Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
13 ปีในคุกน้ำแข็ง (ตอนที่ 3 : เสบียงไดเร็คไฟลท์....เรากินดีกว่าทูต!)  

“สวัสดีค่ะ”  ดิฉันกรอกเสียงไปตามสายทันทีที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
“อยู่ที่ไหนกัน  พี่มาถึงมอสโควแล้วนะ มารับของที่โรงแรมด้วย”  เสียงกัปตันดังมาตามสาย  “ตอนนี้อยู่บนรถแล้ว  ไม่รู้ว่าวันนี้รถจะติดหรือเปล่า”  พี่กัปตันบอกอย่างไม่แน่ใจ  

มันเป็นเรื่องที่เราชินชาไปเสียแล้ว  มอสโควมีประชากรราว ๆ สิบล้านคน  รวมกับพวกที่มาจากกลุ่มประเทศ  CIS  ที่ลักลอบเข้ามาอยู่อย่างผิดกฎหมาย  บ้างขายแรงงาน  บ้างขับแท็กซี่  เบ็ดเสร็จแล้วนับได้สิบห้าล้านคน  เชื่อเถอะค่ะ  ข้อมูลนี้ได้มาจากการที่ดิฉันไปเป็นล่ามให้กับคณะ ผวจ. จังหวัดหนึ่งที่มาดูงานที่เทศบาลเมืองมอสโคว  ท่านรองผู้ว่า ฯ มอสโควเป็นคนให้ข้อมูลนี้กับเราเอง

ถึงแม้ว่าในมอสโควจะมีรถไฟใต้ตินมาตั้งแต่ปี  1935   ปัจจุบันมีระยะทางรวมกันเกือบ  300 ก.ม.  มีเกือบ 200  สถานี และมีผู้โดยสารใช้วันละราว ๆ เก้าล้านคน  แต่ที่นี่รถก็ยังติดน่ากลัวกว่าที่กรุงเทพ  รถที่วิ่งไป-มาวันละสามล้านคันทำให้การจราจรไม่คล่องตัว  ยิ่งวันไหนพายุหิมะลงวันนั้นยิ่งดูเหมือนว่าปลายทางที่เราจะไปไกลราวกับอยู่อีกซีกโลก  ล่าสุดรถลูกเรือใช้เวลาห้า ช.ม. กว่าในการเดินทางจากสนามบินมาโรงแรมที่อยู่ในใจกลางเมืองมอสโคว  ซึ่งถ้าวิ่งในวันที่การจราจะคล่องตัวมันจะกินเวลาแค่ชั่วโมงนิด ๆ เท่านั้นเอง   ส่วนนักเรียนอย่างพวกเราน่ะไม่ค่อยจะได้ไปสัมผัสหรอก  เราที่นี่ใช้ “เมโตร” หรือ รถไฟใต้ดินในการเดินทาง  ไม่มีนักเรียนไทยคนไหนมีรถ เพราะมีปัญหาเรื่องที่จอด และไม่มีใครอยากยุ่งกับโจรในเครื่องแบบ

มันเป็นสิ่งที่เราเคยชินไปแล้ว  สองปีกว่าที่ผ่านมานี้พวกเขาขนเสบียงมาให้พวกเราเสมอ  ทำแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย  ทำโดยที่เราไม่เคยขอ  นักบินตองเจ็ดแค่มีความสุขที่ได้เห็นน้องกินของดี ๆ

พวกเราเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลรัสเซียค่ะ   ที่จริงห้าปีแรกของการมาอยู่ที่นี่ดิฉันเรียนระดับ ป. ตรี ที่ Moscow State University  ปีแรกแม่ยังส่งปกติอยู่  ปีที่สองเริ่มไม่ค่อยส่ง จากนั้นก็ไม่ส่งอีกเลย  แม่บอกว่าคลอดลูกมา 3 คน รู้ว่าลูกคนกลางเก่งที่สุด  และเชื่อว่าคนหน้าตาดีไม่มีวันอดตาย  ดิฉันไม่เคยเข้าใจกับการกระทำของแม่ แต่มันก็ผ่านไปแล้ว และมาวันนี้ก็ได้เห็นว่าแม่พูดถูกในบางเรื่อง

