Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ห้วงเวลาแห่งเทพนิยาย: เจ้าชายของหนูน้อยหมวกแดง ตอนที่ 3 (จบ)  

แผนลับราพันเซล ตอนที่ 1

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8777879/W8777879.html

แผนลับราพันเซล ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8788481/W8788481.html

แผนลับราพันเซล ตอนที่ 3 (จบ)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8801708/W8801708.html



เจ้าชายของหนูน้อยหมวกแดง ตอนที่ 1

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8827957/W8827957.html

เจ้าชายของหนูน้อยหมวกแดง ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8836949/W8836949.html

============================================

อาการผิดปกติของน้องน้อยคนสุดท้องของบ้านที่ไม่ร่าเริงเหมือนปกติทำให้คนในบ้านไม่ค่อยเป็นสุขนัก ปรียานุชแทบไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่ทำงานให้ใครฟังมากนัก จึงไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือต้นเหตุของอาการหม่นหมองนั่น

วันนี้แม้เพื่อนพี่ชายคนที่เธอโปรดปรานที่สุดมาเยี่ยมที่บ้าน ปรียานุชก็ไม่ได้กระตือรือร้นทั้งที่ขอแค่ให้รู้เท่านั้น เจ้าตัวจะวิ่งปรู๊ดมาหา แต่นี่เพียงแค่เดินเข้ามาร่วมวงด้วยในห้องนั่งเล่นซึ่งพี่ชายคนโตกำลังนั่งอยู่บนพื้น ตรงหน้าเขามีกระดานหมากในขณะที่อดีตเจ้าชายของเธอซึ่งกลายเป็นเจ้าชายของคนอื่นนอนคว่ำตามองหมากกระดานนั้นอย่างรื่นรมย์ ข้างของทั้งคู่มีกระปุกใส่หมาก และอีกด้านเป็นถั่วลิสงทอดไว้กินเล่น ทั้งสองคนใส่เพียงเสื้อยืดหลวมๆกับกางเกงขาสั้นลำลองจนเธอแน่ใจว่าชายหนุ่มทั้งสองที่จำเป็นต้องดูดีต่อหน้าสาธารณชนเสมอคงกะขลุกอยู่แต่ในบ้านหลังนี้แน่นอน

“อ้าว หนูดี มาพอดีกินถั่วไหม” กษมาเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในขณะที่ปรานต์เปลี่ยนอิริยาบถในท่านั่งที่สบายขึ้นกว่าเดิม ปรียานุชมองอย่างประหลาดใจ

“พี่มาร์ชอบถั่วด้วยหรือคะ”

“ก็ไม่เชิง พี่เตรียมตัวกินเจ แต่บ้านหนูดีไม่กินกันอยู่แล้วนี่” อดีตเจ้าชายของเธอยักไหล่ทั้งที่นอนคว่ำอยู่อย่างนั้น “บ้านพี่เขาเลยล้างท้องกันวันหนึ่งก่อน คนที่เริงร่าที่สุดคงเป็นนายพลูน้องชายพี่”

ปรียานุชเอียงคอมองอย่างแปลกใจ

“มันไม่กินเนื้อ เพราะงั้นช่วงกินเจนี่สวรรค์ของมัน”

คำว่า ‘ไม่กินเนื้อ’ กระตุ้นให้เธอนึกถึงใครบางคน เด็กสาวหน้าตาเฝื่อนไปนิดอย่างคนที่มีอะไรในใจ ไม่ถามอะไรที่จะทำให้ย้ำเตือนถึงชายหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่รับคำสั้นๆ แล้วกลบเกลื่อนด้วยการหันไปมองหน้าพี่ชายบ้าง กะว่าจะเอ่ยยั่วเย้าอะไรพี่ชายสักหน่อย ทว่าเห็นสีหน้าอีกฝ่ายแล้วเธอเอะใจทันที

