Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
13 ปีในคุกน้ำแข็ง (ตอนที่ 2 : ดามาเดียดาว่า แอร์พอร์ท)  

Домодедово.........
ดามาเดียดาว่า  แอร์พอร์ท

วันที่ดิฉันต้องไปรับกัปตันเกษียณที่สนามบินดิฉันไปกับนายโซดา  เขามีชื่อจริงว่า นายกฤษฎา  พรหมเวค  เป็นนักศึกษาปริญญาเอกหลงผิดเหมือนดิฉันนี่แหละค่ะ เขาเป็นข้าราชการจากกระทรวงพัฒนาสังคม ฯ ที่ลาราชการมาเรียนต่อ  บ่อยครั้งเรายังคุยกันว่าไอ้ที่เราเรียนอยู่นี้มันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นแน่หรือ  ซึ่งเรายังไม่ได้คำตอบให้ตัวเองจนบัดนี้

สนามบินที่เครื่อง TG ลง มีชื่อว่า Домодедово หรือเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า   Domodedovo แต่มันดันอ่านว่า  ดามาเดียดาว่า เนี่ยสิ (จะให้เป็นสำเนียงรัสเซียให้ออกเสียงว่า  ดา-มา-เดี้ย-ดา-วา  สองพยางค์หลังให้ออกเสียงสั้น ๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นสระ –ะ) หลักในการออกเสียงในภาษารัสเซียมีอยู่ว่า  ถ้าในคำ ๆ หนึ่งมีตัว โอ มากกว่าหนึ่งตัว หากเสียงเน้นหนักไปตกลงที่ตัวไหน  ตัว โอ (о) อื่น ๆ จะออกเสียงเป็น อา (а) ทันที  หากท่านมองไปที่ชื่อสนามบินก็จะเห็นว่ามันประกอบไปด้วยตัว โอ 4 ตัวด้วยกัน และเสียงเน้นหนักไปตกที่ตัว เยีย (е)  ดังนั้นตัว โอ ทั้งสี่ตัวจึงออกเสียงเป็น อา หมด    นี่ก็เป็นเกล็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ  แต่อย่างไรก็ตาม หากคนที่ไม่รู้จะประกาศผิด เป็น โดโมเดียโดโว ล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแต่อย่างใด  คนรัสเซียเข้าใจดีและไม่เห็นเป็นเรื่องน่าตลก เพราะมันก็เขียนแบบนั้นจริง ๆ

ใคร ๆ ที่เดินทางมาเยือนรัสเซียต่างก็ต้องผิดหวังทันทีที่เท้าเหยียบสนามบินดามาเดียดาว่า  น้อง ๆ ทุนรัฐบาลรัสเซียหลายต่อหลายคนที่ดิฉันไปรับต่างอุทานว่า “แค่เนี้ยนะ”  ก็คงจะวาดภาพไปว่าประเทศมหาอำนาจอย่างรัสเซียต้องมีสนามบินที่ใหญ่โตมโหฬาร  ดิฉันมักบอกพวกเขาไปว่า  รัสเซียต้องเอาเงินไปสร้างสถานีอวกาศ ก็เลยไม่มีงบสร้างสนามบิน  เหตุผลจริง ๆ จะเป็นยังไงก็ไม่รู้  อันที่จริงคุณจะตกใจกว่าหากคุณเดินทางโดยสายการบิน Aeroflot  สายการบินแห่งชาติรัสเซีย มาลงที่สนามบิน Sheremetievo (เช-เร-เม่-ทิ-เย-วา)
เพราะมันใหญ่กว่า อู่ตะเภา แค่หน่อยเดียว  ดามาเดียดาว่า เป็นสนามบินที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของรัสเซีย

ขณะที่พวกเรากำลังยืนคอยด้วยความเซ็ง (เพราะเมื่อย) นั้น  ในที่สุดก็มีผู้หญิงในชุดยูนิฟอร์มม่วงเดินออกมาพร้อม ๆ กับผู้ชายใส่สูท  สี่คนในนั้นใส่สูทสีกรมท่าและใส่หมวก และที่ปลายแขนเสื้อสูทมีแถบสีเหลือง ๆ คาด  คนที่ดูมีอายุมากกว่ามีแถบเยอะกว่า  ดิฉันสะกิดให้พี่โซดาดู   “เฮ้ยพี่...ออกมาแล้วว่ะ  เอ็งว่าคนไหน?”   พี่โซดาตอบ   “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง  สงสัยคนที่แก่สุดมั้ง  เขามาเกษียณนี่”  ก่อนที่เขาจะเดินผ่านไปพวกเราก็เข้าไปทักทายจนรู้ว่าใครเป็นคนที่เราต้องรับไปเที่ยว   แล้วเขาก็พากันไปขึ้นรถรับ-ส่งลูกเรือที่คอยอยู่แล้ว