ดิฉันจบ ป. ตรี มาแบบทุลักทุเล เมื่อมาทบทวนดูแล้วถ้าให้ต่อ ป. โท ที่เดิมท่าจะไปไม่รอด  มันเหนื่อยเกินไป คิดได้ดังนี้ก็เลยยื่นเรื่องขอทุนรัฐบาลรัฐเซียโดยขอร้องให้ทางสถานทูตช่วย  เป็นโชคดีของดิฉันที่นักการทูตในยุคนั้นให้ความเมตตา  ท่านทูตดุสิต จันตะเสน ซึ่งในตอนนั้นยังดำรงตำแหน่งอัครราชทูต (เบอร์ 2) ท่านได้เป็นธุระทำเรื่องไปยังกระทรวงศึกษาธิการรัสเซียเพื่อขอให้ทางกระทรวงพิจารณารับดิฉันเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลรัสเซียในระดับปริญญาโท  ที่จริงคำขอของสถานทูตไม่ได้มีผลเด็ดขาดในการพิจารณาของกระทรวง  แต่การที่สถานทูตแจ้งความจำนงค์ไปนั้นย่อมมีน้ำหนักมากกว่าการที่ดิฉันเดินเข้าไปที่กระทรวงเอง   เมื่อกระทรวงตอบรับและเปิดโอกาสให้ดิฉันเลือกสถาบันแล้ว  ดิฉันก็เลือก People’s Friendship University of Russia หรือ “มหาวิทยาลัยมิตรภาพประชาชนแห่งรัสเซีย”  ตามที่พี่โซดาได้แปลเอาไว้  เขาบอกว่าเวลาทำเรื่องรายงานกลับไปที่กระทรวง พม.  เขาจะต้องเขียนชื่อมหาวิทยาลัยเป็นภาษาไทยเท่านั้น  ซึ่งพวกเราทุกคนก็เห็นชอบด้วย  เหตุผลที่ดิฉันไม่สามารถอยู่ที่  Moscow State University  ต่อได้ก็เพราะว่า มหาวิทยาลัยมอสโควไม่ได้ขึ้นตรงต่อกระทรวงศึกษาธิการ และไม่มีนโยบายให้ใครเรียนฟรี  นั่นหมายความว่าเด็กไทยหรือใครก็ตามแต่ที่เรียนที่นั่นจะต้องจ่ายค่าเทอมเอง  ซึ่งถ้ามีใครสักคนบอกว่าเขาเป็นเด็กทุนแล้วเรียนที่มหาวิทยาลัยมอสโคว ก็แปลว่าเขาเป็นเด็กทุนที่ได้รับทุนจากรัฐบาลไทย แล้วเอาเงินที่รัฐบาลให้ไปจ่ายเป็นค่าเทอม  ส่วนที่ว่าทำไมดิฉันถึงเลือก “มหาวิทยาลัยมิตรภาพประชาชนแห่งรัสเซีย”  ขออนุญาตเล่าในโอกาสต่อไปนะคะ

หลังจากที่ท่าน อท. ดุสิต  จันตะเสน  ได้ประจำอยู่ที่มอสโควจนครบวาระท่านก็ย้ายกลับไปดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นในกระทรวงการต่างประเทศ  ดิฉันไม่เคยมีโอกาสได้พบท่านและภรรยาอีกเลยจนถึงบัดนี้  ทำได้แค่คอยติดตามข่าวคราว  ดิฉันรู้มาว่าพอกลับไปไทยท่านก็ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี  และไม่กี่ปีหลังจากนั้นท่านก็ย้ายไปดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต (ออท.) ประจำประเทศคูเวต และเกษียณอายุราชการที่นั่น   หากไม่ได้ท่านคอยช่วยเหลือ คอยหางานให้ทำ  วันนี้ดิฉันก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ส่วนไหนของโลก

ยุคที่ท่านทูตดุสิตยังอยู่ที่มอสโควถือเป็นยุคทองของคนต่างจังหวัด  ในทีมงานนั้นยังมีท่าน อดิศัย ดุมคุปต์  ท่านทูตพาณิชย์ประจำกรุงมอสโก  ท่านทั้งสองทำให้ชีวิตพวกเราที่นี่อบอุ่น  ไม่มีคำว่าชนชั้น ไม่มีคำว่าแบ่งแยก  สำหรับท่านทั้งสอง ผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศไทย ถือเป็นคนไทยที่มีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน  ทั้งสองกลายเป็นตำนานที่เล่าสืบทอดกันมาในหมู่เจ้าหน้าที่สถานทูตชาวรัสเซีย และในหมู่กุ๊กร้านอาหารไทยและหมอนวดแผนโบราณ  เป็นสิ่งดี ๆ ที่บังเกิดในชีวิตคนชนชั้นรากหญ้า  เป็นเหมือนเปลวเทียนคอยให้แสงสว่างและให้ความอบอุ่นในวันที่พายุหิมะลง

ชีวิตหลังจากที่ท่านดุสิต และท่านอดิศัย ได้จากมอสโควไปแล้ว เป็นชีวิตที่ดิฉันต้องเจียมเนื้อเจียมตัว  ดิฉันได้เรียนรู้ว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตก็เป็นคน  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีใครที่เลือกปฏิบัติ  แน่นอนค่ะว่าดิฉันเป็นเดือดเป็นแค้นอยู่พักใหญ่  ไม่สามารถรับได้กับความไม่เสมอภาคต่าง ๆ นานา  แต่เมื่อมีวัยวุฒิที่สูงขึ้น ดิฉันก็ได้เห็นว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์โลก  ดิฉันก้มหน้ายอมรับกับทุกสิ่ง มองโลกในแง่ร้ายลงทุกวัน  แล้ววันหนึ่งดิฉันก็ไม่ไว้ใจใครอีกเลย  ในยุคหนึ่งดิฉันได้เห็นว่าการที่จะได้รับการใส่ใจจากสถานทูตเราจะต้องเป็นลูกหลานอธิบดี หรือ เป็นลูกหลานคนในกระทรวงต่างประเทศ  หรือไม่อย่างนั้นก็ขอให้เป็นลูกคนรวย   ได้ฟังอย่างนี้เขาอาจปฏิเสธเป็นพัลวัล แต่ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรคือความจริง

ดิฉันไม่ได้แข่งค่ะ  ถึงจะถูกเลี้ยงให้เป็นที่ 1 มาตั้งแต่เล็ก แต่ดิฉันไม่เคยคิดว่าแข่งบุญแข่งวาสนาแล้วจะชนะ  ก็ต่างคนต่างอยู่  ทำหน้าที่ของตัวเองไป   ถ้ามีคนอยากจะแข่งดิฉันก็สนองให้ แต่ว่าก็แข่งได้แต่เรื่องเรียน  หลัง ๆ มานี่แข่งเรื่องเงินด้วย  ไม่รู้เป็นยังไง เวลาคนมีเงินใช้เยอะ ๆ แล้วมักจะได้รับการต้อนรับที่ดี   ดิฉันก็เลยทำงาน  ง็อก ๆ  ได้เงินมาก็เอาไปซื้อเสื้อผ้าแพง ๆ ไปเข้าร้านอาหารหรู ๆ  จนน้อง ๆ  พากันเรียกว่า “คุณนาย”   ดิฉันพอใจกับสิ่งที่หามาได้  เมื่อเวลาผ่านไปวันนึงดิฉันก็มีทุกอย่างที่เด็กของสถานทูตมี  แต่ข้างในยังคงว่างเปล่า เหมือนแก้วน้ำที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม

แล้วนักบินก็เข้ามาทำให้เต็ม   หลังจากที่เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ ดิฉันถามกัปตันอาวุโสท่านหนึ่งว่า  “ถามจริง ๆ เถอะ....พี่มาดีกับพวกเราทำไม?”  คบพวกเราไปก็เท่านั้น  ไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ  ไม่สามารถเอื้อประโยชน์ใด ๆ   คบกับพวกเรามีแต่เสียตังค์   แล้วดิฉันก็ต้องงงหนักกว่าเดิมเมื่อกัปตันท่านหันมามองหน้า เอียงคอเล็กน้อย แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัยสุดขีดว่ามันตั้งคำถามแบบนี้มาได้ยังไง   “ทำไมล่ะ...ก็น้องเป็นคนไทย”  

เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินว่านอกจากกัปตันท่านนี้จะเป็นพ่อพระแล้ว  ท่านยังเอาใจใส่คนไทยทุกพอร์ทที่ไปบิน  ดิฉันได้ยินเรื่องของท่านมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้าวมันไก่ที่ท่านชอบหอบไปฝากช่างที่กาฏมัณฑุ  หรือ เรื่องที่ท่านชอบซื้อขนมมาฝากลูกเรือทุกคนในไฟลท์  แต่เขาเหล่านั้นก็เป็นพนักงานของบริษัท  เป็นคนการบินไทย  ในขณะที่เราเป็นแค่นักเรียน

ในหนึ่งอาทิตย์หากเป็นฤดูร้อนจะมี 3 ไฟลท์  และในฤดูหนาวจะมี 4 ไฟลท์ เพื่อเอาไว้รองรับผู้โดยสารชาวรัสเซียที่เดินทางหนีหนาวไปนอนอาบแดดตามชายหาด   เสบียงไดเร็คไฟลท์จะมาอาทิตย์ละ 2  ไฟลท์เป็นอย่างต่ำ  และในบางครั้งก็มาทั้ง 4 ไฟลท์  จากข้าวสารอาหารแห้ง เริ่มขยับขยายเป็นอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว  มาถึงแล้วอุ่นกินได้เลย มีผลไม้ตามฤดูกาล  มีของฝากจากเกือบทุกประเทศที่พวกเขาไปบิน ไม่ว่าจะเป็นลูกพลับและช็อคโกแล็ตจากญี่ปุ่น  สาหร่ายจากเกาหลี หรือขนมขบเคี้ยวจากออสเตรเลีย  คงแค่จากเอเธนส์ที่พี่ไม่เคยเอาอะไรมาฝาก  พี่บอกพวกเราว่า  “มันมีแต่ฟองน้ำ”

วันหนึ่งของฤดูร้อนเมื่อสองปีก่อน  ในขณะที่เราพาพี่ ๆ เดินกลับโรงแรม  เจ้านุช  น้องคนหนึ่งลงความเห็นว่า   “พี่จอยขา  หนูว่าพวกเราไม่ต้องมีสถานทูตมาสนใจก็ได้ เพราะเรามีพี่ ๆ ตองเจ็ดคอยดูแลอยู่แล้ว”

“อืม...ชีวิตพวกเรามันดีจริง ๆ”   ดิฉันบอกน้องแล้วเหลือบไปเห็นพี่โซดาพยักหน้าคล้อยตาม

ใช่ค่ะ....เรากินดีกว่าทูต

แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 53 07:19:29

แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 53 05:57:18

จากคุณ : venograd
เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 05:52:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com