ความคิดเห็นที่ 1 |
. -๗-
เพราะขี้เกียจต่อคิวยาวเหยียดที่ร้านอร่อยเจ้าประจำ ปิ่มผลินจึงเลี่ยงไปสั่งอาหารจานด่วนจากร้านที่คนน้อยลงหน่อย
ตอนที่ก้าวกลับมายังโต๊ะที่ณหทัยและตุลยาจองไว้ พบว่าสองรายนั้นยังคงยืนหน้ามุ่ย ต่อคิวขาแข็งอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ขยับ
หญิงสาวลดกายลงนั่งพลางถอนหายใจ นึกว่าจะหยิบนิยายสืบสวนเล่มโปรดมาอ่านรอ แต่พอเปิดหน้าที่ถูกคั่น สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสมองกลับกลายเป็นภาพบุคคลปริศนาในห้องเก็บของสตรี
ให้ตายสิ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?
แอบเข้าไป...เพื่ออะไร?
ต้องยอมรับว่า ทีแรกความคิดเดียวที่มี คือต้นกำเนิดเสียงรายนั้นจะต้องรีบจ้ำอ้าวออกไปจากห้องเก็บของ...ออกไปด้านนอก
ทว่าสิ่งที่ปรากฏคือบทเรียนสำคัญ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราไม่อาจตีกรอบความน่าจะเป็นโดยยึดเพียงหลักความคิดของตนเอง!
ใช่แล้ว! บทเรียนดังกล่าวประดุจกุญแจที่ไขสลักบางอย่างให้ลงล็อก
จิ๊กซอว์แผ่นเก่าที่ยังเดาภาพรวมไม่ถูก...นั่นเพราะปิ่มผลินใช้ความคิดของตัวเองถมเต็มในรูโหว่จนลืมไปว่า มันเป็นแค่สมมติฐาน
ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
จุดผิดมันอยู่ตรงนั้น!
ไม่มีใคร...ไม่มีหลักฐานหรือพยานคนไหนยืนยันได้แน่ชัดว่าวันเกิดเหตุ...กาสะลองเดินทางไปถึงที่นั่น...
ที่สถานีขนส่ง...
เพียงกระเป๋าของเธอวางค้างไว้...ไม่จำเป็นที่ผู้นำไปจะต้องใช่เธอ!
แน่แล้ว! เมื่อคิดได้ดังนั้น ความเป็นไปได้จากการคาดการณ์ดูจะแม่นยำขึ้น
วันศุกร์ที่ยี่สิบแปดกุมภาพันธ์ กาสะลองสอบปลายภาคเป็นวันสุดท้าย เจ้าตัวเก็บข้าวของแล้วเช็กเอ๊าท์ออกจากหอไปโดยตั้งใจว่าจะไม่กลับมาพักอีก หญิงสาวคืนกุญแจห้องให้กำหนดในเวลาประมาณสองทุ่มถึงสองทุ่มสิบนาที จากนั้น...
ไม่มีใครพบเธออีกเลย
เบาะแสสองจุดคือ กำหนดเจอเธอกำลังออกจากหอพัก แล้วก็ข้ามไปที่เจ้าหน้าที่สถานีพบกระเป๋าของสาวเจ้าตกหล่นหลังจากรถออกไปแล้ว
เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงตรงกลางนั่น
หากกาสะลองมิได้ไปถึงสถานี หมายความว่าเหตุการณ์นี้ย่อมต้องมีใคร...ใครบางคนผู้รู้เห็นเป็นใจกับปริศนาที่เกิดขึ้นทั้งหมด...ใครบางคนที่พบกาสะลอง แล้วนำเอากระเป๋าของเธอไปวางเพื่ออ้างว่า หญิงสาวเดินทางมาถึง และหายตัวไปในขณะที่อยู่ที่สถานีนั่น
จุดประสงค์การอำพราง...เบี่ยงเบนความสนใจในสถานที่บางแห่ง แปลงค่าเวลาช่วงห่างให้ลดแคบน้อยลง
...ด้วยเวลายี่สิบกว่านาทีดังที่ปิ่มผลินติดกับในตอนต้น กับเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงนี้...ย่อมมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่สามารถเกิดแทรกขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดถึง!
นอกจากนั้น...อีกด้านหนึ่ง...
