ความคิดเห็นที่ 1 |
ที่จริงฉันควรขับรถกลับบ้านเพื่อเตรียมการเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่อย่างที่บอก ฉันรู้สึกว่าวันนี้โกหกจนเกินงามแล้วค่ะ ฉันเลยขับรถไปที่สยามเพื่อเที่ยวจริงๆ อย่างน้อยก็จะได้บรรเทาความรู้สึกผิดในใจตัวเองไปบ้าง
ไหนๆขับรถอยู่ แล้วรถก็ติดยาวเป็นหางว่าวอยู่อย่างนี้ ฉันขอฆ่าเวลาด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่ปรินซ์ให้ฟังดีกว่าค่ะ
เห็นๆพี่ปรินซ์หล่อขั้นเทพแถมยังมีรอยยิ้มเทพบุตรเป็นอาวุธมัดใจสาวๆอย่างนี้ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันเจอเขาแรกๆ เขาเหมือนคนละเรื่องกับตอนนี้เลยค่ะ
พูดไปเขินไป เข้าเรื่องดีกว่าค่ะ อ้อ...ฉันอาจต้องเท้าความถึงคนอื่นๆในครอบครัวของพี่ปรินซ์ก่อนสักหน่อย อดใจรอนิดนะคะ
จริงๆบ้านนั้นเขามีพี่น้องกันสามคนค่ะ มีผู้ชาย 2 คน ผู้หญิงหนึ่งคน ตอนนี้พี่ปรานต์ซึ่งเป็นพี่คนโตเป็นประธานบริษัทของครอบครัวค่ะ แล้วรองลงมาก็พี่ปรินซ์...ปริญญา ส่วนอาชีพก็อย่างที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว จากนั้นก็ตามมาด้วยหนูดี... ปรียานุช (จริงๆก็มีที่มาที่หนูดีชื่อเล่นต่างจากคนอื่นนะคะ หนูดีเป็นลูกสาวหลานสาวสุดที่รักเพราะวงศาคณาญาติบ้านนี้แทบไม่มีเด็กผู้หญิงเลยค่ะ แล้วหนูดีก็เป็นลูกหลง คิดดูสิคะว่าอายุห่างจากพี่ปรินซ์ตั้ง 8 ปีแน่ะ ทุกคนโอ๋ใหญ่เลย แล้วตอนเกิดแรกๆยังไม่มีชื่อก็เลยเรียกหนูดีจนติดปากเสียแล้ว ก็เลยเลยตามเลย)
พี่น้องบ้านนี้เหมือนกันค่ะ ไม่รู้สมองทำด้วยอะไร หรือพ่อแม่ให้กินอะไรมาตั้งแต่เด็กถึงได้เก่งๆกันทุกคนขนาดนี้ ที่จริงฉันก็อยากพร่ำถึงประวัติการศึกษาของแต่ละคนให้ฟังแต่เกรงว่าจะเบื่อกันเสียก่อน
ทีนี้เจ้าความเก่งที่ฉันว่านี่แหละค่ะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่ฉันเจอพี่ปรินซ์ครั้งแรก
ฉันสนิทกับหนูดีตั้งแต่ปีหนึ่งค่ะ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆแต่ตอนนั้นฉันยังไม่ได้พบพี่ปรินซ์หรอกนะคะ ตอนนั้นฉันรู้ว่าเขากำลังเรียนอยู่ที่เมืองนอก ฉันรู้จักเขาผ่านหนูดีเท่านั้นเองซึ่งหนูดีก็ไม่ได้พูดถึงพี่ชายบ่อยมากนัก คงเพราะอายุห่างกันเหลือเกิน แล้วก็อยู่เมืองนอกหลายปี แต่เมื่อขึ้นปีสอง ฉันจำได้ติดตาเลยค่ะว่าวันนั้นฉันไปบ้านหนูดี ตั้งใจว่าจะไปทำรายงานด้วยกัน ฉันขับรถตามหลังหนูดีเข้าไปภายในบ้านตามปกติ แล้วฉันก็แปลกใจเมื่อเห็นรถสปอร์ตใหม่เอี่ยมสีดำสุดเท่ห์จนคิดว่าหากฉันบ้ารถกว่านี้คงไปเกาะกระจกชะโงกสำรวจถี่ยิบเพราะดีไซน์ของมันแน่นอนค่ะ เผอิญฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยได้แต่มองอย่างประหลาดใจแล้วมองหาที่จอดถัดไปในเขตที่จอดรถบ้านหนูดี
ที่จอดบ้านหนูดีมีเหลือเฟือค่ะ แต่ก่อนจะไปจอดได้ก็ต้องผ่านรถอีกหลายยี่ห้อหลายคันเสียก่อน
รถใครหรือหนูดี ฉันอดถามไม่ได้เมื่อก้าวลงจากรถพร้อมหอบหนังสือที่ไปยืมมาจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
รถพี่ปรินซ์น่ะ หนูดีตอบ บ้าหอบฟางพอกัน กลับมาถึงพี่ปรานต์เลยซื้อให้เป็นของขวัญต้อนรับ
บ้านนี้เขาต้อนรับกันอลังการดีว่าไหมคะ
ฉันพยักหน้าแล้วก็เดินออกจากโรงรถเพื่อเดินเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนที่จอดรถบ้านหนูดีก็อยู่มุมหนึ่งตัดผ่านด้วยทางราดคอนกรีตไปสู่ตัวบ้าน และอีกฟากของทางรถนี้ก็เป็นสวนที่ตกแต่งด้วยหญ้าสีเขียวสดเหมือนสนามฟุตบอลในอังกฤษ ต้นไม้ตัดเป็นพุ่มน่ารัก บางต้นก็ตัดแต่งเป็นรูปตัวละครอย่างมิ้กกี้เมาส์ โดนัลดักส์
ก็อย่างที่บอกไงคะว่าหนูดีเป็นที่รักขนาดไหน
ทำไมเป็นช่างตัดผมแล้วมันผิดตรงไหน ก็ผมชอบของผม!