น่าจะเกิดอะไรกับพี่ปรานต์ของเธอ หมากกระดานข้างหน้าไม่มีทางทำให้เขาทำสีหน้าอย่างนี้แน่นอน เรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย อย่าหวังว่าจะเห็นสีหน้าเช่นนี้จากเขาเลยดีกว่า

“พี่ชายใหญ่ทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะ”

“พี่ปรานต์เขามีปัญหาแก้ไม่ตก” กษมาหัวเราะเบาๆโยนถั่วใส่ปากในขณะที่น้องนุชเลิกคิ้ว ลืมเรื่องของตัวเองชั่วคราวแล้วหันไปซักพี่ชายตัวเองแทน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ มีเรื่องพี่ปรานต์แก้ไม่ได้ด้วยหรือ”

ปรานต์ไม่ตอบ แต่เหล่ตาไปยังคนที่นอนอยู่กับพื้นด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน มือแกล้งกำตัวหมากในกระปุกเล็กที่ใส่อยู่จนได้ยินเสียงกราวเป็นจังหวะๆ

“พี่ปรานต์ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนหรอกนะหนูดี” พี่มาร์หัวเราะเบาๆ “ไม่อย่างนั้นเขาคงชนะเกมนี้ไปนานแล้ว”

“พี่ชายใหญ่ไม่ใช่มนุษย์ใส่กางเกงในออกข้างนอกหรอกค่ะ” ร่างป้อมทรุดตัวลงนอนบนตักของพี่ชายใหญ่ที่เธอชอบหนุนลอบมองหมากที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง “พี่ปรานต์เป็นเจ้าชายสุดเก่งต่างหาก”

“อย่าพูดคำนี้เลยหนูดี” คนที่เงียบมาตลอดถอนใจเฮือก “พี่ไม่ใช่เจ้าชายหรอก เป็นแค่คนธรรมดาๆนี่แหละ”

ปรียานุชสะดุดหูทันที เห็นเพื่อนพี่ชายยังคงหัวเราะไม่เลิก เธอหรี่ตายื่นแขนเล็กๆไปสะกิดแขนกษมาเบาๆ “พี่มาร์ต้องรู้อะไรดีๆแน่ๆเลย เกิดอะไรกับพี่ชายใหญ่หรือคะ”

“พี่ปรานต์เขามีปัญหาหัวใจ”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที รีบผุดลุกขึ้นมามองหน้าพี่ชายซึ่งหันไปถลึงตาใส่เพื่อน “จริงหรือพี่ชายใหญ่ ทำไมหนูดีไม่เคยได้ยินมาก่อน ใครที่ไหน หนูดีรู้จักหรือเปล่า เขาสวยหรือเจ๋งแค่ไหนถึงมาทำให้เจ้าชายของหนูดีต้องทำหน้าแบบนี้ ไหนว่ามาสิคะ”

ปรานต์หันไปทำสีหน้าปรามเพื่อนแล้วหันมาตอบน้องสาวตัวเอง “หนูดีไม่รู้จักหรอก ที่จริงเขายังไม่ได้ตกลงอะไรกับพี่”

“มิน่าถึงมานั่งกลุ้มอยู่ งั้นว่ามาเลยค่ะ หนูดีอาจให้คำปรึกษาแบบผู้หญิงๆได้” เธอพยักหน้ากอดอกด้วยท่าทางเหมือนเด็กแก่แดด จนพี่ชายเอ็นดูจับศีรษะอีกฝ่ายโยกเบาๆ

“พี่ไม่ได้เป็นเจ้าชาย พี่บอกหนูดีแล้วไง” มืออบอุ่นนั่นแกล้งกอดรัดน้องสาวแสนแก่นของตนเอง “แล้วหนูดีไปทำงานนี่มีใครมาจีบบ้างไหม ไม่เห็นเล่าอะไรให้พี่ฟังบ้างเลย”

