“หมายความว่ายังไงกันทิลฟิงค์?” เขาถามย้ำกับทิลฟิงค์เพื่อให้ได้คำตอบที่เข้าใจง่ายขึ้น

“ข้าเองก็ตอบไม่ได้นัก จนกว่าจะเห็นเจ้าตัวการเรื่องนี้ เมื่อนั้นล่ะ คำตอบจะต้องปรากฏตรงหน้าเจ้าเป็นแน่” ทิลฟิงค์ตอบอย่างเรียบ ๆ เพราะตัวมันเองก็ไม่ได้อยากฟันธงอะไรลงไปในสิ่งที่มันเพียงแต่คาดคะเน

“อย่างไรเสีย เจ้าควรจะพักซะเถอะ คืนนี้เราอาจจะต้องออกยาวกันทั้งคืนแน่ ๆ เตรียมใจไว้ได้เลยเจ้าหนู” ทิลฟิงค์กล่าวเตือนชูไทน์เนอร์ เพราะมันคิดว่าถ้าชูไทน์เนอร์ไม่พร้อมพอ การรับมือกับศัตรูอาจจะทำได้ยากแน่นอน ซึ่งชูไทน์เนอร์ก็พยักหน้ารับ เขาเองก็คิดเช่นนั้น หากศัตรูเป็นมนุษย์และมีความสามารถขนาดพาเจ้าอสุรกายแบบนี้มาอาละวาดในเมืองได้ คงจะเก่งไม่ใช่เล่น ๆ ทีเดียว

ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสองเท่านั้น แต่เขาก็คงทำได้เพียงพักเอาแรงให้เต็มที่ตามคำแนะนำของทิลฟิงค์ เขาจึงลุกไปปิดคอมพิวเตอร์แล้วขึ้นนอน เพื่อรอคอยเวลา ‘ไล่ล่า’ เท่านั้น

......
ชูไทน์เนอร์ยื่นอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เปลวไฟโหมกระหน่ำไปทั่วทุกทิศ
“ทุกคนถอยออกไปเร็ว” เสียงของผู้หญิงผิวสีเข้มคนหนึ่งตะโกนบอกเขา
ในมือของชายผู้หนึ่งอุ้มเด็กตัวเล็ก ๆ ออกมาจากกองเพลิง พลางตะโกนถาม
“คนอื่น ๆ ล่ะ?!”
“ไม่เป็นไร คนที่รอดหลบซ่อนในที่ปลอดภัยแล้ว” หญิงผิวขาวคนหนึ่งกล่าวพลางวิ่งมาทางเขา
หากแต่ตัวเขาได้แต่เพียงยืนตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
นางในฝันของเขาบินอยู่บนฟ้าด้วยปีกสีฟ้าอ่อน เธอกำลังเข้าปะทะกับผู้หญิงอีกคนที่หน้าตาแทบจะเหมือนกันราวกับแกะทีเดียว ต่างกันเพียงแค่เธออีกคนนั้นไม่ได้มีปีกเท่านั้นเอง
บนฟ้า มันดูสว่างเรืองรองด้วยแสงสีฟ้าอ่อนเป็นวงกว้าง ทั้ง ๆ ที่ทางด้านอื่นกลับมืดมิดราวกับยามราตรี
บนวงนั้นมีแท่งแหลม ๆ อะไรซักอย่าง เคลื่อนตัวลงมาอย่างช้า ๆ แทบทุกจุดบนฟ้าที่เป็นวงนั่นเลยก็ว่าได้
ถ้าดูจากนางในฝันของเขาให้อยู่ที่จุดศูนย์กลาง วงสีฟ้านี้น่าจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ไมล์ได้เลยทีเดียว
“ไอ้บ้าเอ้ย เจ้าจะยืนตะลึงอะไรอยู่!!” ชายที่อุ้มเด็กตะโกนใส่เขาพลางวิ่งมาล็อคตัวเขาไป
แสงสว่างจากเจ้าแท่งแหลม ๆ บนฟ้า มันเริ่มร่วงหล่นลงมาสู่เบื้องล่าง ราวกับห่าฝน จนเห็นรูปร่างที่เหมือนหอก
นับพัน นับหมื่นด้ามที่พุ่งลงสู่เบื้องล่าง แสงของมันช่างแสบตาเหลือเกิน
...........

จากคุณ : joyka
เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 20:20:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com