ความคิดเห็นที่ 1 |
ฉันมีนัดทำงานกลุ่มกับเพื่อนแต่เช้าก่อนที่จะมีเข้าเรียนค่ะ ความอิ่มเอมใจจากเมื่อคืนทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะขับรถแวะไปที่ร้านของพี่ปรินซ์เสียก่อน อย่างว่าล่ะค่ะ อาจจะผิดจากคำโบราณเขาว่า ไม่เห็นหน้าเห็นหลังคาบ้านก็ยังดี ไปบ้าง แต่ฉันก็เข้าใจความรู้สึกมันจริงๆค่ะ
โปรดอย่าคิดว่าทำไมฉันไม่ไปหาเขาที่บ้านจริงๆเสียเลย หากฉันกล้าพอจะทำอย่างนั้นจริงๆฉันก็คงทำไปแล้วล่ะค่ะ คงไม่ขับรถมาที่นี่ให้ติดอยู่บนท้องถนนอย่างนี้หรอก
แต่คิดอีกทีหากเช้าวันนี้ฉันขี้ขลาดน้อยกว่านี้อีกนิด มีความกล้ามากกว่านี้สักหน่อย มันคงจะดีกว่านี้มาก...มากจริงๆค่ะ
ภาพที่พี่ปรินซ์หัวเราะหยอกล้อกับผู้หญิงคนหนึ่งที่หยุดคุยกันที่หน้าร้าน พี่ปรินซ์กำลังดันประตูเหล็กให้ขึ้นไปแล้วหันกลับมาคุยกับหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลัง เธอแหงนมองหน้าพี่ปรินซ์คุยด้วยอย่างสนิทสนม มองจากไกลๆเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นเพรียวระหง ดูสมส่วนไปหมดไม่ขัดตา เธออยู่ในชุดสูทกางเกงสีเทาดำลายทาง ผมเธอมัดขึ้นไปอย่างเรียบร้อยคงจะไม่ได้มาทำผมที่ร้านแน่ๆ เธอดูภูมิฐาน เป็นผู้หญิงทำงานในแบบที่ฉันไม่มีวันเป็นได้
แวบหนึ่งที่ฉันก้มลงมองตนเอง ก็เห็นแต่เพียงชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดกับเข็มสีเงินสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยและกระโปรงสีดำเท่านั้น
ฉันหลงตัวเองไปหรือเปล่าที่คิดว่าช่องว่างระหว่างเราสองคนมันแคบเข้ามา คิดไปเองหรือเปล่าที่คิดว่าความฝันของฉันมันอาจเป็นไปได้ทั้งที่ความจริงอยู่ตรงหน้า
คนสองคนที่ดูเหมาะสมกันด้วยรูปลักษณ์ อายุ สังคม และอาจจะ...ฐานะ
รถยุโรปคันเล็กราคาแพงกว่ารถคันที่ฉันขับหลายเท่าซึ่งจอดอยู่หน้าร้านเบียดชิดข้างฟุตบาทเปิดไฟฉุกเฉินไม่ได้อยู่ในวิถีของการจราจรที่ติดยาวเป็นแพบอกให้รู้ว่าน่าจะเป็นรถของเธอ ที่บ้านหนูดีไม่มีรถแบบนี้เลยสักคัน และฉันไม่ต้องสันนิษฐานนานเลยเพราะเธอผู้นั้นเอียงคอมองพี่ปรินซ์เล็กน้อย มือเรียวของเธอจับที่ข้างแก้มของพี่ปรินซ์อย่างไม่ขัดเขินโดยที่พี่ปรินซ์หัวเราะ จากนั้นเธอก็รีบกลับมาที่รถยุโรปคันนั้นอย่างรวดเร็ว