การรีบร้อนออกจากหอพักของหญิงสาวผู้สูญหาย...เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจมีการนัดหมายกับใครบางคนไว้ล่วงหน้า?
หรืออีกที...ในชั่วเวลาที่กระชั้นเช่นนั้น...ผู้ลอบก่อเหตุการณ์อาจล่วงรู้ตารางเวลากาสะลองเป็นอย่างดี
หากเป็นดังประการหลัง...แสดงว่าเรื่องทั้งหมดหาได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ!
เจ้าของมือลับ เร้นกายอยู่ในเงามืด รอคอยเวลาที่หญิงสาวผู้โชคร้ายจะออกเดินทางกลับไปบ้าน ระยะทางจากนนทบุรีถึงเชียงใหม่คือฉากกั้นชั้นต้น โดยเฉพาะ...ฉากกั้นนั้นคือบังตาชั้นดี...หากผู้วางแผนมีข้อมูลว่า ระหว่างโลกส่วนตัวกับผู้เป็นแม่ที่เชียงใหม่ และโลกทางการศึกษา ณ ที่นี่ของกาสะลอง...
แทบเป็นโลกสองใบซึ่งหาความคาบเกี่ยวไม่พบ!
คนวางแผนย่อมรู้ดี...การเดินทางครั้งนี้จะเป็นประดุจจุดเชื่อมระหว่างสองโลก เป็นจุดอับแสง ลับสายตาจากคนบนโลกทั้งสองใบ เขาใช้เวลาชั่วขณะที่กะประมาณเป็นอย่างดี เอื้อมออกมาจากจุดกึ่งกลาง...มุมอับที่มืดสุด แล้วช่วงชิงตัวหญิงสาวผู้โชคร้ายหายไปนับแต่นั้น!
หากสมมติฐานข้อนี้เป็นจริง เจ้าของมือนั้นก็ทำการสำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น รอยต่อของระยะทางช่วยสร้างและอำพรางความลับโดยรอยต่อแห่งกาลเวลากว่าสี่เดือนที่เคลื่อนผ่าน
และ...ใช่!
ขณะนี้คือเงื่อนปมชั้นที่สอง...เจ้าของมือใช้ช่องว่างระหว่างยี่สิบนาทีและหนึ่งชั่วโมงเป็นกลโกงสับปลับ
แต่...นั่นแหละ...
แม้จะแนบเนียนเพียงไหน หากการกระทำผิดใดก็ไม่เคยละไว้ซึ่งหลักฐาน
หลักฐานชั้นเลิศที่ปิ่มผลินเป็นผู้ค้นพบในตอนนี้คือ...
ใช่แล้ว...
คนที่จะรู้ตารางเวลา รู้ความเป็นไปในชีวิตของกาสะลองได้ดีถึงเพียงนั้น ย่อมต้องเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหญิงสาวอย่างยิ่ง
ใกล้ชิด...ราวกับจับตาดูอยู่ทุกชั่วขณะลมหายใจ!
และ...ใช่!
ในเมื่อเงื่อนงำบางประการ ประกาศก้องอยู่แล้วว่ากาสะลองเป็นคนเพื่อนน้อย...
นี่ล่ะ...หางป่านเส้นสำคัญ!
ปิ่มผลินเกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
เธอจะใช้มันสืบสาวไปถึงเรื่องราวต้นตอได้ในที่สุด!
“พรุ่งนี้ออกไปกินร้านอาหารข้างนอก!”
เสียงกระแทกกระทั้น ทั้งจากคำพูด และการวางจานอาหารลงบนโต๊ะในที่นั่งฝั่งตรงข้าม ทำให้ปิ่มผลินหลุดจากภวังค์และถึงกับสะดุ้งหน้าเหวอ
“ห้ามต่อรอง!”
สาวเจ้าของเสียงแว๊ดเข้าใจผิดไปนั่น อารมณ์บ่จอยสุดขั้นระบายชัดบนวงหน้าสวยของณหทัย
“ฉันทนไม่ไหวกับสภาพนี้แล้ว! ให้ตาย! กะอีแค่จะซื้อข้าวผัดปลากระป๋อง ฉันเลยต้องกลายไปเป็นปลากระป๋องกับเขาด้วย!”
“เออะ...คนเยอะโคตร...”