เสียงโหวกเหวกดังลอดออกมาจากตัวบ้านทำให้ฉันซึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดตรงประตูด้านหน้าแทบชะงักไป เสียงนั้นไม่คุ้นเคยซึ่งฉันเดาได้ทันทีว่าต้องเป็นพี่ชายคนกลางของหนูดีเป็นแม่นมั่น ท่าทางเขาเลือดร้อนไม่น้อยเมื่อฉันไม่ได้ยินเสียงคู่สนทนาพูดอะไรเลยแต่ก็ยังได้ยินเสียงเดิมอีกครั้ง
นักศึกษาคอร์เนลล์ แล้วไง! ก็ไหนบอกผมว่าปริญญาเรียนไว้ให้คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ไม่ได้สูงส่งมาจากไหน แล้วที่อยากให้ผมเรียนผมก็ตามใจให้แล้ว พอผมอยากทำอะไรทำไมไม่ตามใจผมบ้าง ชีวิตผมนะ!
ไอ้หยา! แรงค่ะแรง
หนูดีขมวดคิ้วตั้งแต่ประโยคแรกแล้วล่ะ พอประโยคสองปุ๊บ ร่างป้อมของหนูดีก็รีบวิ่งไปห้ามศึกที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างซึ่งคงเปิดประตูทิ้งไว้หรืออะไรก็ตามเสียงถึงได้ลอดออกมาดังขนาดนี้ แต่ร่างป้อมนั่นวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาบอกบุญไม่รับแต่กระนั้นรัศมีคิม ฮยอน จุงก็ยังพอปรากฏให้เห็นเค้ารางอยู่บ้าง ร่างสูงนั่นเดินก้าวเท้าฉับๆออกมา เขาชะงักไปนิดเมื่อเห็นหน้าตาน้องสาวเรื่อยเลยมาที่ฉันซึ่งคงเบิกตากว้างตกตะลึงอยู่ เขาปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มให้หรือเรียกให้ถูกคงจะเป็นฉีกปากให้เสียละมากกว่า
หนูดีกลับมาตั้งแต่เมื่อไร หอบอะไรมาเยอะแยะ
หนูดีกระพริบตา
ทำรายงานค่ะ ร่างสูงหยิบกองหนังสือออกจากมือหนูดีมาถือไว้เสียเองแล้วหันมามองทางฉัน ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมาดูดุจนฉันนึกขยาดในใจเลยค่ะ รีบยกมือไหว้เขาเงอะงะที่สุดจนกองหนังสือแทบร่วงจากมือ
เพื่อนหนูดีค่ะ ชื่อผักกาด
เขาเลิกคิ้วทันที แต่มือใหญ่นั่นก็แบมือขยับนิดหน่อยเพื่อบอกว่าให้ฉันส่งหนังสือมาให้เขา แต่ฉันได้แต่มองอย่างเกรงใจจนเขาเริ่มทำหน้าบึ้งอีกครั้งฉันจึงรีบส่งให้ทันที
ชื่อเก๋ดีนี่ เสียงทุ้มนั่นวิจารณ์
คือ... ฉันอึกอัก จริงๆชื่อผกาค่ะ ผกาแก้ว แต่เพื่อนๆเรียกผักกาด
และถ้าเวลาต้องการเรียกเต็มยศจะเรียกผักกาดแก้ว ดูสิคะว่าเพื่อนฉันหัวคิดบรรเจิดแค่ไหน
พี่ปรินซ์พยักหน้าแล้วหันไปถามหนูดีว่าจะไปทำที่ห้องไหน หนูดีเลยบอกให้เขาช่วยยกไปห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นบน ซึ่งเป็นห้องที่เราใช้กันประจำเวลาทำงาน เพราะกว้างพอ นั่งเล่นนอนเล่นก็สบาย มีแลปทอปตัวเดียวก็เหลือแหล่แล้ว พี่ปรินซ์พยักหน้าแล้วเดินจากไปในขณะที่หนูดีพยักหน้าให้เดินตามเขาไปก่อนส่วนตัวเองรีบผลุบเข้าไปในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ต้นห้องของการทะเลาะกันเมื่อครู่