แวบหนึ่งที่ฉันเห็นใบหน้าเธอชัดๆ ฉันจำได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร
จ้าว เหว่ย...ลูกค้าที่ฉันเคยเห็นที่ร้านพี่ปรินซ์แล้วเคยเปรียบเทียบเธอเหมือนกับดาราจีนคนนี้
ราวกับน้ำเย็นไหลอาบรดฉันไปทั่วร่างจนแทบกระดิกไม่ได้ ยิ่งเห็นพี่ปรินซ์ก็ยืนส่งเธอเช่นเดียวกับที่ฉันยืนรอเขาเมื่อคืน รอให้เธอสามารถแทรกรถคันเล็กของตนเองเข้าไปว่ายวนกับการจราจรแห่งนี้ น้ำเย็นจนหนาวนั้นเกือบจะแช่แข็งฉันไปเรียบร้อย
เสียงแตรรถจากด้านหลังฉันทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว เงยหน้ามองอย่างงงๆแล้วพบว่าไฟเขียวแล้ว ฉันจึงปลดเบรกมือ มองเท้าของตนเองให้แน่ใจว่าด้านไหนคันเร่งด้านไหน และพบอีกครั้งว่ามือฉันกำพวงมาลัยแน่นจนเกร็งซึ่งเป็นที่มาของอาการชา ฉันรีบออกตัวอย่างรวดเร็วโดยก้มลงบ้างเมื่อรถของฉันผ่านหน้าร้านพี่ปรินซ์ซึ่งคงต้องเรียกว่าโชคดีที่พี่ปรินซ์มองส่งรถยุโรปคันนั้นแล่นผ่านสี่แยกไปทำให้ไม่หันมาสนใจเสียงแตรรถดังเมื่อครู่
แม้จะเป็นความโชคดีที่แสนเศร้าก็ตาม
ฉันไม่รู้ว่ามาถึงที่มหาวิทยาลัยได้อย่างไรโดยไม่เกิดอุบัติเหตุ ฉันจอดรถที่ใกล้ตึกคณะ ดึงที่บังแสงลงมา ด้านในมีกระจกอยู่
ภาพที่สะท้อนคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูอย่างไรก็ไม่เกินยี่สิบสองปี ตาเรียวเล็กที่ออกฉ่ำเล็กน้อยด้วยหยาดน้ำตาที่ไม่รู้สึกเลยว่าหลั่งรินตั้งแต่ตอนไหน จมูกเล็กแทบไม่มีดั้งออกแดงเล็กน้อย ริมฝีปากที่ฉ่ำที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเม้มแน่นจนเกือบซีด ผมดำยาวสยายปล่อยลงเคลียไหล่ กิ๊บดอกไม้ที่พี่ปรินซ์เคยให้ไว้ติดอยู่ที่หน้าผาก
อะไรบ้างที่ฉันสู้ผู้หญิงคนนั้นได้?
ฉันหลุบตาลง ปัดที่บังแดดให้ขึ้นไปอยู่ที่ของมัน สุดท้ายฉันก็ต้องถอนใจยาวพิงศีรษะกับเบาะนั่งอย่างอ่อนแรง ยอมรับกับตัวเองอย่างยุติธรรม
ไม่มีเลย...ไม่ว่าจะมองในด้านไหนๆ ก็ไม่มีอะไรเทียบได้เลยแม้แต่นิดเดียว!