ปรียานุชย่นหน้า

“ก็มีค่ะ แต่เขา...” เด็กสาวเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง เล่นเอาพี่ชายใหญ่แทบขมวดคิ้วแต่ไม่ขัดเธอ “เขา...ไม่ใช่เจ้าชายแบบที่หนูดีชอบเลย”

“แล้วเขาเป็นยังไง” ปรานต์เอ่ยถามอย่างสนใจเพื่อตรวจสอบผู้ชายที่น้องสาวพูดถึง

“ก็ตัวใหญ่ๆอย่างกับยักษ์ ผิวคล้ำๆ พูดจาไม่เห็นเพราะเลย อย่าไปพูดถึงเขาดีกว่านะพี่ปรานต์” ใบหน้ากลมย่นจมูกเล็กๆนั่น เธอพลิกกายเพื่อจ้องหมากกระดานนั้นเต็มๆบ้าง “พี่ปรานต์...ทำไมโอเธลโล่ต้องมีสีสองด้าน ทำไมไม่เป็นสีเดียวกันล่ะ”

“คำถามดี แต่พี่ตอบไม่ได้” ชายหนุ่มหัวเราะ “บางทีอาจมีเอาไว้สั่งสอนคนเล่นก็ได้มั้ง”

“ยังไงคะ” เธอชำเลืองมองอดีตเจ้าชายที่มองมายังเพื่อนอย่างสนอกสนใจเช่นเดียวกัน

“ของแต่ละอย่างไม่ได้มีด้านเดียว” ชายหนุ่มหยิบตัวหมากขึ้นมาถือ “หนูดีเห็นด้านนี้เป็นสีขาวแต่นายมาร์จะเห็นมันเป็นสีดำ แล้วเรารู้จริงๆหรือว่าจริงๆแล้วหมากนี้เงื่อนต้นของมันเป็นสีอะไรกันแน่ เพราะมันจะพลิกไปพลิกมาอยู่ตลอดแล้วแต่สถานการณ์ที่หมากอื่นวางลงมา มันอาจไม่ได้อยากพลิกแต่จำใจต้องพลิกเพราะกติกามันเป็นอย่างนั้น”

ปรียานุชหลุบตาลงอย่างครุ่นคิดในขณะที่มือใหญ่นั้นลูบศีรษะเธอเบาๆ

“อย่าไปคิดอะไรปรัชญาน่าปวดหัวพวกนั้นเลย ช่วงนี้พี่ชายใหญ่ของหนูดีกำลังอิน” เสียงทุ้มเสนาะหูหัวเราะแผ่วเบา ใบหน้าสวยของอดีตเจ้าชายคลี่ยิ้มอย่างน่ามอง “หนูดีบอกว่าผู้ชายคนที่มาจีบหนูดีไม่เหมือนเจ้าชายเลยใช่ไหม แต่ที่จริงเขาอาจจะอยากเป็นก็ได้นะเพียงแต่หนูดีไม่เคยมองให้เขาเป็น ส่วนพี่ปรานต์เขาไม่อยากเป็นเจ้าชาย แต่ยังไงหนูดีก็บอกว่าพี่เขาเป็นเจ้าชาย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสายตาหนูดีล้วนๆ”

ปรานต์กระแอมไอเขม้นมองหน้าเพื่อน

“ไม่ต้องมายุให้หนูดีหาแฟนเลย ข้ามศพฉันไปก่อนเหอะ”

“นายคิดว่าหนูดีอายุเท่าไร น้องนายเป็นสาวแล้วนะ” กษมาหัวเราะ

ทั้งสองคนยังแดกดันเกี่ยวกับคนที่อาจจะเข้ามาในชีวิตเธอในอนาคตกันต่อไป แต่บทสนทนาที่ว่านั้นไม่ได้แว่วเข้าหูเธออย่างที่ควรจะเป็น ใจของเธอคิดคำนึงและลอยไปไกลเกินกว่าพี่ชายที่เธอรักทั้งสองคนจะตามทัน