ฉันยืนลังเลอยู่อย่างนั้น จะตามร่างของพี่ชายคนรองไป ฉันก็รู้สึกเกรงอย่างบอกไม่ถูก ครั้นจะตามหนูดีไป นั่นก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว ฉันไม่อยากก้าวก่าย สุดท้ายฉันก็ได้แต่มองตามร่างสูงที่หอบหนังสือเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยสายตาละห้อยก่อนจะเดินตัวลีบเดินขึ้นบันไดตามเขาไปในที่สุด
ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะเดินเข้าไปในห้องแล้ว แต่เขายังหยุดรออยู่ที่หน้าประตู อาจเป็นเพราะว่าเขาหอบหนังสืออยู่จึงเปิดไม่ถนัดรอให้ฉันมาช่วยเปิดให้ เขาหันมามอง หน้าเขาไม่ได้บึ้งแล้วแต่เรียบเฉยจนฉันแทบจะรีบวิ่งไปช่วยเขาเปิดประตูให้ เขาเดินผ่านเข้ามาเงียบๆ
ห้องนั่งเล่นชั้นบนประกอบด้วยโซฟาสีแดง อาร์มแชร์สีชมพู โต๊ะสีเขียว หมอนอิงที่วางก็สารพัดสีเช่นเดียวกับผ้าม่าน ดูแล้วเหมือนลูกกวาดมากๆเลยค่ะ นี่หากคนออกแบบภายในไม่เก่งจริง ห้องนี้คงดูพิลึกมากมายเพราะมีสารพัดสีขนาดนี้ ไม่น่าเอามารวมกันแล้วดูดีได้เลย
พี่ไม่ได้คุยกับหนูดีนาน เขาเริ่มเมื่อวางหนังสือลงบนโต๊ะสีเขียวที่พื้นโต๊ะเป็นกระจกแก้วใสสีเขียวเช่นกันแต่เป็นคนละเฉดกับฐานโต๊ะ ผักกาดเจอหนูดีตั้งแต่เรียนมัธยมหรือเปล่า
ฉันส่ายหน้า แต่เกรงเดี๋ยวพี่ชายเพื่อนจะหาว่าไม่สุภาพก็เลยตอบเสียงกระท่อนกระแท่น
เจอตอนเข้าปีหนึ่งค่ะ รหัสเราสองคนใกล้กัน
หนูดีตอนอยู่มหาลัยเป็นไงบ้าง มีใครมาจีบหรือเปล่า คำถามนี้ดูจะจริงจังกว่าคำถามแรกแฮะ ใบหน้าอีกแบบของเขาผุดขึ้นมาทันที ตอนนี้เขากำลังเล่นบทพี่ชายจอมหวงน้องสาว
ก็... ฉันกลอกตา
มีใช่ไหม เขาเริ่มถามกระตือรือร้นมากขึ้น ฉันถอนใจส่ายหน้า
คือ...ผักกาดก็ไม่ทราบ
หน้าตาเขาเหมือนจะประณามฉันว่าไม่รู้ได้อย่างไร ฉันเลยต้องรีบอธิบายเพิ่มเติม
คือ...ผักกาดแยกไม่ออกว่าคนไหนเพื่อนเฉยๆคนไหนมาจีบ หนูดีกับผักกาดก็คุยด้วยหมด
ใช่ค่ะ ต่อมรับรู้คนมาจีบฉันคงเสื่อม แต่ฉันรู้แค่ว่าคนไหนที่ไม่มาจีบแน่นอน ก็เหล่าบรรดาผู้ชายที่เห็นหน้าฉันแล้วทำหน้าเฉาพวกนั้นไงคะ
อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย คิดแล้วโกรธ
พี่ปรินซ์กระพริบตาราวกับเจอคำตอบที่คาดไม่ถึง เขาหัวเราะเสียงดังสนั่นห้องจนฉันไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันทำให้เขาขำแบบนี้เลยหรืออย่างไร
เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างป้อมของน้องนุชสุดที่รักประจำบ้านก้าวเข้ามามองพี่ชายและฉันด้วยสีหน้าฉงน แล้วหันไปถามพี่ชาย
คุยอะไรกันคะ หัวเราะดังลั่นเชียว
เปล่า เขาส่ายหน้า พี่แค่นึกอะไรนิดหน่อย