ฉันนั่งเล่นเกมรูเล็ตแสนโปรดของตนเองตอนฆ่าเวลารอเพื่อนอยู่ที่ม้านั่งตัวประจำของเรา รายงานชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ที่กลุ่มของเราอยากทำออกมาให้ดีที่สุดถึงได้นัดกันมาแต่เช้าเพื่อสรุปความเห็นกันให้ได้ก่อนที่จะแจกจ่ายกันไปทำในส่วนของตน
แปลกดีนะคะ ไม่ว่าเล่นกี่ตากี่ตาฉันก็ไม่เคยแทงถูกเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นมาเป็นริ้วจนต้องเลิกเล่นไปในที่สุด
รายงานกลุ่มวันนี้ดูกร่อยเต็มทน เพื่อนในกลุ่มของฉันต่างมองหน้ากันอย่างกังวล แล้วหันกลับมามองฉันกันหมด
คิดว่าฉันจะบอกกับเพื่อนทุกคนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบนี้หรือคะ ฉันไม่กล้าหรอกค่ะ แม้กระทั่งกับหนูดีฉันก็พูดไม่ได้แม้ว่าเธอจะเพียรพยายามถามไถ่อย่างเป็นห่วงแต่ฉันบอกกับเธอได้เพียงว่าถึงเวลาฉันจะเล่าให้เธอฟังเอง ทุกคนจึงไม่ถามอะไรให้ฉันสะเทือนใจอีกเพราะรู้ว่าลองถ้าฉันพูดแบบนี้ให้ตายยังไงฉันก็จะไม่เปิดปากพูด
ความผิดหวังมันกำลังเล่นงานฉันอย่างหนักจนไม่มีแรงใจจะปรึกษาใครหรอกนะคะ อย่างดีที่สุดคือคำปลอบใจซึ่งฉันไม่ได้ต้องการเพราะมันยิ่งสงเสริมความหวังที่ไม่อาจเป็นจริงให้ยืดยาวออกไปเพื่อให้เจ็บปวดกับมันต่อไปอีก หรือหนูดีอาจจะโวยวายแล้วก็สืบมาให้ แล้วอาจจะบอกว่าจริงๆเรื่องผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด หัวใจฉันอาจกระเตื้องฟูได้นิดหน่อย
แต่ปัญหาไม่ใช่เรื่องผู้หญิงคนนั้นหรอกค่ะ ปัญหาคือความแตกต่างระหว่างเราสองคนต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นเธอคนนั้นหรือผู้หญิงคนอื่นๆก็ตาม พี่ปรินซ์ก็อาจตกลงปลงใจกับคนใดคนหนึ่งที่ไม่ใช่ฉัน...ฉันที่อายุน้อยกว่าเขา 8 ปี เป็นแค่เด็กกะโปโลยังไม่ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย หน้าตาหรือก็ไม่ได้ดึงดูดใจ ความคิดอ่านก็ยังไม่ประสาไม่อาจเป็นที่ปรึกษาให้เขาได้มีแต่จะต้องพึ่งพาเขามากกว่า
ฉันขี้ขลาดเกินกว่าจะรับความจริงได้ แต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ ใช่ไหมคะ
================================================== ฉันหายหน้าไปจากร้านพี่ปรินซ์เกือบสองอาทิตย์เต็มๆค่ะ นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มไปร้านของพี่ปรินซ์มาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะพวกเราเริ่มเตรียมสอบกันแล้วค่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งนั้น ได้โปรดอย่าบังคับให้ฉันต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงเลยนะคะ
ธรรมดาฉันก็จะไปอ่านหนังสือที่บ้านหนูดีบ้างค่ะ แต่การสอบครั้งนี้ฉันสมัครใจอ่านหนังสืออยู่กับบ้านและห้องสมุดมหาวิทยาลัยมากกว่าค่ะ ช่วงเวลาสอบที่ห้องสมุดจะเปิดดึกกว่าปกติ ฉันจึงใช้เวลาส่วนมากในนั้น ในขณะที่หนูดีใช่ว่าจะไม่สังเกต แต่ในเมื่อรับปากไว้แล้วว่าจะไม่ถาม เธอก็ไม่เปิดปากถามจริงๆแต่ก็ยังวนเวียนพูดถึงเกี่ยวกับพี่ชายตัวเองทั้งสองคนให้ฟังไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม กระทั่งฉันอดรนทนไม่ได้เอง
ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงพี่ปรินซ์ต่อหน้าผักกาดเลย ผักกาดไม่อยากได้ยิน
ฉันเห็นแววตาสงสัยของเพื่อนเป็นอย่างดี หนูดีมองหน้าฉันอย่างลังเลแต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไม่ถาม เพราะรู้ว่าเราสองคนดีเอ็นเอแบบเดียวกัน ฉันไม่มีวันพูดอะไรจนกว่าจะพร้อมถึงจะบอกออกมาเอง
ตัวหนังสือเป็นพรืดกับพจนานุกรมเล่มใหญ่อยู่ตรงหน้าฉันแทบไม่เข้าหัว ฉันถอนใจเงยหน้านวดหัวคิ้วตนเองช้าๆ พยายามตั้งสมาธิกับการอ่านหนังสือสอบให้มากที่สุด ฉันไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนคะแนนที่เป็นผลจากความอุตสาหะของตนเองที่ทำมาตลอดหกเทอมให้เป็นหมันไปหรอกนะคะ อีกแค่ไม่กี่ก้าวที่จะเอื้อมคว้าเกียรติยศ ฉันไม่อยากให้ความอ่อนแอนั่นมาเป็นสิ่งกีดขวางได้หรอกค่ะ
แต่การที่เรามุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งประกอบกับที่ฉันไม่ได้พบหน้าเขา ทำให้อะไรหลายๆอย่างลงตัวมากขึ้น จนฉันคิดว่าตนเองสามารถลืมเรื่องนี้ได้จริงๆ จนกระทั่งสอบเสร็จ ส่งรายงานและปิดภาคเรียน ฉันจึงเพิ่งรู้ตัวว่าฉันไม่มีทางลืมมันได้อย่างที่เพียรพยายามหลอกตัวเองหรอก
เมื่ออยู่คนเดียวในบ้านในช่วงเวลาปิดเทอมเช่นนี้ ฉันก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั่นอีกครั้งหนึ่ง ความคิดเรื่องที่ฉันกดทับมันไว้ราวกับลาวาที่ปะทุขึ้นหลังจากแรงบีบอัดนั่น มันไหลบ่าอย่างน่ากลัวจนจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้ง สภาพของฉันดูยับเยินจนดูไม่ได้
นัยน์ตาเรียวเล็กแต่บวมแดง ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระจัดกระจายเพราะไม่ได้ดูแลตัวเอง เสื้อผ้าก็เป็นเพียงเสื้อยืดเก่าๆเนื้อผ้านิ่มใส่สบายกับกางเกงขาสั้นมีรูขาดๆ
ถ้าใครเรียกฉันว่าซาดาโกะ ฉันจะถือว่าเป็นคำชมค่ะ
ฉันหยิบปอยผมยาวที่ทั้งหนาและหนักของตนเองมามองอย่างพิจารณา ปลายผมนั้นดูแห้งกรอบราวกับไร้น้ำหล่อเลี้ยง ฉันจึงหันดูด้านหลังเพื่อให้เห็นความยาวของผมตนเองดูชัดๆ และพบว่ามันยาวเลยบั้นเอวไปแล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ฉันไม่คุ้นเคยเลยค่ะ
หรือว่าเพื่อนของฉันที่ต่างจังหวัดจะเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เสียแล้วก็ไม่รู้ คิดได้ดังนั้นฉันจึงรับโทรศัพท์อย่างกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะไม่ได้คุยกับเพื่อนนาน
ผักกาดหรือ พี่เอง
ฉันตัวแข็งทันที เดาได้ใช่ไหมคะว่าใครโทรมา
เอ่อ...พี่ปรินซ์นะ เขาบอกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเมื่อฉันยังคงเงียบ
ค่ะ พี่ปรินซ์ ฉันเพิ่งหาเสียงเจอ พี่ปรินซ์ได้เบอร์ผักกาดมาจากไหนคะ
เป็นคำถามที่โง่มากใช่ไหมคะ สำหรับการถามพี่ชายของเพื่อนตัวเองว่าเอาหมายเลขโทรศัพท์ฉันมาจากใครถ้าไม่ใช่เพื่อนของตัวเอง