ตุลยานั่งฝั่งเดียวกับปิ่มผลิน รายนี้ดูทั้ง ‘เพิ้ง’ ทั้งโทรมไปด้วยเหงื่อยิ่งกว่า ทว่าสีหน้าสีตาบ่งถึงความพึงใจในอาหารหลากหลายที่วางขยายอาณาเขตจนแทบล้นโต๊ะ
คนที่รออยู่แต่แรกต้องใช้ความพยายามระงับอาการอยากรู้ ตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวแทบไม่รู้รส ตลอดเวลานั้นจับตา หาจังหวะที่พอจะเริ่มสานประเด็นสำคัญที่คิดไว้ได้
“นี่...หทัย...” พอแน่ใจว่าอารมณ์ของเพื่อนเริ่มลดดีกรีความร้อนลงบ้างแล้ว เจ้าตัวก็เริ่มเลียบๆ เคียงๆ
“หืมม์?”
ต้องกลืนน้ำลายอีกหนึ่งเอื๊อกรวบรวมความกล้า รู้ดีว่าคำถามอาจทำให้องค์ลงเพื่อนสาวอีกรอบ ตอนนี้ณหทัยอุตส่าห์กลับมานั่งไขว่ห้างได้แล้ว ถึงกับกรีดนิ้วยกแก้วชามะนาวดูดด้วยหลอดประดับชิ้นฝานงามหมดจดนั่นเทียว
“แกรู้จักผู้หญิงที่ชื่อข้าเจ้ารึเปล่า?”
คำถามธรรมดา น้ำเสียงที่ใช้ก็ยิ่งปกติธรรมดา ทว่าราวกับมีอานุภาพทำให้เข็มนาฬิกาหยุดกึก
หัวใจเต้นถี่ขึ้นครั้นเจ้าของนิ้วกรีดประดับเล็บสีสวย ปราดตาขึ้นมามองหน้าแวบหนึ่งทั้งที่ยังดูดน้ำไม่เสร็จดี
และก่อนที่คนถามจะถูกคมรังสีอำมหิตกรีดบาดจนขาดสะบั้นเป็นสองท่อน ณหทัยก็ลดสายตาของเจ้าหล่อนลงพร้อมๆ กับบรรจงวางแก้วด้วยเสียงเบากริบ
“อืมม์...ถามทำไมยะ?”
แทบจะถอนหายใจโล่งอกแน่ะ!
เจ้าของคำถามยังถือช้อนพูนข้าวค้าง ตาจับจ้องเพื่อนสาวคนตรงหน้าไม่ละวาง
“ก็แบบว่า...”
คงต้องปดสดๆ กันหน่อยล่ะ
“เห็นนันทิอรพูดถึง...”
“เฮอะ!”
เสียงแค่นในลำคอดังแทรกขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ปิ่มผลินพูดจบประโยค มุมปากของณหทัยยกหมิ่นอย่างจงใจไม่ปกปิด
“คิดถึงเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดคนเก่าขึ้นมารึไง!”
“เออะ เดี๋ยว...” ตุลยาที่ยังเต็มคำเต็มปาก ถึงอย่างไรก็อยากมีส่วนร่วม
“ข้าเจ้าเป็นใคร? ใครคือข้าเจ้า?”
ในความรู้สึกขณะนั้น ปิ่มผลินเห็นภาพฟันเฟืองที่เคลื่อนตัวลงล๊อกพอดีเป๊ะ หากเพราะเกรงแม่สาวหูไวตาไวอย่าง ณหทัยจับได้จนผิดสังเกต จึงต้องควบคุมด้วยการหายใจจนแทบเบาผิดปกติขณะตอบ
“ข้าเจ้า...กาสะลอง...”
“กาสะลอง?!”
เป็นที่น่าแปลกใจว่าตุลยาสามารถพูดเสียงดังขนาดนั้นได้ โดยที่ไม่ทำให้เศษข้าวเศษไก่กระเด็นหล่นออกมาจากปาก
“หวะ...วันนั้นเห็นพี่หัตถ์ของหทัยหลุดปากชื่อนี้ออกมาด้วยนี่?”
นั่นล่ะที่ว่าลงล๊อก!
.
| จากคุณ |
:
ปราปต์ (งี่เง่าบอย)
|
| เขียนเมื่อ |
:
21 ม.ค. 53 13:27:25
|
|
|
|