ว่าจบเขาก็เดินออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็วพลางโบกมือทั้งที่ยังหันหลังให้ ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ที่อยู่ภายนอกระเบียงก็ดังขึ้น ฉันเดาว่าพี่ชายคนกลางของบ้านนี้คงขับรถสีดำสุดเฉี่ยวคันนั้นออกไปเรียบร้อยแล้ว ฉันอดไม่ได้ไปกระซิบคุยกับหนูดี
พี่ปรินซ์ดู...ต่างจากที่คิดนะ ฉันเคยวาดภาพว่าเขาจะเป็นพวกสงบขรึมอย่างพี่ปรานต์ค่ะ พอเจอแบบนี้เข้าเลยพูดไม่ออก
แต่ไหนแต่ไรก็แบบนี้แหละ หนูดีพยักหน้าหยิบเอาหนังสือมาพลิกๆดูสีหน้าเบื่อหน่าย นี่เพิ่งทะเลาะกับป๊าอีกแล้ว พ่ออยากให้พี่ปรินซ์ช่วยพี่ปรานต์ แต่เขาอยากไปเปิดร้านตัดผม
หือ... ฉันก็พอได้ยินบทสนทนานั้นอยู่ แต่พอได้ฟังกับหูเข้าใจจริงก็อดประหลาดใจไม่ได้ ผู้ชายเปิดร้านตัดผมนี่น่ะเหรอ
อืม หนูดีพยักหน้าอีกครั้ง พี่ปรินซ์เรียนจบป.ตรี ป๊าเลยให้เรียนต่อโทที่นั่น แต่พี่ปรินซ์ดันหนีไปเรียนช่างเสียแล้วก็ฝึกงานกับร้านที่นั่น เรื่องเพิ่งมาแดงก็เลยถูกเรียกตัวกลับ จริงๆหนูดีว่าป๊าก็ไม่ซีเรียสหรอก พี่ปรานต์คนเดียวก็เอาอยู่ แต่ป๊าคงเสียดาย เมื่อกี้ยังบ่นอุบไม่เลิกว่าเรียนคอร์เนลล์ เสียเปล่า จบออกมาไม่ใช้ก็เสียของ หนูดีว่าพี่ปรินซ์ต้องรับศึกหนักต่อแน่เลยกว่าป๊าจะใจอ่อน
ฉันชักเริ่มสนใจเรื่องราวของพี่ชายคนนี้ของหนูดีมากขึ้น ชอบให้หนูดีเล่าเกี่ยวกับพี่ชายคนนี้ให้ฟังบ่อยๆเหมือนกับว่าฉันอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นกว่านี้ อยากรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ทำไมถึงคิดแบบนี้ วิถีความคิดเหล่านั้นแตกต่างจากที่ฉันมีโดยสิ้นเชิง
ฉันเป็นเพียงเด็กสาวหัวอ่อนธรรมดาที่พ่อแม่ส่งฉันไปอยู่กับป้าตั้งแต่เด็ก ป้าเป็นครูเก่าบางทีก็อบรมสั่งสอนราวกับฉันเป็นนักเรียนมากกว่าหลานจนฉันแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ เคยขอพ่อแม่กลับกรุงเทพ แต่ดูเหมือนว่าป้าอยากรั้งตัวฉันไว้เพราะป้าเป็นโสด พ่อแม่ก็เลยยอมให้ฉันอยู่กับป้าตั้งแต่อนุบาลจนจบม.6 ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนนกน้อยในกรงทอง จนกระทั่งฉันสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ คราวนี้ฉันก็มีข้ออ้างที่จะกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพแล้ว
ไม่ใช่ฉันไม่เสียใจนะคะที่ทำตัวเหมือนหลานอกตัญญู แต่อิสระมันหอมหวานเกินกว่าฉันจะสละการเรียนที่นี่เพื่อเรียนวิทยาลัยในตัวจังหวัด
การต่อสู้เพื่อหนทางที่ตัวเองเลือกอย่างพี่ปรินซ์ไม่ใช่หนทางที่ฉันจะทำได้หรอกค่ะ อย่างดีที่สุดฉันก็ทำได้แค่รอคอยโชคชะตาอย่างอดทนเท่านั้นเอง
จากคุณ |
:
peiNing
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ม.ค. 53 17:24:34
|
|
|
|