“:-)...ขี้เก๊กชิบเป๋ง  เป็นบ้าอะไรถึงต้องใช้หางตามองเรา”   ดิฉันบอก   “เออ....เห็นด้วย  สงสัย:-)คิดว่าตัวเองบินได้แล้วเป็นเทวดา” พี่โซดาว่าตาม

วันนั้นพวกเรารู้สึกหมั่นไส้ผู้ชายใส่หมวกสี่คนนั้น  ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเชิดหน้าและชูคอ แล้วทำไมต้องใช้หางตามองพวกเรา  ทำไมถึงไม่มองดี ๆ  จนเวลาผ่านไปเราจึงรู้ว่ามันทำไม่ได้ด้วยเหตุผลที่ว่า   “เข้าใจมั้ยว่าหมวกเนี่ยมันไม่ได้พอดีทุกคนหรอก  ของบางคนมันก็หลวม  ที่ต้องเชิดหน้าขึ้นก็เพราะถ้าก้มหมวกมันจะหล่นลงมาปิดตา  ไม่ได้เก๊กซะหน่อย”  เพื่อนของเราคนหนึ่งอธิบายตามนี้  เออ....จริงของมัน  เพราะเมื่อลองทำตามก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

จากวันที่พากัปตันเกษียณท่องมอสโควชื่อของพวกเราก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ลูกเรือการบินไทย  ไม่ว่าจะนักบิน หรือ จะลูกเรือ ด้วยความที่เป็นพอร์ทใหม่ ใคร ๆ ต่างก็ติดต่อมาให้เราพาเที่ยว  ปรึกษากันกับพี่ ๆ ในออฟฟิศแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องที่ดี  ก่อนหน้านั้นไม่นานมีนักบินถูกตีข้าง ๆ โรงแรมที่พัก ชื่อเสียงในแง่ลบของมอสโควขจรขจายไปไกล จนใคร ๆ ก็ขยาด ต่างพากันกลัวที่จะต้องออกจากโรงแรมซึ่งอยู่ในทำเลที่เปลี่ยวพอดู   มีน้อง ๆ นักเรียนออกไปนำทางแลกกับค่าเหนื่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาก็สบายขึ้น

ดิฉันออกไปเองในช่วงแรก ๆ  แต่ด้วยความที่ว่าดิฉันก็ทำงานเป็นล่ามอยู่แล้วจึงเทรนน้อง ๆ ให้ออกมานำทางแทน  ลูกเรือสนุก น้อง ๆ ได้ตังค์และได้รับน้ำใจจากพี่ ๆ ลูกเรือใจดี   ดิฉันก็สบายใจ

มันจะดีมากหากมันเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอะไร ๆ กลับแย่ลง   เราได้เห็นว่าพวกเราอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองกลุ่มที่ทำงานบริษัทเดียวกัน แต่ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน   เราสัมผัสได้ถึงความแปลกแยกที่อยู่ระหว่างพวกเขาและมันเลวร้ายลงทุกวัน ๆ   “น้องจะมาเอาพี่ไปเทียบกับคนพวกนั้นไม่ได้นะ  เพราะว่าเขานั่งมา ไม่ได้ทำงานเหนื่อยมาเหมือนอย่างพี่”  แอร์คนหนึ่งพูดกับเราเมื่อเราขอความกรุณาเร่งฝีเท้า เพราะว่าพวกนักบินเขานำไปไกลแล้ว  

วันนั้นเราไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมพี่แอร์คนนั้นถึงบอกว่านักบินไม่ได้เหนื่อย   ดิฉันลองนึกภาพตาม อืม...เขาคงตั้งระบบออโต้เอาไว้เลยไม่ต้องทำอะไร สงสัยนั่งเล่น  ซูโดกุ  เม้าท์ดารา  ด่านักการเมือง หรือไม่ก็หลับ  แต่พี่ ๆ อธิบายแล้วว่าต่อให้ยังไงพวกเขาก็ต้องนั่งเฝ้า  ตอนบินเครียดจนบางทีปวดหัวตึ้บ  คิดแต่ว่าเที่ยวบินนี้ต้องพาผู้โดยสารไปถึงที่หมายโดยปลอดภัย

ความแปลกแยกเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเราต้องแยกกรุ๊ปเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย  และพวกเราก็แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกัน  เก่ง – ดูแลนักบิน เพราะเขาอยากเป็นนักบินเลยขอไปรับนักบินเอง, บุ – ดูแลแอร์ หรือใครก็ได้ เพราะบุเป็นเด็กอารมณ์ดี และเข้ากับคนได้ทุกคน เป็นเด็กน่ารัก อยู่กับใครเขาก็เอ็นดู, โซดา – ดูแลพ่อแม่ผู้ปกครองของลูกเรือ เพราะเป็นคนเข้าผู้ใหญ่เก่งและใจเย็น, แป๊ก – อยู่กับสจ๊วต เพราะขาวหล่อ  ส่วนน้องอื่น ๆ ก็แล้วแต่โอกาส  ดิฉันเองถ้าไม่มีคนทำก็ไปทำให้ เน้นกรุ๊ปชื่นชอบประวัติศาสตร์ เพราะดิฉันไม่ถนัดเอ็นเตอร์เทน  ซึ่งมันควรจะลงตัว  แต่ท้ายที่สุดพวกเราก็ถูกด่า โดยเฉพาะนังตัวแม่อย่างดิฉัน (เขาเอาไปเขียนด่าในเว็บ thaicabincrew.com ว่านักศึกษาตัวแม่อย่างดิฉันไม่ยินดีจะต้อนรับลูกเรือ) ก็พอดีว่ากรุ๊ปเน้นประวัติศาสตร์มันดันเป็นพวกนักบินเสียส่วนใหญ่  ก็เลยทำให้นักบินมากหน่อย  เขาไม่ต้องการช้อปปิ้ง  ไม่ต้องการไปกระโดดถ่ายรูป....ก็เท่านั้น  มันรวมไปถึงลูกเรือที่มีความต้องการแบบนี้ด้วยเช่นกัน

แล้วร้อนนั้นก็ผ่านพ้นไป  เมื่อฤดูหนาวย่างกรายมาพวกเราไม่คิดว่าจะมีใครอยากออกไปไหนแล้วเพราะว่าที่นี่หนาวไม่ธรรมดา  แต่ผิดค่ะ  ยังมีคนติดต่อมา และวันหนึ่งก็มีลูกเรือติดต่อให้ดิฉันไปรับที่โรงแรม  ที่นั่นดิฉันเห็นกัปตันท่านหนึ่งมายืนคอยที่ล็อบบี้พร้อมเสบียงถุงใหญ่   จำได้ว่าเป็นพี่ที่เคยพาเที่ยวเมื่อตอนใบไม้ร่วง  พี่เขาคิดว่าคงได้เจอเราอีก แล้วก็รู้มาว่ามีคนนัดดิฉันไปที่โรงแรมเขาก็เลยมาดักคอย  ขณะที่ยื่นเสบียงถุงนั้นให้ดิฉัน กัปตันพูดว่า   “พี่เห็นว่าอากาศหนาวแล้ว เลยคิดว่าพวกเราคงอยากกินข้าวต้ม ภรรยาพี่เลยฝากกุนเชียงกับหมูหยองมาให้”   ดิฉันรับมาด้วยความงุนงงและความประทับใจปนกัน  นี่มันอะไรกัน...ตอนพาเที่ยวก็เลี้ยงข้าวอย่างดี  ค่าแรงก็ให้มากกว่าที่ตกลงกันไว้  แล้วพอกลับมาอีกรอบยังมีน้ำใจเอาของมาฝากอีก   มีคนแบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอวะเนี่ย?

แต่มันก็เป็นไปแล้วค่ะ   มันมีคนแบบนี้อยู่ในโลก.......และไม่ได้มีคนเดียว
พวกเขาเป็นคนขับเครื่องบิน
เครื่องบินที่พวกเขาขับเรียกว่า Boeing 777
เขาบินไปทั่วโลก  ไปญี่ปุ่น เกาหลี เดลี  กาฏมันฑุ  ออสโล  ซิดนี่ย์  เมลเบิร์น  เพิร์ธ  โอ๊คแลนด์  มิลาน  เอเธนส์  และ .....มอสโคว

พวกเขาใช้เวลาเก้าชั่วโมงบินผ่านระยะทาง 7300  กิโลเมตรมาที่มอสโคว  ในกระเป๋าของพวกเขามีข้าวสารอาหารแห้ง มีผักและผลไม้

...... นักบินตองเจ็ดหวังว่าน้อง ๆ ทางนี้จะได้กินดีอยู่ดี

จากคุณ : venograd
เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 06:45:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com