พี่ถามหนูดีมา พี่ปรินซ์ตอบมาเบาๆ น้ำเสียงเขาลังเล
เห็นไหมคะว่าฉันเซ่อแค่ไหน
พี่ปรินซ์มีอะไรหรือเปล่าคะ
คราวนี้เป็นฝ่ายนั้นที่อึ้งไปบ้าง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียงต่ำฟังแล้วเย็นชาอย่างนี้เลย แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้พี่ปรินซ์คงจะจับได้ว่าน้ำตาฉันไหลลงมาอีกแล้ว
พี่เห็นผักกาดหายไปนาน เขาเอ่ยเสียงอ่อน เลยถามหนูดี หนูดีบอกช่วงนี้มีสอบแล้วผักกาดก็ดูเครียดๆเลยไม่ได้ไปที่ร้านอีก
ค่ะ ฉันตอบสั้นๆ เปิดเสียงลำโพงแล้วโยนไว้บนเตียง เอาตัวออกห่างจากโทรศัพท์ให้ไกลที่สุดเพื่อที่จะสูดจมูกไม่ให้เสียงเล็ดลอดเข้าโทรศัพท์ไปได้
แล้ว...จะมาที่ร้านอีกไหม ยิ่งคำถามนี้ฉันยิ่งรู้สึกเขาลังเลหนักกว่าเดิมในขณะที่ความเงียบคือคำตอบของฉัน เสียงถอนใจอีกฝ่ายเต็มสองหู
ยังไงก็แวะมาที่ร้านบ้างก็ดีนะ ร้านกำลังจะปิดเร็วๆนี้
ร้านจะปิดหรือคะ ฉันแทบถลาไปยังเตียง ถามเสียงหลงทันที
อือ เขาตอบสั้นๆ
แทนที่จะเป็นเสียงเศร้าทำไมฉันไม่ยักรู้สึก ฉันว่าเสียงเขาเหมือนลิงโลดมีชัยมากกว่า ประสาทหูฉันฟั่นเฟือนหรือว่าน้ำตาฉันทำให้หูอื้อจนฟังเพี้ยนไปแล้วมั้งคะ
เกิดอะไรขึ้นคะพี่ปรินซ์ ทำไมต้องปิด ฉันรีบพูดเป็นรถไฟด่วนแทบจะลืมหายใจ
มาที่นี่ก็แล้วกัน ไว้พี่จะเล่าให้ฟัง
แล้วพี่ปรินซ์ก็วางหูไปดื้อๆทิ้งคำถามร้อยแปดไว้ให้ฉันคิดเป็นการบ้าน ความเศร้าอันตรธานไปเป็นปลิดทิ้งเหลือแต่ความกระวนกระวายในสถานการณ์ที่พี่ปรินซ์เผชิญอยู่ตอนนี้ ฉันนอนกระสับกระส่ายเกือบทั้งคืน เลยกลายเป็นว่าผล็อยหลับตอนเช้ามืดแล้วตื่นอีกทีคือตอนที่ตะวันเกือบจะตรงศีรษะอยู่รอมร่อ
ซิ่งค่ะ...นี่คือคำจำกัดความของฉันตอนขับรถในวันนี้
ฉันหงุดหงิดอยู่บ้างที่ออกสายทำให้หาที่จอดรถละแวกนั้นไม่ได้เลย รีบจนลืมนึกถึงที่จอดรถไปเสียสนิทใจทีเดียวค่ะ
วนตรอกซอกซอยอยู่เป็นนานกว่าจะหาที่จอดรถได้ ถือว่าอยู่ห่างจากร้านพี่ปรินซ์ไม่น้อยทีเดียว ฉันเลยจัดการโบกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้มาส่งที่ร้าน
ทว่าฉันเห็นรถยนต์ยุโรปคันเล็กที่ฉันจำได้แม่นขับออกมาจากซอยที่ฉันมักนำรถไปจอดเพื่อมาบ้านพี่ปรินซ์ และแม่นยิ่งกว่านั้นคือหน้าตาของคนขับ...
นั่นพี่ปรินซ์แน่นอนค่ะ
จะเรียกว่าฉันมาช้าไปจึงไม่ทันพี่ปรินซ์หรือจะเรียกว่ามาเร็วไปเลยทำให้เห็นภาพบาดตานี้ดีคะ เงาร่างที่มองจากด้านหลังรถเห็นชัดว่ามีคนสองคนนั่งไปด้วยกันอย่างนี้ คนที่นั่งข้างๆก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของรถแหละค่ะ
ฉันเกร็งมือที่จับด้านหลังรถมอเตอร์ไซด์แน่น ความรู้สึกภายในกำลังต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างบอกให้รถจอดที่หน้าร้านพี่ปรินซ์อย่างที่ควรจะเป็นหรือว่าบอกให้รถตามรถยุโรปคันนั้นไปอย่างที่ใจอยากทำดี
คนอย่างฉันจะเลือกทางไหนได้ล่ะคะ
จากคุณ |
:
peiNing
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ม.ค. 53 09:50:44
|
|
|
|