=====================================================

ในสัปดาห์ถัดมา ปรียานุชกระวนกระวายไม่น้อยว่าในตอนเช้าเธอจะเจอกับโตมรในรูปแบบไหน เขาจะทักทายแล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจะทำท่าเมินทำให้เธอไร้ตัวตนไปเสียเลย เธอพยายามคิดหลายๆแง่ว่าจะเจอเหตุการณ์แบบไหนจะได้เตรียมพร้อมถูก

ทว่าเธอได้เรียนรู้ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์เลย

วินาทีที่เธอกำลังจะเดินไปห้องอาหารแล้วเขาสวนออกมานั่น ปรียานุชผงะไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะเจอกันแบบไม่คาดฝันอย่างนั้น ทว่านอกจากเขาไม่มองแล้ว ยังเดินผ่านเธอไปราวกับเธอเป็นอากาศธาตุทั้งที่ร่างสูงนั่นเลี่ยงไม่ให้กายใหญ่โตนั่นสัมผัสเธอแม้แต่นิดเดียว

ชั่ววูบที่สายลมพัดผ่านร่างสูงที่ก้าวเดินห่างออกไปกับเธอ...ความรู้สึกแปลบปลาบเกิดขึ้นราวกับลมนั้นเป็นมีดคมแสนคมที่เฉือนเนื้อให้ขาดวิ่น

แขนเล็กๆนั่นจับร่างกายของตนเองไว้เกรงว่าจะสั่นสะเทือนเหมือนหัวใจของเธอในตอนนี้แล้วจะทำให้คนภายนอกเห็นเอาได้ทั้งที่จริงแล้วในห้องอาหารนั้นไม่เหลือใครนั่งอีกต่อไป เธอสูดลมหายใจลึกระงับความรู้สึกแล้วเดินไปชงกาแฟดื่มอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแต่ก็ทำเหมือนหุ่นยนต์ไขลานเท่านั้นเอง

แม้แต่ตอนที่เด็กสาวกลับมานั่งที่ทำงานแล้ว มองไปรอบๆก็ไม่เห็นยักษ์หน้าเข้มที่มักจะมากับรอยยิ้มเริงร่าทักทายคนนั้นคนนี้ จะมีแค่ช่วงเดียวที่เขาแวะมาแถวนี้ นั่นคือไปที่ฝ่ายบุคคลเพื่อขอใบลาแล้วกลับไปเลยโดยไม่เฉียดกรายมาใกล้แผนกเธออย่างที่เขามักจะทำเป็นประจำ

พี่ดวงและพี่ป้องรวมทั้งเบญจมาศต่างก็ทำงานจึงไม่ทันได้สังเกตเพราะเขามาเงียบเหลือเกินผิดกับท่าทางเอะอะมะเทิ่งของชายหนุ่มร่างยักษ์อย่างนั้น

ร่างเล็กป้อมนั่นจึงแอบก้มลงไปใต้โต๊ะทำคล้ายว่าจะเก็บของแต่แอบใช้กระดาษทิชชู่ซับหยดน้ำที่เอ่อขึ้นมาที่ขอบตา พยายามปลอบใจตัวเองว่าห่างๆเขาเอาไว้ดีแล้ว มันอาจจะแค่ความเคยชินที่มีเขาอยู่ใกล้ๆเท่านั้นเอง เธอควรตีห่างจากบุคคลอันตรายและเป็นพวกใส่ร้ายคนอื่นอย่างเขา

อย่างนี้ดีแล้วล่ะ

แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ก็ยากจะห้ามน้ำตาที่เริ่มคลอหน่วยขึ้นอีกครั้งจนอยากจะขลุกซุกอยู่ใต้โต๊ะทำงานตัวเองแล้วร้องไห้ให้หนำใจ แต่เมื่อทำไม่ได้เธอก็ต้องฝืนใจลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

=================================================

ในตอนเย็นเธอทำงานเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่งานที่ไม่รีบเร่งจะทิ้งแล้วก็กลับบ้านเลยเหมือนกับที่คนอื่นๆทำก็ได้อยู่ แต่ปรียานุชตัดสินใจลองอยู่เย็นในวันนี้เผื่อว่าจะได้เห็นเงาของคนร่างยักษ์จะมาเดินเล่นแถวนี้ ลากเธอไปทานข้าวเย็นด้วยกันหรืออะไรบ้าง แต่จนป่านนี้จากท้องฟ้าที่แสงสีส้มอ่อนจางกลับกลายเป็นสีดำมืดก็แล้ว เขาก็ยังไม่มาให้เห็นเลย

“วันนี้งานเยอะเหรอหนูดี”

เสียงทุ้มอ่อนโยนไม่มีหางเสียงของความห้วนสั้นทำให้ปรียานุชลอบถอนใจอย่างผิดหวัง เธอหันไปมองเบื้องหลังก็พบพี่ที่ทำงานแผนกเดียวกับโตมรเดินมาหา เด็กสาวคลี่ยิ้มพยายามให้มันดูสดใสกลบความหม่นหมองเอาไว้

“ว่าไงคะ มีอะไรให้หนูดีช่วยหรือเปล่า พี่มนัส”

มนัสยิ้มนิดๆพลางกวาดตาไปรอบๆ

“ไหนบอกว่าตอนนี้งานไม่เยอะแล้วนี่ทำไมยังอยู่ดึกอีก แล้วพี่จอก พี่ป้อง พี่ดวง น้องมาศ กลับกันหมดแล้วหรือ”

“เอ่อ...พอมีงานอยู่บ้างน่ะค่ะ ไม่รีบหรอกแต่มันติดพัน” ปรียานุชตอบเสียงอ้อมแอ้ม “ส่วนคนอื่นๆเขากลับแล้วค่ะ จริงๆพี่จอกอยู่จนถึงเมื่อกี้กับพี่ป้อง จริงๆทั้งคู่เขาให้หนูดีกลับพร้อมๆกันไปเลยจะได้ปิดแผนกแต่หนูดียังอยากนั่งทำงานต่อ ตอนแรกพี่ๆเขาบอกจะอยู่เป็นเพื่อน แต่หนูดีบอกไม่ต้องแล้วก็ให้กลับไปทั้งคู่น่ะค่ะ”

มนัสพยักหน้า เขาเป็นชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับโตมร ร่างสูงลากเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดมาอยู่ข้างๆเธอ ปรียานุชมองเขาอย่างแปลกใจในขณะที่อีกฝ่ายคลี่ยิ้มให้

“จริงๆวันนี้ไม่ใช่หน้าที่พี่ แต่พอดีมีไอ้คนจอมเก๊ก งุ่นง่านเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่แผนกแต่ไม่กล้าเดินมาแถวนี้ เล่นเอาคนอื่นเสียสมาธิหมด พี่ก็เลยช่วยทุกคนอาสามาหาหนูดีเอง”

ปรียานุชเอียงคอมองอย่างฉงน

“มาหาหนูดีทำไมคะ”

“มาเช็คว่ากลับหรือยัง หรือถ้ายังอยู่กับใครหรือเปล่า” ชายหนุ่มตอบพลางยืดแขนขากึ่งเกียจคร้าน “จะได้กลับไปรายงานท่านหัวหน้าหน่วยให้เบาใจแล้วเราจะได้ทำงานสงบสุขกันเสียที”

“ทำไมต้องมาเช็คคะ” เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นเสียงสูง “หนูดีไม่ใช่เด็กเสียหน่อยทำไมต้องมาทำแบบนี้กัน! ก็หนูดีบอกไปแล้วว่าดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องมายุ่งกับหนูดีหรอก!”

ชายหนุ่มที่นั่งรับอารมณ์เธอไปเต็มๆยังยิ้มอย่างใจเย็นในขณะที่ปรียานุชชะงักไป แก้มกลมเล็กแดงก่ำเมื่อทำท่าเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่ระงับอารมณ์ไม่ได้ออกไป

“ขอโทษค่ะ หนูดีไม่ได้ตั้งใจว่าพี่มนัส”

“พี่รู้ว่าหนูดีไม่ได้ว่าพี่ แต่ว่าไอ้รปภ.นั่น” มนัสพยักหน้าเข้าใจ “พี่ไม่รู้นะว่ามีปัญหาอะไรกัน แต่อยากจะบอกว่าเห็นไอ้คนตัวโตอย่างกับยักษ์อย่างนั้น จริงๆมันขี้น้อยใจนะ หนูดีอาจจะรำคาญที่มันเจ้ากี้เจ้าการแต่รู้ไว้เถอะว่ามันทำแบบนั้นเพราะเป็นห่วงเรานั่นแหละ”  

ปรียานุชแค่นเสียงแล้วมองเมินไปอีกด้านหนึ่งทันที

ชายหนุ่มเห็นสีหน้าแบบเด็กแสนงอนนั่นแล้วก็ได้แต่นึกปลง...ริอาจหลอกเด็กเองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ก็แล้วกัน...

“เอาเถอะ” ร่างสูงลุกขึ้น “วันนี้พี่มาแทนไอ้ยามนั่นเท่านั้น ไม่ได้จะมาเป็นกามเทพหรือศิราณี เพราะงั้นหมดหน้าที่แล้ว หนูดีกลับดีไหม เท่าที่ฟังแสดงว่างานก็ไม่ได้ด่วนอะไรไม่ใช่หรือ”

เด็กสาวมองหน้าที่ทอดมองมาราวกับทะลุไปทั้งความคิดและหัวใจของเธอ ใบหน้ากลมเล็กนั่นก้มลงอีกครั้งมอง ตาโตใหญ่ทอดมองต่ำ จากนั้นก็ตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ตามคำบอกของเขาอย่างว่าง่าย ใช้เวลาไม่นานในการจัดเก็บทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง เธอก็เดินตามชายหนุ่มที่อ้างว่ามาทำหน้าที่แทนพนักงานรักษาความปลอดภัย บอกลาเขาเมื่ออีกฝ่ายยืนส่งที่หน้าลิฟต์

“พี่มนัส” ปรียานุชเงยหน้ามองเขาอย่างลังเลในระหว่างรอ เมื่อชายหนุ่มหันมาเธอจึงเอ่ยถามเสียงค่อย “หนูดีรู้มาว่าพี่โตเขา...เขาเป็นพวกมือไว แล้วก็มีคนเตือนว่าให้ห่างจากพี่โตไว้”

มนัสนิ่งมองร่างป้อม ใบหน้ากลมนั้นใสแจ๋วราวกับเด็กเล็กๆที่ต้องการให้ผู้ปกครองชี้นำ ชายหนุ่มถอนใจเมื่อลิฟต์มาถึงแล้ว แต่เด็กสาวยังคงยืนอยู่อย่างนั้นราวกับต้องการให้เขาพูดอะไรก็ได้สักอย่างเกี่ยวกับประเด็นนี้

“หนูดีอยากให้พี่ตอบว่าไงล่ะ ใช่หรือไม่ใช่”

เธออึ้ง

ชายหนุ่มถอนใจจากที่บอกว่าจะไม่รับหน้าที่ศิราณีแต่สงสัยจะเลี่ยงไม่ได้

“พี่ตอบไม่ได้เพราะพี่ก็ไม่เคยโดนมันแต๊ะอั๋ง มีแต่โดนเตะ” ชายหนุ่มพูดเสียงขำๆ “คนที่ควรจะรู้ดีที่สุดก็คือหนูดีไม่ใช่หรือ หนูดีคุยกับนายโตมาเท่าไรน่าจะรู้ว่าหมอนั่นเป็นคนยังไง ดีกว่ามาเที่ยวถามคนอื่นว่าคนนั้นเป็นอย่างข่าวลือหรือเปล่า”

ปรียานุชหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยราวกับโดนตำหนิ เธอรีบก้าวเข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสีหน้าเธอแบบนั้นชายหนุ่มก็อดสงสารไม่ได้ มือของเขาเลยยื่นไปกันประตูลิฟต์เอาไว้

“แต่ถ้าหนูดีอยากรู้ เอาเป็นว่าเท่าที่ทำงานกันมาสี่ปี พี่ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหมอนั่นเรื่องพรรค์นี้แล้วมันก็ไม่ใช่พวกเอาเปรียบผู้หญิง แต่จริงเท็จยังไงก็ต้องแล้วแต่ว่าหนูดีจะเชื่อหรือเปล่า”

มนัสมองร่างเล็กป้อมที่พยักหน้าแล้วยิ้มโบกมือลาเขา ชายหนุ่มจึงปล่อยให้ประตูลิฟต์ให้ปิดลงพร้อมๆกับที่ตัวเลขบอกชั้นค่อยๆวิ่งลงไป เขาจึงกลับเข้ามาในออฟฟิศอีกครั้ง และที่แผนกของเขา มี ‘หมีกินผึ้ง’ นั่งหน้าบูดอยู่ตัวหนึ่งในขณะที่ผึ้งงานทั้งหลายคงกระเจิดกระเจิงกลับกันหมดแล้วเหลือหมีอยู่ตัวเดียว

“ท่าทางมีความสุขดีนี่ ฮัมเพลงมาแต่ไกลเชียวนะ:-)” ‘หมี’ พาลรีพาลขวาง

“ผู้หญิงประชดก็พอน่ารักอยู่หรอก แต่ผู้ชายทำทีน่าเตะชิบ” รปภ.จำเป็นหัวเราะเบาๆ ความที่ทำงานด้วยกันมาตลอดทำให้เพื่อนร่วมงานกลายเป็นเพื่อนสนิทไปแล้ว มนัสอธิบายสถานการณ์ให้เพื่อนฟังโดยเจ้าตัวยังไม่ได้ถามไถ่ “เมื่อกี้หนูดีนั่งอยู่คนเดียว คนอื่นกลับกันแล้ว เมื่อกี้กูเลยไปส่งเขา ว่าแต่...:-)ไปทำอะไรน้องเขาหรือเปล่าวะ เขาถามกูแปลกๆ”

“ถามอะไร” โตมรหรี่ตา

“ก็ประมาณมีข่าวลือว่า:-)พวกมือปลาหมึก” คนเล่าลดเสียงลง “น้องเขาพูดลอยๆแต่หน้าตาเขาถามกูชัดๆ กูว่าท่าทางไม่ดีว่ะ ยังไง:-)ระวังตัวดีกว่า เดี๋ยวมีปัญหา”

“เออ...ถ้าเรื่องนั้น กูรู้แล้ว รู้ต้นตอด้วยซ้ำ” โตมรเอ่ยเสียงต่ำ จากนั้นก็ถอนใจยักไหล่ “แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะคุยเรื่องนี้ว่ะ ยายเด็กนั่นกลับแล้วก็ดีเหมือนกันจะได้ทำงานเป็นสุขเสียที”

“งั้นตอนห้าโมงครึ่งทุกๆวัน กูจะไปไล่ให้หนูดีกลับบ้าน พวกน้องๆก็จะได้ทำงานเป็นสุขอย่างที่:-)ว่าเสียที” มนัสเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองโดยไม่สนใจเสียงฮึ่มฮั่มของไอ้ ‘หมีกินผึ้ง’ ที่เริ่มทำท่าจะอาละวาด

แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 53 23:22:16

จากคุณ : peiNing
เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 53 23:21:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com